เทศบาลนครเชียงราย ได้ร่วมกับคณะสงฆ์ในจังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรมการตักบาตรเทโวโรหณะขึ้น และในปีนี้วันปวารณาออกพรรษาคือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2554 ในการนี้เทศบาลนครเชียงราย ได้เชิญชวนหัวหน้าส่วนราชการทุกภาคส่วน ภาคเอกชน รวมถึงคณะศรัทธาพี่น้องประชาชนชาวพุทธศาสนิกชนร่วมกันทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร จำนวน 385 รูป โดยจัดสถานที่ประกอบพิธี ณ บริเวณเชิงบันไดวัดดอยงำเมือง โดยมีกำหนดการ ดังนี้
เวลา 06.00 น.- ร่วมถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร จำนวน 385 รูป
เวลา 06.30 น. - เริ่มพิธีทางศาสนา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายให้เกียรติเป็นประธาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารเทศบาลนครเชียงราย
เวลา 06.39 น. - พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ออกรับบิณฑบาต ตั้งแต่เชิงบันไดวัดดอยงำเมือง ผ่านถนนงำเมือง ถนนธนาลัย ถึงสี่แยกศาลจังหวัดเชียงราย
การให้ทาน เป็นการทำบุญ เป็นการสร้างบารมี ส่วนศีล ภาวนา เป็นการสร้างบารมีทีสูงขึ้นไปอีก
แต่มนุษย์มุ่งถนัดจะทำแต่ทาน ต่อไปมีทรัพย์สมบัติมาก ร่างกายไม่แข็งแรง ขาดสติปัญญา
ถ้าถนัดแต่เพียงถือศีล ผลบุญที่ได้เพียงร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่ขาดทุนทรัพย์ ไม่มีอุปกรณ์เครื่องใช้ย่อมลำบากการอยู่ในโลกนี้
ไม่ภาวนา ไม่สติปัญญา
ครั้นถนัดแต่เพียงภาวนาอย่างเดียว ได้ผลบุญด้วยเปี่ยมล้น ด้วยสติปัญญาอำนวยให้ พบหนทาง วิมุติ หลุดพ้นทุกข์ แต่เป็นไปด้วยความยากลำบากนานาประการ ในการปฏิบัติย่อมไม่เป็นผลดี เพราะขาดกายที่สมบูรณ์ ขาดสถานที่อำนวยให้สัปปายะ ขาดศีลซึ่งเป็นบาทฐานสำคัญของการทำสมาธ และวิปัสสนา ย่อมไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางต้องเนิ่นช้าออกไปอีก
ฉะนั้น ท่านจึงสั่งสอนให้ทำให้ครบทั้ง ทาน ศีล ภาวนา เพื่อให้ได้ครบถ้วน ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีทรัพย์สินเลี้ยงชีพ มีสติปัญญาดี
และใครทำได้ผลแค่ไหน สามารถรู้ได้ที่จิตใจของตน ไม่ต้องให้คนอื่นมาบอกเหมือนทางโลกที่คนอื่นมายกย่องให้เราเก่ง ให้เราเป็นหัวหน้า
ให้เราเป็นแชมป์
ส่วนทีเด็ดในการทำแต่ละอย่างว่าให้ได้ผลสูงสุดให้ศึกษาจากสุดยอดลิ้งค์ข้างล่าง
ซึ่งรวบรวมเรื่องรายละเอียดการทำบุญ การสร้างบารมีทุกชนิดไว้ครบถ้วนที่สุดที่เคยพบเห็น
.........................................................................................................................................................
