ขอคุณลุงหอมหน่อยน้า ... น่ารักจังเลย ;)...
"กะทิทานอาหารเองได้ตั้งแต่ขวบกว่า"
ดีจังค่ะ เห็นพ่อแม่ พี่เลี้ยงวิ่งไล่ต้อนป้อนข้าวเด็กๆ แล้วเหนื่อยแทน...บางบ้านตามไปป้อนถึงโรงเรียนค่ะ
น้องน่ารักมากครับ
หลานกะทิน่ารัก น่ากอดมากๆ ค่ะพี่หญิงศิลา
น่ารักจัง.....ต้องน่ารักและเก่งเหมือนคุณป้าศิลา แน่เลย ^^
เพลินจังค่ะกับความน่ารักของหลานกระทิและเรื่องเล่าดีๆเช่นนี้ เห็นด้วยอย่างยิ่งา่า เด็กๆจะซึมซับทุกอย่างที่ผู้ใหญ่ " ทำให้ดู อยู่ให้เห็น" :)
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านเรื่องราวในบันทึกนี้ค่ะ
พร้อมกับมาชมภาพน้องกะทิค่ะ
น้องน่ารักมากๆ ค่ะ
เป็นบันทึกที่อ่านแล้วมีความสุข
และน่าประทับใจมากค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ที่นำมาแบ่งปันให้ได้อ่านนะคะ
ขอบคุณค่ะ^_^
มีความสุขนะครับ หลังจากที่อ่านบันทึกแสนจะน่ารักของคุณsila บันทึกนี้
น้องกะทิ มีบางมุมที่คล้ายคุณsila นะครับ
หน้าหวานมาก ๆ ...
ฝากหอมแก้มด้วยนะครับ
... นอนหลับฝันดีนะ...น้องกะที
อ่านเพลินค่ะ น้องศิลาเขียนได้ง่าย ๆ น่ารัก
พี่เป็นคนหนึ่งที่คิดว่า สุขภาพกายและจิตของลูกขึ้นอยู่กับพ่อแม่และผู้เลี้ยงดูใกล้ชิด เป็นผู้ก่อร่าง หรือปั้นโครง โดยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ (เผื่อคุณพ่อคุณแม่ที่มีข้อจำกัดจริง ๆ สักหนึ่งเปอร์เซ็นต์)
สมัยที่พี่และสามีเลี้ยงลูกเอง เราจะเตือนกันเสมอว่าเราคือต้นแบบของลูก
ลูกกินผักได้ทุกชนิดตั้งแต่เด็ก ไม่เว้นแม้แต่ผักรสขมเช่น มะระ เพราะเรากินกันทุกวัน
ลูกยอมให้แม่หรือพี่พยาบาลฉีดวัคซีนเพราะเราอธิบายเหตุผลแก่เขา
มีครั้งเดียวที่ร้องงอแงตอนให้น้ำเกลือ เพราะปวดท้องจากลำไส้อักเสบ แต่ไม่ใช่ร้องเพราะกลัวเข็ม ลูกกล้ามองดูเข็มน้ำเกลือที่พี่พยาบาลสอดเข้าเส้น เพราะสอนให้เขารู้ว่า เป็นสิ่งปกติที่ต้องเจ็บ
...
หลานกะทิ คงได้รับการสอนและดูแลแบบใช้เหตุผล จึงน่ารัก น่ากอดขนาดนี้
ยิ้มและพลอยยินดีไปด้วยค่ะ