ถึงแม้การจัดกิจกรรม ๑ คณะ ๑ หมู่บ้านจะมุ่งให้นิสิตในสังกัดสโมสรนิสิตคณะต่างๆ ได้จัดกิจกรรมในหมู่บ้านรอบมหาวิทยาลัยฯ ก็ตาม แต่ถ้านิสิตลงพื้นที่เมื่อใด หากไม่ติดภารกิจอื่นใดจนขยับไม่ได้ ผม หรือแม้แต่ทีมงานก็จะลงพื้นที่ไปสังเกตการณ์ หรือแต่ร่วมลงแรงกายและแรงคิดในภาคสนามด้วยเสมอ
กรณีชุมชนบ้านหนองแข้ ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เป็นพื้นที่ปฏิบัติการเรียนรู้ของสโมสรนิสิตคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และสโมสรนิสิตคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งกิจกรรมที่ชุมชนปักธงให้มหาวิทยาลัยเข้าไปทำกิจกรรมก็คือการสร้างรั้วลวดหนามรอบหมู่บ้าน และปลูกต้นไม้ในพื้นที่สาธารณะของชุมชน
ดูเหมือนเป็นกิจกรรมที่แปลกไปจากหมู่บ้านอื่นๆ อยู่มาก เพราะสิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่แต่ละครัวเรือนสามารถดำเนินการได้เอง ซึ่งผมเองก็สงสัยในประเด็นนี้อยู่ไม่น้อย
แต่ด้วยแนวคิด “ระยะต้น” ที่ใช้โจทย์อันเป็น “ความต้องการ” ของชุมชนเป็นตัวตั้ง ผมจึงพยายามที่จะมองข้ามในเรื่องราวเหล่านั้นไป หากแต่พยายามสื่อสารไปยังนิสิตว่าควรต้องทำงานแบบบูรณาการ และทำให้ต่อเนื่อง รวมถึงเน้นการเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมของชาวบ้านเป็นตัวตั้ง
ถึงกระนั้น ผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะขบคิดในเรื่องดังกล่าวอย่างเงียบๆ ว่ามีความจำเป็นอะไรถึงต้องทำรั้วลวดหนามรอบหมู่บ้าน...ผมพยายามมองและคิดตลอดว่านิสิตจะมีส่วนในการทำงานตั้งแต่ “ต้นน้ำ” อย่างไร...
ครับ, ก่อนการปฏิบัติงานจริง
ผมไม่เคยละเลยที่จะปฐมนิเทศนิสิตก่อนเสมอ
ยิ่งคราวนี้ผมตระหนักว่าการทำกิจกรรมในชุมชนนั้น
เป็นโจทย์ใหญ่ของนิสิตในสังกัดสโมสรคณะอย่างยิ่ง
ดังนั้นจึงพยายามชี้ให้นิสิตได้เริ่มต้นจากการสร้างความสัมพันธ์ผ่านกิจกรรมพ่อฮักแม่ฮัก...เริ่มจากการลงพื้นที่พบปะพูดคุย
ทำความคุ้นเคยกับชาวบ้าน เรียนรู้บริบทของชุมชนในด้านต่างๆ
รวมไปถึงการร่วมคิดและร่วมวางแผนการทำงานกับชาวบ้านอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อว่าเป็น “กระบวนการ”
ขั้นพื้นฐานที่สามารถนำพาไปสู่ความสำเร็จของการทำงานภาคสนามที่นิสิตต้องรู้และตระหนัก
กรณีดังกล่าว เมื่อผมลงพื้นที่เยี่ยมชมกิจกรรมของนิสิตที่จัดขึ้น ณ บ้านหนองแข้ ผมจึงพบเจอเรื่องราวในบางประเด็นที่ผมอดไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปแลกเปลี่ยนกับผู้นำของนิสิตที่กำลังทำงานอยู่ตรงนั้น
เช่นเดียวกับการเสนอแนะให้กระตุ้นชุมชนออกมาทำงานร่วมกัน เพราะต้องไม่ลืมว่ารั้วลวดหนามนั้นล้วนเป็นรั้วที่พาดผ่านหน้าบ้านของแต่ละครัวเรือนอย่างชัดเจน ดังนั้นทุกครัวเรือนจึงจำต้องก้าวออกมาเป็นส่วนหนึ่งกับกิจกรรมนี้ให้มากที่สุด มิใช่ปล่อยให้เป็นภาระของ “นิสิตกับแกนนำชาวบ้าน" หรือแม้แต่เฉพาะ "นิสิตกับพ่อช่างแม่ช่าง” เท่านั้น
ครับ,ทุกอย่างที่พูดคุย
หรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปนั้น จริงๆ คือการซ่อนแฝงคำถามแบบสบายๆ
ไว้ก็คือ "นอกจากรั้วลวดหนามแล้ว เราทำอะไรได้บ้าง" ?
