ฉัตรเพชรเจ้าชายไร้บัลลังค์


ความเป็นผู้ป่วยทำให้ใครๆก็ไม่เชื่อแม้แต่ชื่อ กับนามสกุลที่เขาบอกออกมา

นิทานไม่มีบ้าน  ตอนที่ ๑  ฉัตรเพชร เจ้าชายผู้ไร้บัลลังค์                         

เล่าโดย หมุยแก้มย้อ (หมอแก้มยุ้ย)

          กาลครั้งหนึ่ง ๑๓ ปีมาแล้ว ณ ดินแดนที่อยู่ไกลจากความรับรู้ของผู้คนเจ้าชายผู้ทรงพระปรีชาออกตามหาที่มาของเสียงที่ไม่มีใครรับรู้ได้ นอกจากพระองค์ เสียงนั้นพร่ำพรรณนาต่างๆ ทั้งให้ทรงดีพระทัย ให้เสียพระทัย ให้สรวลตามลำพังพระองค์เองหรือแม้แต่ให้กริ้วโดยไม่มีใครเป็นต้นเหตุ

          พระบิดาเฝ้ายืนยันกับเจ้าชายว่า เสียงนั้นไม่มีอยู่จริง แต่เจ้าชายไม่เชื่อ เพราะทรงรับรู้ด้วยองค์เองว่า เสียง และความสมจริงนั้น มีอยู่แน่ๆ และเจ้าของเสียง เลือกที่จะให้พระองค์รับรู้เพื่อสานต่อกรณีกิจบางอย่างให้ลุล่วงเสียด้วย  บางครั้งพระบิดา และพระญาติ ต่างรวมองค์กันบังคับ ให้เจ้าชายฉัตรเพชร เลิกตรัสโต้ตอบกับเสียงที่ว่านั้น แต่พระองค์ไม่ยอม เพราะเสียงนั้น เป็นเหมือนพระสหาย พระญาติ หรือบางครั้งเป็นเสียงพระมารดาที่สวรรคตไปแล้วก็ทรงได้ยิน

          เหตุการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  จนกระทั่งวันหนึ่ง พระบิดา และพระญาติ ร่วมกันวางแผน ให้มหาดเล็กในชุดสีกากี มาจับพระองค์มัด แล้วส่งพระองค์ไปยังห้องขัง ที่มีแต่ทหารยามในชุดสีขาว

          ที่แห่งนั้นเพชฌฆาตมักเข้ามาพร้อมอาวุธแหลมคมในมือ ทั้งเจาะทั้งจิ้ม ทิ่มแทง จนเจ็บไปทั่วพระวรกาย ความกริ้ว และความกลัวเข้ากุมพระทัย เจ้าชายรวบรวมกำลังทั้งหมด พร้อมกับเสียงที่ให้คำแนะนำเป็นฉากๆ ให้ทรงหนีออกจากที่แห่งนี้   ภาพห้องขังค่อยๆลับเลือนไปจากพระเนตร ทรงวิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง ทรงหนีห่างจากทุกอย่าง ยกเว้นเสียงนั้นที่ยังติดตามพระองค์ไปทุกหนแห่ง ไม่มีอีกแล้วเสด็จพ่อที่คอยขัดพระทัย ไม่มีพระญาติที่คอยปองร้าย ไม่มีคอยเฝ้าจ้องมอง ไม่มีแม้แต่ปราสาทราชวังเดิมที่เคยประทับ          มีแต่พระองค์ที่ออกดำเนินไกลออกไป...ไกลออกไป

          ที่บ้านตลาดใหม่ ต.กุดชุม จ.มุกดาหาร พ่อเฒ่า รับฟังเรื่องลูกชายคนเล็กที่หนีออกจากโรงพยาบาลอย่างเศร้าสร้อย เมียที่ตายไป สั่งฝากให้ดูลูกให้ดี สิ้นพวกเราแล้วลูกจะไม่มีที่พึ่ง  แต่นี่สิ้นแต่แม่ พ่อยัง เจ้าก็หนีไปจากพ่อซึ่งเป็นที่พึ่งเสียแล้ว ลูกเอ๋ย....ป่านนี้จะอยู่ยังไง.. จะกินยังไง...จะนอนที่ไหน...เสียงผีบ้าห่านรกที่ไหนที่มากล่อมใจเจ้า เจ้าจึงหลงเชื่อยิ่งกว่าคำพ่อ...