ขอนำเสนอข้อมูล เรื่องทาน ศีล ภาวนา อย่างกว้าง ดังนี้
ตัดตอนมาอีกที
การให้ธรรมทานแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "อภัยทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือ "การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู" ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อ "ละโทสะกิเลส" และเป็นการเจริญ "เมตตาพรหมวิหารธรรม" อันเป็นพรหมวิหารข้อหนึ่งในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น อันพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นคุณธรรมที่เป็นองค์ธรรมของโยคีบุคคลที่บำเพ็ญฌานและวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ย่อมเป็นผู้ทรงฌาน ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใด ก็ย่อมละเสียได้ซึ่ง "พยาบาท" ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้ การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยากเย็น จึงจัดเป็นทานที่สูงกว่าการให้ทานทั้งปวง
อย่างไรก็ดี การให้อภัยทานแม้จะมากเพียงใด แม้จะชนะการให้ทานอื่น ๆ ทั้งมวล ผลบุญนั้นก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า "ฝ่ายศีล" เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นต่างกัน
การรักษาศีลเป็นการเพียรพยายามเพื่อระงับโทษทางกายและวาจา อันเป็นเพียงกิเลสหยาบมิให้กำเริบขึ้น และเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงขึ้นกว่าการให้ทาน
การที่ได้บวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา แล้ว รักษาศีล ๑๐ ไม่ให้ขาด ไม่ด่างพร้อย แม้จะนานถึง ๑๐๐ ปี ก็ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาที่มี ศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ แม้จะบวชมาได้เพียงวันเดียวก็ตาม
ฉะนั้นในฝ่ายศีลแล้ว การที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาได้บุญบารมีมากที่สุดเพราะเป็นเนกขัมบารมีในบารมี ๑๐ ทัศ ซึ่งเป็นการออกจากกามเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติธรรมขั้นสูง ๆ คือการภาวนาเพื่อมรรค ผล นิพพาน ต่อ ๆ ไป ผลของการรักษาศีลนั้นมีมาก ซึ่งจะยังประโยชน์สุขให้แก่ผู้นั้นทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เมื่อได้ละอัตภาพนี้ไปแล้วย่อมส่งผลให้ได้บังเกิดในเทวโลก ๖ ชั้น ซึ่งล้วนแต่ความละเอียดประณีตของศีลที่รักษาและที่บำเพ็ญมา ครั้นเมื่อสิ้นบุญในเทวโลกแล้ว ด้วยเศษของบุญที่ยังคงหลงเหลืออยู่แต่เพียงเล็กๆน้อยๆหากไม่มีอกุลกรรมอื่นมาให้ผล ก็อาจจะน้อมนำให้ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถึงพร้อมด้วยสมบัติ ๔ ประการ เช่น อานิสงส์ของการรักษา ศีล ๕ กล่าวคือ
อานิสงส์ของศีล ๕ มีดังกล่าวข้างต้น สำหรับศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ ก็ย่อมมีอานิสงส์เพิ่มพูนมากยิ่ง ๆ ขึ้นตามระดับและประเภทของศีลที่รักษา แต่ศีลนั้นแม้นจะมีอานิสงส์เพียงไรก็ยังเป็นแต่เพียงการบำเพ็ญบุญบารมีในชั้นกลาง ๆ ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะเป็นแต่เพียงระเบียบหรือกติกาที่จะรักษากายและวาจาให้สงบ ไม่ให้ก่อให้เกิดทุกข์โทษขึ้นทางกายและวาจาเท่านั้น ส่วนทางจิตใจนั้นศีลยังไม่สามารถที่จะควบคุมหรือทำให้สะอาดบริสุทธิ์ได้
ฉะนั้น การรักษาศีลจึงยังได้บุญน้อยกว่าการภาวนา เพราะการภาวนานั้น เป็นการรักษาใจ รักษาจิต และซักฟอกจิตให้เบาบางหรือจนหมดกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง อันเป็นเครื่องร้อยรัดให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสงสารวัฏ การภาวนาจึงเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงสุด ประเสริฐที่สุด ได้บุญมากที่สุดเป็นกรรมดีอันยิ่งใหญ่เรียกว่า "มหัคคตกรรม" อันเป็นมหัคคตกุศล
การเจริญภาวนานั้น เป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา จัดว่าเป็นแก่นแท้และสูงกว่าฝ่ายศีลมากนัก การเจริญภาวนานั้น
มี ๒ อย่างคือ "สมถภาวนา (การทำสมาธิ)"และ "วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา)"
เหตุใดไม่เร่งขวนขวายสร้างสมบุญบารมีที่เป็นอริยทรัพย์อันประเสริฐ์ ซึ่งจะติดตามตัวไปได้ในชาติหน้า แม้หากว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีจริงดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ อย่างเลวพวกเราก็เพียงเสมอตัว มิได้ขาดทุนแต่อย่างใด หากสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนเอาไว้ว่ามีจริงดั่งที่ปราชญ์ในอดีตกาลยอมรับ แล้วเราท่านทั้งหลายไม่สร้างสมบุญและความดีไว้ สร้างสมแต่ความชั่วและบาปกรรมตามติดตัวไป เราท่านทั้งหลายไม่ขาดทุนหรอกหรือ เวลาในชีวิตของเราที่ควรจะได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อเวลาหมดไปเท่ากับเสียเปล่า หรือเรียกว่าโมฆะ คือเสียหมดมาแต่ต้น