ซึ่งผมไม่แน่ใจว่านิสิตเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้...
ครับ,ประเด็นเหล่านั้น ผมยังเชื่อมโยงถึงการฝากแนวคิดให้นิสิตชวนพ่อฮักแม่ฮักออกมาช่วยกันจัดทำรั้วเหล่านั้นร่วมกัน ตลอดจนการแบ่งกลุ่มนิสิตออกไปสำรวจข้อมูลต่างๆ ของชุมชน เพื่อเป็นฐานความรู้ที่จะนำมาสังเคราะห์ต่อยอดในกิจกรรมอื่นๆ เฉกเช่นกับการแนะนำให้เข้าไปพบปะพูดคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน เป็นการเสริมแรงให้ท่านได้หายเหงา และได้บอกกล่าวถึงเรื่องราวในอดีตทั้งในมิติของประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่ภูมิปัญญาที่ก่อร่างสร้างชุมชน ซึ่งสิ่งเหลานี้สามารถนำมาจัดกระทำเป็นข้อมูล หรือเวทีการสร้างสื่อการเรียนรู้ในท้องถิ่นนั้นๆ ได้ด้วยเหมือนกัน
และนั่นก็ยังรวมถึงการสำรวจ “ฮีตคอง” ในหมู่บ้านว่ามีอะไรบ้าง ประเพณีทางสังคมมีช่วงใดบ้าง เพราะสิ่งเหล่านี้นิสิตสามารถนำกลับมาเป็นข้อมูลในการวางระบบกิจกรรมที่จะสานสัมพันธ์เข้าสู่ชุมชนได้ตลอดปี
ครับ,นั่นคือสิ่งที่ผมได้เสนอแนะ หรือแลกเปลี่ยนกับนิสิตและเจ้าหน้าที่ซึ่งพบปะกันในภาคสนาม...
ส่วนกระบวนการของการทำรั้วลวดหนาม ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่การตัดแต่งเสาไม้ การขุดหลุม จัดเรียงเป็นระบบระเบียบ หรือแม้แต่การเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจว่าเมื่อชาวบ้านไม่จำเป็นต้องควักเงินมาทำรั้วบ้านตัวเองแล้ว ทำอย่างไรล่ะชาวบ้านถึงจะก้าวออกมาจากครัวเรือนตัวเอง เพื่อวางเสาและล้อมรั้วเหล่านั้นด้วยมือตนเอง-สิ่งเหล่านั้นผมมองว่านิสิตและแกนนำชาวบ้านต้องช่วยกันไขปริศนานี้ให้จงได้
ยิ่งหากสามารถนำต้นไม้ พันธุ์ไม้มาปลูกแบบ “รั้วกินได้” ผมคิดว่าน่าสนใจ และพืชผักเหล่านั้น เมื่อโตแตกใบแผ่กิ่งก้านก็จะกลายเป็นรั้วที่มีชีวิต มีมิตรภาพให้เพื่อนบ้านได้มาร่วมเก็บกิน และเก็บใช้ร่วมกัน
และนี่คือภาพสะท้อนการเรียนรู้ที่ผมได้รับการยืนยันมาจากนิสิตและเจ้าหน้าที่หลังกิจกรรมผ่านพ้นมาได้ในระยะหนึ่ง
“...๑ คณะ ๑
หมู่บ้าน ก่อให้เกิดสายสัมพันธ์ของพ่อฮัก แม่ฮักและลูกฮัก
ทุกวันนี้ยังไปมาหาสู่กันตามปกติ
มีประเพณีหรือกิจกรรมในหมู่บ้าน
ชาวบ้านก็จะบอกกล่าวให้ลูกฮักและทางคณะไปร่วมกิจกรรมอยู่บ่อยๆ
โดยล่าสุดก็เป็นผ้าป่า...”