         ชายชราเศร้า และละอายใจ ความทุกข์ค่อยๆกัดกินอวัยวะภายในอย่างช้าๆ ชายชราตรอมใจตายในเวลาต่อมา นัยน์ตาของพ่อผู้ปวดร้าวเบิกโพลง ตาคู่เดิม ....พ่อคนเดิมที่นั่งรอ.....รอลูกกลับบ้าน

         ต้นปี ๒๕๕๒  หน่วยการพยาบาลเคลื่อนที่ฉุกเฉินโรงพยาบาลศูนย์ จังหวัดขอนแก่น ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีชายไทยไม่ทราบชื่อ ถูกรถยนต์ชนอาการสาหัส รถคันที่ชนหลบหนีไป ทิ้งไว้แต่ร่างของชายวิกลจริต ที่เอาเส้นลวดมาพันไว้รอบคอ รอบข้อมือ และข้อเท้าทุกข้าง.....

         กลางปี ๒๕๕๒ ชายไทยไม่ทราบชื่อ เริ่มตื่นลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในห้องพยาบาลระยะวิกฤติ เสียงสำลักท่อช่วยหายใจ บ่งบอกว่าเขากำลังเริ่มหายใจด้วยตนเอง หลังจากทิ้งให้เป็นภาระของเครื่องช่วยหายใจมาหลายเดือน แพทย์และพยาบาลที่เข้าเวรต่างก็ดีใจ....

         "ชายไทย.....ฟื้นแล้ว!!" เสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นอย่างดีใจ.....

       แต่สำหรับเจ้าชายฉัตรเพชร...พระองค์ทรงได้ยินเหมือนสุรเสียงที่คุ้นเคยของพระญาติสักองค์หนึ่ง...ตรัสเรียกอยู่ไกลๆ....ว่า...."เจ้าชาย.....เจ้าชาย ทรงฟื้นแล้ว"

         ปลายปี ๒๕๕๒ จิตแพทย์โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นได้รับรายงานว่าชายไทยไม่ทราบชื่อ ที่ต่อมาเรียกกันว่า ชายไทยเพชร ตามที่คนไข้มักบอกเมื่อถูกถามชื่อก่อเหตุดึงสายน้ำเกลือ และปิดเครื่องช่วยหายใจของผู้ป่วยที่นอนในตึกต่างๆ เหมือนเช่นที่เป็นมาตั้งแต่ฟื้นตัวและเริ่มเดินได้   แผลผ่าตัดของร่างกายซีกซ้ายและขวา ไม่เคยเป็นอุปสรรค สำหรับชายไทยเพชร เขาเริ่มลงเดินเองตั้งแต่แพทย์ยังไม่ทันสั่ง  เขาแกะผ้าพันแผลเองตอนพยาบาลเผลอ เขาแอบกินข้าวของเพื่อนเตียงข้างๆที่ยังหลับไหล....เขาเอง...เจ้าชาย(ไทยไม่ทราบชื่อ)แห่งโรงพยาบาลศูนย์

         งานนี้จิตแพทย์ไกล่เกลี่ยไม่ได้เหมือนทุกครั้ง เพราะชายไทยเพชรทั้งดึงท่อ ทั้งปิดเครื่องช่วยหายใจจนเจ้าของเครื่องหน้าเขียว และความดันเลือดตก พยาบาลยื่นคำขาดให้จิตแพทย์เนรเทศ เจ้าชาย(ไทยไม่ทราบชื่อ)ไปที่อื่นภายใน๗วัน จิตแพทย์คอตก แต่ชายไทยเพชรสีหน้ายิ้มแย้ม พอหมอถามว่ายิ้มทำไม เพื่อนเกือบตาย เขาหัวเราะแล้วตอบว่า

         "สงสาร...กลัวนอนไม่หลับ..เสียงพัดลมมันดัง เลยปิดพัดลมให้....สบายแล้ว..นอนนิ่งเลย..."

