ในการวิจัย เรามักจะพบความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากอีกประการหนึ่งที่นักวิจัยจะต้องคำนึงถึงให้มาก แล้วมีวิธีอย่างไรจะทำให้ความคลาดเคลื่อนนั้นให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด
ในการทำงานวิจัยแต่ละครั้ง เราจะพบว่า ผลการวิจัยที่ได้มานั้น คือ ความจริง (Truths) + ความคลาดเคลื่อน (Error)
ที่มา : http://www.cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re1_2.htm
ความคลาดเคลื่อนที่เราพบนั้น ถ้าแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ จะจำแนกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน (ดังภาพที่ 1)
- ความคลาดเึคลื่อนเชิงระบบ (Systematic Errors) หรืออคติ (Biases)
- ความคลาดเคลื่อนแบบสุ่ม (Random Errors)
เรามาดูความแตกต่างระหว่างความคลาดเคลื่อน 2 ชนิดนี้ และพยายามวินิจฉัยผลที่มีต่องานวิจัยของเรา
ภาพที่ 2
ที่มา : http://www.watpon.com/Elearning/mea14.htm
- ความคลาดเคลื่อนเชิงระบบ หรือ systematic Error เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากความลำเอียง (Bias) ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในทุกกระบวนการวิจัย มีโอกาสเกิดได้เท่ากันในทุกกลุ่มประชากร และมีโอกาสเกิดความแปรปรวน ไปในทิศทางใดทางหนึ่งได้มากกว่า ความคลาดเคลื่อนเชิงระบบนี้ถือว่าร้ายแรงมาก เพราะเกิดจากคลามลำเอียงของผู้วิจัยเอง และจะให้ผลที่ผิดไปจากความจริง อย่างแน่นอน (อาจจะศึกษาภาพที่ 3 เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น)
ภาพที่ 3
ที่มา : http://www.watpon.com/Elearning/mea14.htm
Bias ของผู้วิจัย โดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่ส่งผลต่อผลสรุปการวิจัย การป้องกัน คือ ผู้วิจัยต้องมีจรรยาบรรณ โดยเริ่มตั้งแต่
**ความคลาดเคลื่อนจากการระบุวัตถุประสงค์ของการวิจัย เกิดจากความเข้าใจหรือตีความในปัญหาการวิจัยผิดพลาด ทำให้ผลสรุปการวิจัยไม่ตรงกับประเด็นปัญหา แนวทางป้องกันคือ พิจารณาปัญหาให้ถ่องแท้และระบุวัตถุประสงค์ด้วยภาษาที่รัดกุมและตรวจสอบหลายๆครั้ง
**ความคลาดเคลื่อนอันเกิดจากการกำหนดตัวแปร แนวทางการป้องกันคือ การวางแผนการวิจัยที่รอบคอบ พิจารณาอย่างถี่ถ้วน
**ความคลาดเคลื่อนอันเกิดจากการใช้รูปแบบการวิจัยไม่เหมาะสม แนวทางป้องกันคือ ศึกษารูปแบบการวิจัยให้ถ่องแท้และเลือกให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย
**ความคลาดเคลื่อนอันเกิดจากการวัดตัวแปร แนวทางป้องกันคือ เลือกใช้หรือสร้างเครื่องมือที่มีความคลาดเคลื่อนแบบมีระบบ(เกิดจากความตรงของเครื่องมือ)และความคลาดเคลื่อนแบบสุ่ม(ส่งผลต่อความเที่ยงของเครื่องมือ)ให้น้อยที่สุด หรือให้มีความตรงและความเที่ยงสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
**ความคลาดเคลื่อนอันเกิดจากการรวบรวมข้อมูล เป็นการใช้เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลไม่เหมาะสม แนวทางป้องกันคือ ศึกษาเครื่องมือแต่ละประเภทให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนกำหนดเครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
**ความคลาดเคลื่อนอันเกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การฝ่าฝืนข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติทดสอบ การเลือกใช้สถิติผิดพลาด แนวทางป้องกันคือ ศึกษาสถิติให้เพียงพอสำหรับใช้วิเคราะห์ข้อมูลหรือปรึกษาผู้รู้
**ความคลาดเคลื่อนอันเกิดจากการแปลความหมายและการสรุปผลการวิจัย เช่น สรุปเกินข้อมูลที่กำหนดไว้ในรูปแบบการวิจัย แปลความหมายค่าสถิติผิดพลาด แนวทางป้องกันคือ ระมัดระวังในการใช้ภาษาในการรายงานผล หรือปรึกษาผู้รู้
- ความคลาดเคลื่อนแบบสุ่ม หรือ Random Error หรือ สิ่งรบกวน (Noise) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และเกิดขึ้นโดยบังเอิญ (chance) ไม่มีทิศทางที่แน่นอน อาจจะเป็นทางด้านบวกหรือด้านลบ ความคลาดเคลื่อนประเภทนี้ขึ้นอยู่กับ แบบแผนการสุ่ม ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง สูตรในการประมาณค่า และความผันแปรในของคุณลักษณะที่ศึกษาภายในกลุ่มตัวอย่างนั้น เ็ป็นความคลาดเคลื่อนที่ไม่ร้ายแรงมากนัก เพราะความคลาดเคลื่อน ด้านสูง และต่ำ อาจจะหักล้างกันไปเอง (ศึกษาภาพที่ 4 ประกอบ) แนวทางป้องกันคือ กำหนดขอบเขตประชากรให้ถูกต้องชัดเจน กำหนดขนาดดกลุ่มตัวอย่างและแบบแผนการสุ่มให้เหมาะสมตามหลักการสุ่มตัวอย่าง
ภาพที่ 4
ไม่มีความเห็น