“...ภายหลังกิจกรรมจัดทำรั้วเสร็จสิ้นลง นิสิตก็ยังลงหมู่บ้านไปทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้าน เช่น ทำความสะอาดถนนหนทางในหมู่บ้าน พอน้ำท่วมก็รวมกลุ่มกันไปช่วยทำแนวกั้นน้ำ ช่วงเข้าพรรษาก็พากันไปถวายเทียนพรรษาและปัจจัย...”
เพิ่งกลับมาจากงาน EDUCA 2011 ที่กรุงเทพฯ นะครับ
ได้มีโอกาสพูดคุยกับนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ด้วยนะครับ
ฝากความคิดถึงไปยังคุณแผ่นดิน จาก ... ครับ
เห็นว่า น้อง ๆ เขาจะประชุมกับคุณแผ่นดินพอดี ;)...
เป็นกิจกรรมที่ยอดเยี่ยมมากครับ
การไปล้อมรั้วให้กับหมู่บ้าน แต่นั่นก็คือการเปิดรั้วของมหาวิทยาลัยไปหาชุมชน ครับ
วันนั้นผมไม่ได้อยู่ในช่วงของกิจกรรม แต่ทว่าแรกเริ่มเดิมทีก็ได้ร่วมคิดร่วมวางแผนกับน้องๆนิสิตกลุ่มนี้อยูอควรครับ
ถึงแม้ว่ารั้วลวดหนามที่น้องๆนิสิตร่วมกันขึงล้อมให้ชาวบ้านจะไม่ได้ลงทุนมากมายเหมือนกำแพงที่คงทน แต่ผมคิดว่าหากสิ่งที่เกิดขึ้น มาจากความต้องการของหมู่บ้าน นั่นก็เป็นสิ่งที่มีมูลค่าทางจิตใจมหาศาล โดยเฉพาะ พ่อฮัก-แม่ฮัก ของเด็กๆ
อาจจะมีปัญหาทางด้านการบูรณาการของกิจกรรมที่นิสิตพยายามทำแบบเก้ๆกังๆ นั่นก็คือความพยายามที่น่ายกย่องครับ....
ขอบคุณทุกท่านที่ไม่ปล่อยให้ชุมชนต้องรู้สึกเขินอายที่จะเข้ามามีส่วนร่วมกับมหาวิทยาลัย...
ขอขอบคุณชุมชนที่อุทิศพื้นที่ของท่านให้นิสิตเราได้ใช้ประโยชน์...
ขอบคุณมากครับ...
สวัสดีครับ อ.โสภณ เปียสนิท
เห็นภาพนี้แล้ว คิดถึงช้วงชีวิตที่ผมต้องต้อนวัวออกไปเลี้ยงที่ทุ่ง หรือแม้แต่ริมเขื่อน และโคกท้ายหมู่บ้านจังเลยครับ บางวันสนุก ตื่นเต้น บางวันรู้สึกเหนื่อยและไม่อยากไปจริงๆ ยิ่งบางทีวันไหนเกิดวัวหาย ยิ่งวิตกกังวลนานาประการ..