         ไม่นานจากนั้นชายไทยเพชรถูกส่งตัวมาฉัน หมอโรคจิตที่ทุกคนอยากอยู่ห่างๆ เพื่อรับการช็อคไฟฟ้าให้หยุดวุ่นวาย ก้าวร้าว และวู่วาม ฉันสังเกตว่าถ้าฉันเรียกเขาว่าเพชร เขาจะมองตามเสมอ...ฉันจึงถามเขาอย่างสงสัยว่า

         "เพชร....เพชรชื่อจริงชื่ออะไร"...... "ฉัตรเพชร" เขาตอบพร้อมสบตาฉัน(เชื่อได้)

         "นามสกุลล่ะ"..... "มังคละคีรี" เขายังสบตาฉันอยู่(เชื่อได้)

         "บ้านเพชรอยู่ไหน"....."กุดชุม"....เริ่มหลบตา(อาจจะยังพอเชื่อได้)

         "กุดชุมที่ไหน"......."ที่ไหนไม่รู้".....หลบตาแล้วหัวเราะคิกๆคักๆ (แปลว่าเชื่อไม่ได้แล้ว)

          ทุกครั้งที่เพชรบอกชื่อและนามสกุล เขาจะถูกเจ้าหน้าที่หัวเราะอย่างขบขันพร้อมกับล้อเลียนว่า คงจะจำมาจากชื่อของพระเอกลิเก หรือไม่ก็ชื่อพระเอกหมอลำที่เคยดูที่บ้าน ก่อนจะเป็นบ้า

เพราะคนธรรมดา ไม่มีชื่อดีๆ  และมีนามสกุลมีชาติตระกูลแบบนี้หรอก

         ใครๆก็คิดแบบนั้น แต่ฉันไม่....ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ฉันเชื่อว่าที่เพชรพูดมาเป็นเรื่องจริง

          กระบวนการออกตามหาราชวังและถิ่นสถานของพระเอกเริ่มต้นขึ้น ฉันแจ้งผู้เกี่ยวข้องให้แจ้งสถานีตำรวจทั้งอำเภอ และตำบล ที่ชื่อกุดชุมทั่วทั้งประเทศ เพื่อค้นหาว่าในรอบ ๑๐ ปีที่ผ่านมามีคนแจ้งความ ว่ามีญาติชื่อ ฉัตรเพชร มังคละคีรี หายไปบ้างหรือไม่...เรื่องของเพชรเงียบ แต่เรื่องของฉันไม่

          ผู้คนโจษขานเรื่องหมอบ้าเชื่อตามที่อยู่ที่คนบ้าบอก...ฉันยังเชื่อเพชร ว่าชื่อและนามสกุล นั่นเป็นของขวัญจากพ่อแม่ที่เขาภูมิใจ เป็นสิ่งเดียวที่ติดตัวเขามา สิ่งเดียวที่เขาจดจำ เกี่ยวกับตัวตนที่เลือนรางของเขาได้...พระพุทธที่ฉันอาราธนาไว้ในใจบอกฉันอย่างนั้น

          วันเวลาผ่านไปพร้อมกับความหนาวเย็นในช่วงปลายปีโถมเข้ามา เพชรเริ่มเกร็งจนยืนไม่อยู่ เพราะกล้ามเนื้อและกระดูกที่ป่นปี้จากรถบดทับทนความเย็นไม่ได้ เหล็กที่ใช้ดามขาทั้งสองข้าง แทบจะรับน้ำหนักร่างเล็กๆของเขาไม่ไหว ฉันเข้าประคองเขาอย่างทะนุถนอม ก่อนจะบอกเขาว่า  "อีกไม่กี่ครั้งเพชรก็จะช็อคไฟครบเก้าครั้งแล้ว  หมออยากให้เพชรบอกเรื่องของเพชรมากกว่านี้ ก่อนที่ความจำทั้งหมดจะหายไปพร้อมไฟฟ้า หมออยากรู้ว่าเพชรมาจากไหน พี่น้องชื่ออะไร พ่อแม่ชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน แล้วหมอจะพาไปตามหาบ้าน"  เขายันตัวขึ้นมองฉันแล้วบอกว่า