แต่อวันนี้ นึกย้อนกลับไปอีกรอบ กลับเต็มไปด้วยความสุข และเห็นชัดว่าหลายอย่างของอดีต บ่มเพาะภูมิคุ้มกันให้ตัวเองได้อย่างมาก
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อ.วัสฯ ...Wasawat Deemarn
ตกลงฝากความคิดถึงมากับใครน้อ ผมยังไม่ได้รับเลย (55)
จะว่าไปแล้ว คิดถึงโรงเรียนแห่งความสุขน่าดูเลยนะครับ
สวัสดีครับ คุณบีเวอร์
ตอนนี้ก็เริ่มจะมีการถอดบทเรียนเป็นระยะๆ...เน้นเชิงบุคคลก่อน
ในอนาคตอันใกล้จะจัดเวทีการถอดบทเรียนเกี่ยวกับโครงการนี้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนิสิตละชาวบ้าน เพื่อเป็นชุดความรู้ในการขับเคลื่อนต่อไป เพราะโดยส่วนตัวแล้ว คิดว่ากิจกรรมเหล่านี้จะยังต้องมีต่อไป แต่อาจจะขับเคลื่อนไปในรูปของการบริการวิชาการแก่สังคมให้มากขึ้น หรือแม้แต่เน้นไปในเรื่องการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมฯ ...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ ขุนแผ่นดินเย็น
ขอบคุณที่ช่วยเป็นส่วนหนึ่งกับเรื่องเหล่านี้นะครับ
เป็นประโยชน์มากครับสำหรับมุมมองเหล่านี้ "การไปล้อมรั้วให้กับหมู่บ้าน แต่นั่นก็คือการเปิดรั้วของมหาวิทยาลัยไปหาชุมชน"...
หรือแม้แต่ "ถึงแม้ว่ารั้วลวดหนามที่น้องๆนิสิตร่วมกันขึงล้อมให้ชาวบ้านจะไม่ได้ลงทุนมากมายเหมือนกำแพงที่คงทน แต่ผมคิดว่าหากสิ่งที่เกิดขึ้น มาจากความต้องการของหมู่บ้าน นั่นก็เป็นสิ่งที่มีมูลค่าทางจิตใจมหาศาล โดยเฉพาะ พ่อฮัก-แม่ฮัก ของเด็กๆ..."
ผมมองว่าหากมีการขับเคลื่อนครั้งต่อไป มีการถอดบทเรียนที่ดี เน้นตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม มีกระบวนการติดตามที่ต่อเนื่อง เตรียมคนให้พร้อมก่อนลงสู่ชุมชน ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีสู่การได้มาซึ่งประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ขอบคุณครับ
รั้วแบบนี้ ช่วยให้มองทะลุถึงเพื่อนบ้านได้อย่างถ้วนทั่ว ซึ่งดีกว่ารั้วกำแพงทึบที่ทำจากซีเมนต์เป็นร้อยเท่าพันเท่า...
เป็นมุมมองที่แยบคายดีจังคะ..เห็นด้วยว่าถ้าปลูกต้นไม้เลื้อย ผักกินได้ ก็จะลดความหยาบกระด้างของลวดหนามไปได้ด้วย
..
แต่แอบคิดในใจ ถ้าไม่มีรั้วจะเป็นอย่างไร ทำไมต้องมีรั้วกั้น ??
เรียนท่านอาจารย์
แผ่นดินไทย ยังมีโอกาสฟื้นฟู เพราะมีคนทำงานอย่างอาจารย์ คนที่ทำงานกับเด็กรุ่นใหม่ที่จะออกไปเป็นพลังให้แผ่นดินต่อไป ให้ทำงานด้วยหัวใจและสมองควบคู่กันไป
น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้เราได้เห็นสิ่งดีๆมากมาย จิตอาสาของผู้คน แต่เมือมองให้ลึก มองให้ชัด พี่ได้เห็นบางมุมที่คนไปช่วยเหลือต้องคิดมากๆ การช่วยแบบสังคมสงเคราะห์แม้ยังต้องมีอยู่แต่ไม่ควรเป็นแค่มิติเดียวของการทำงานกับชุมชน หรือ ทำงานกับคนมีทุกข์ ประสบภัยนะคะ