           "แม่ตายแล้ว ชื่อตุ้ม มังคละคีรี พี่ชายชื่อรุ่งศักดิ์ พี่สาวชื่อพรศิริ บ้านอยู่มุกดาหาร"...นี่เป็นครั้งสุดท้าย ที่เพชรพูดกับฉันด้วยความจำที่ติดตัวมา...ฉันขอให้นักสังคมสงเคราะห์ สืบหาจากงานทะเบียนราษฎร์ ว่านายรุ่งศักดิ์ และนางพรศิริมีตัวตนอยู่หรือไม่...แต่ทุกอย่างก็เงียบ ยกเว้นเสียงหัวเราะเบาๆของเพชรเวลาได้กินขนมที่ชอบใจ

           ฉันเริ่มต้นสร้างบ้านดินหลังแรก ด้วยความรู้สึกว่า เพชรคงจะได้ประเดิมอยู่บ้านหลังนี้แน่  ค่ำวันหนึ่งของต้นเดือนมกราคม อากาศยังหนาว ดินที่ฉันปั้นผนังเริ่มแข็งตัวอย่างรวดเร็ว จนต้องเร่งมือปั้นผนังอย่างไม่กลัวมืด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทั้งๆที่ฉันไม่ได้อยู่เวร"ฮัลโหล" ฉันรับเสียงขุ่นๆ

          "หมอคะมีเรื่องชายไทยเพชรจะรายงานค่ะ" "แต่หมอไม่ได้อยู่เวร"ฉันสะบัดเสียงใส่เพราะการเช็ดดินจากมือมารับโทรศัพท์ไม่ใช่เรื่องง่าย "รู้ค่ะ แต่เรื่องนี้พี่ว่าพี่ต้องบอกหมอเอง" เสียงพยาบาลอาวุโสรุ่นแม่ตอบมาอย่างร่าเริง "คุณรุ่งศักดิ์ มังคละคีรี พี่ชายคุณฉัตรเพชรมารับน้องชายค่ะ"

           "อะไรนะ!!" ฉันร้องสุดเสียง ดีใจจนไม่รู้จะพูดว่ายังไง...ในที่สุด...เรื่องที่ใครๆว่าเป็นไปไม่ได้  ก็เป็นจริง ฉันฟังคำรายงานด้วยใจที่แช่มชื่น พี่ชายบอกว่าเพิ่งมีคนไปบอกว่ามีคนเจอน้องชายที่หายไป ๑๓ปีแล้วก็เลยรีบนั่งรถมาตามหา เขาอยู่มุกดาหารอำเภอไกลๆเลยมาถึงมืด คุณหมอจะให้เขากลับบ้านไหม....พี่พยาบาลยังพูดอะไรอีกหลายคำ...แต่ฉันส่งเสียงตอบกลับยังไม่ได้ เพราะกลัวว่าเสียงร้องไห้ด้วยความดีใจจะลอดสายไปให้ปลายทางได้ยิน

           ในที่สุดฉัตรเพชรก็ได้กลับบ้าน ไม่มีเจ้าชายพลัดถิ่น กับเสียงที่ไม่มีที่มาอีกแล้ว บ้านดินหลังแรกถูกปรับเป็นห้องน้ำ แต่ฉันยังไม่เคยลืมเรื่องนี้ เรื่องเจ้าชายไร้วังที่ทำให้ฉันอยากสร้างบ้านให้

           เมื่อทิดใหญ่ชายพิการที่มีแขนขาลีบด้านขวามาทำงานเป็นคนสวน เขาขอให้ฉันสร้างบ้านให้เพื่อจะได้เฝ้าสวนอย่างสะดวก ฉันป่าวประกาศให้เพื่อนๆมาช่วยทิดใหญ่สร้างบ้าน ตอนที่ทิดใหญ่น้ำตาไหลเพราะซึ้งใจที่คนมากันมาก และทุกคนอยากทำบ้านให้ทิดใหญ่แม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

            ฉันรู้สึกขนลุกวูบวาบ เหมือนได้ยินเสียงกระซิบแผ่วๆจากข้างในดวงตาที่เปียกชุ่มของทิดใหญ่ ว่า"ขอบคุณๆๆ" แต่เสียงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงของทิดใหญ่ เป็นเสียงแหบพร่าของชายชราและหญิงชรา ที่เฝ้ามองหาลูกชายที่หายไปจากส่วนที่สูงที่สุดของขอบฟ้า เสียงขอบคุณที่ช่วยส่งลูกชายที่หายไปได้กลับบ้าน เสียงขอบคุณ ที่ส่งเจ้าชายองค์เล็กของครอบครัวกลับไป กินอิ่ม นอนอุ่น ในที่ที่เรียกได้เต็มปาก ว่า " นี่คือบ้านของผม นายฉัตรเพชร มังคละคีรี"

           ฉันรู้สึกขำๆ ว่าจะบอกกับผู้คนว่ายังไงเกี่ยวกับรูปปั้นรอบบ้านทิดใหญ่ ที่ฉันจะปั้นเป็นรูปเจ้าชายเดินหลงอยู่กลางป่า   เอ...หรือว่าจะปั้นเป็นรูปถังออกซิเจน กับเครื่องช่วยหายใจดีนะ........

หมายเลขบันทึก: 463482เขียนเมื่อ 2 ตุลาคม 2011 14:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน 2012 16:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

คุณหมอคะ... อ่านแล้วมีความสุขจัง

 

แม้ว่าเบื้องหลังความสุขจะมีความเศร้าปะปนอยู่

สิ่งที่คุณหมอเล่ามันทำให้พวกเราเกิดพลังในการทำงานมากขึ้นนะคะ

ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้คะ

สวัสดีค่ะ

  • อ่านเรื่องเล่า เข้าใจว่ามันเป็นละคร  อ่านไปอ่านมามันน่าจะเป็นเรื่องจริง
  • เลยอ่านทบทวนหลายครั้ง จนซึบซับกับความห่วงใยของคุณหมอต่อเจ้าชายพลัดถิ่น
  • ขอบคุณสังคมที่ยังมีเรื่องดีงามให้หล่อเลี้ยงจิตใจ (เพราะจากการฟังแต่ข่าวที่มีแต่เรื่องโหดร้าย) 
  • ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันค่ะ

ขอบคุณที่ให้กำลังใจ การเข้าใจผู้ป่วยที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองป่วย สำคัญมากค่ะ

สวัสดีครับ....คุณหมอ

เร้าพลัง แต่ตัวหนังสือเล็กจัง นั่งอ่านตั้งนานกว่าจะจบ

ตัวหนังสือจิตแพทย์ค่ะ...ขอบคุณที่กรุณาอ่านและแบ่งปันค่ะ

ภูริชัย มังคละคีรี

ขอขอบพระคุณท่านแพทย์หญิงปริยสุทธิ์ อินทสุวรรณ อย่างสูง ด้วยความเคารพยิ่ง ผม เป็น พี่ชายนายจักรเพรช มังคละคีรี (ฉัตรเพชร) ได้รับน้องชายกลับบ้าน ที่ จ.มุกดาหาร ขอบพระคุณคุณหมอที่ได้เมตตา น้องชาย ผม ขอให้คุณหมอ จงมีแต่ความสุข ความเจริญ เป็นที่รักของเทวดา และ มนุษย์ ทั้งหลาย ขอให้คุณพ่อพบเจิแต่สิ่งที่ดีๆโชคดีตลอดไปครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท