หลังจากที่ได้ประสานงานเรื่องการจัดค่าย “ life & learn” กับครูบาสุทธินันท์ เรียบร้อยแล้วก็เริ่มรุ่นที่ 1 เมื่อวันที่ 24 ถึง 28 เมษายน 2549 โดยได้นำพนักงานจากบริษัท เอสซีไอ แพลนท์เซอร์วิสเซส จำกัด จำนวน 22 คน และจากปูนแก่งคอยอีก 10 คนก่อนเดินทางออกจากบริษัท พนักงานต่างก็ถามว่าเราจะไปทำอะไร อบรมอะไร แต่ก็เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เพราะผมเองแม้เป็นผู้ร่วมออกแบบหลักสูตรแต่ก็ยังไม่รู้ว่ากิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้ก็รู้แต่เพียงว่าจะสร้างบ้าน 1 หลัง ซึ่งก็คิดว่าคงเหมือนกับการสร้างบ้านทั่วๆไป ที่ทำไปตามแบบของบ้านที่วิศวกรรับรองมาแล้ว
เมื่อถึงบ้านสวนป่าครูบาสุทธินันท์ หลังจากที่ได้รับประทานอาหารกลางวันแล้ว ก็เริ่มจากการฟังแนวคิดการจัดการความรู้จากเจ้าสำนักก่อน แล้วก็ต่อด้วยการเดินชมสวนป่า ซึ่งก็ได้เห็นการปั้นอิฐดินซิเมนต์ การทำเกษตรปราณีต การเลี้ยงสัตว์ที่มีทั้ง วัว หมูป่า ไก่ต๊อก ไก่ดำ ไก่บ้าน และนกกระจอกเทศ จนกระทั่งถึงเย็น วันแรกก็ผ่านไปด้วย กระบวนการเรียนรู้ที่ครูบาบอกว่าเป็นเพียง “การรับรู้” เท่านั้น
วันที่สองของการสัมมนา เริ่มต้น การเรียนรู้ หลังจากที่ได้รับประทานอาหารเช้า แล้ว ก็มีการแบ่งกลุ่มเพื่อการเรียนรู้ออกเป็น 4 กลุ่ม ซึ่งวันนี้ได้รับทราบจากครูบาว่าจะให้เรียนรู้ 2 ฐาน คือ
1 . ฐานตีผังโครงสร้างบ้าน
2. ฐานการปั้นอิฐดินซิเมนต์ เพื่อใช้สำหรับการสร้างบ้าน
หลังจากแบ่งกลุ่มกันเรียบร้อย ทีมงานที่เป็นผู้เรียนที่อยูกับความพร้อมมาตลอด (ที่บริษัท) ก็เริ่มถามหาเครื่องมือสำหรับการทำงาน แม้กระทั่งผมเองก็คิดว่าคงมีการเตรียม เครื่องมือไว้พร้อมหมดแล้ว แต่เอาเข้าจริง ได้รับคำตอบจากทีมงานพี่เลี้ยงที่ครูบาจัดไว้ให้ ว่า “เครื่องมือไม่มีครับ” เราถึงกับอึ้ง คำถามผุดขึ้นมาในใจ “แล้วจะทำได้อย่างไร”เครื่องมือไม่มีซักอย่าง เอาละซิแล้วเราจะทำอย่างไร
ที่ฐานตีผังโครงสร้างบ้าน ในฐานนี้มีอยู่กัน ประมาณ 8 คน ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าไม่ยาก เพราะบ้านที่จะสร้างเป็น บ้านวงกลม ต่างก็คิดกันว่าเจองานหมูๆแล้วล่ะ ผู้เรียนต่างก็หาอุปกรณ์เท่าที่พอหาได้มาใช้เป็นเครื่องมือในการ ตีผังบ้านเป็นวงกลม พร้อมทั้งกำหนดจุดที่ตั้งเสา 4 ต้น แต่พอตีวงกลมเสร็จ ได้รับแจ้งจากทีมปั้นอิฐว่า ไม่สามารถปั้นอิฐโค้งได้เนื่องจากชิ้นส่วนของแบบพิมพ์ หายไป ปั้นได้เฉพาะอิฐสี่เหลี่ยมธรรมดา โจทย์การเรียนรู้ข้อที่หนึ่งเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อปั้นอิฐโค้งไม่ได้ ทีมงานทั้งหมดจึงคิดหาวิธีแก้ปัญหา จนในที่สุดเราก็ตกลงกันว่าจะเปลี่ยนรูปแบบบ้าน จากวงกลมมาเป็น บ้านรูปหกเหลี่ยมแทน ทุกคนเห็นด้วย ตอนแรกก็นึกว่าง่าย แต่เราลืมคิดไปว่าการสร้างบ้านครั้งนี้ “ไม่มีแบบ” เราเริ่มตีผังบ้านรูปหกเหลี่ยมกันใหม่ แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะในการทำงานครั้งนี้เรามีอุปกรณ์แค่ 2 ชิ้น คือสายเอ็น และไม้โปรแทรกเตอร์ เท่านั้น เราวัดกันแล้ววัดกันอีก แต่หกเหลี่ยมแต่ละด้านก็ยังไม่เท่ากัน ในสถานการณ์เช่นนี้การเรียนรู้ที่ชัดเจนก็คือได้เห็น กระบวนการคิด คือ
1. ความคิดที่หลากหลาย เมื่องานที่ทำเป็นงานที่ไม่เคยทำ ไม่มีความรู้ และไม่มีเครื่องมือเลย สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือทุกคนต่างแสดงความคิด เพื่อหาแนวทางการทำงานให้ได้ ยิ่งมากคนก็ยิ่งมากความคิด
2. การจัดการความคิดที่หลากหลาย เมื่อต่างคนต่างแสดงความคิดเห็น แล้วจะหาข้อยุติได้อย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือทุกคน ต่างคิดวิเคราะห์ เมื่อเห็นว่าความคิดเห็นของคนอื่นดีกว่าก็ยอมรับฟัง และเสนอแนะเพิ่มเติม ผมเริ่มสนุกกับเกมนี้แล้วเฝ้าตามดูสถานการณ์ อย่างใกล้ชิด และคิดในใจว่า “การทำงานครั้งนี้ไม่มีความพร้อมเลย แต่ในความไม่พร้อมกลับเป็นเครื่องมือในการเปิดใจคนเข้าให้แล้ว” ครูบาคงจงใจสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่พร้อม
3. การพิสูจน์ความคิด เมื่อมีความคิดเห็นที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ หรือยังไม่แน่ใจ ก็มีการลงมือลองทำดูเพื่อพิสูจน์ให้รู้จริง จนกระทั่งสามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง
4. การเรียนรู้จากภูมิปัญญา ในบริเวณที่เราทำงานมีลุงแก่คนหนึ่งมายืนมือไขว้หลัง ทำคอเอียง มองพวกเราทำงาน ไม่ยอมพูดจาใดๆเลย บางทีก็เห็นแกแอบยิ้มๆในใจ จนกระทั่งมีทีมงานคนหนึ่งเข้าไปทักทายพูดคุยกับลุงแก จึงรู้ว่าแกเป็นช่างสร้างบ้าน แต่แกก็ไม่ยอมบอกอะไร ถามก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าเราตื้อ มากๆถึงจะบอกมาซักคำ แต่ก็บอกแบบให้คิดก่อนถึงจะทำได้ (สุดยอด Facilitator)
จนในที่สุดเราสามารถตีผังบ้านได้สำเร็จ ท่ามกลางความภูมิใจสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสความมั่นใจเริ่มเกิดขึ้นกับทุกคนอย่างเห็น ได้ชัด ผมเองในฐานะ Facilitator ของโครงการนี้ ก็ทำตัวเนียนไปกับผู้เรียน ร่วมทำงานทุกขั้นตอน เมื่อเราพักกันหายเหนื่อยแล้ว ในขณะที่เรากำลังนั่งมองผลงาน อย่างมีความสุขอยู่นั้น ผมจึงชวนคุยให้ทุกคนคิดแบบไม่ให้รู้ตัว เป็นคำถามง่ายๆสั้นๆทิ้งท้ายไว้ให้ทุกคนได้คิด “งานนี้เราไม่เคยทำนะ ความรู้เรื่องนี้เราก็ไม่มี ทำไมเราถึงทำได้ เราทำได้อย่างไร แล้วเราได้รู้อะไรจากการทำงานในครั้งนี้”
ถึงตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า หากคนเราอยู่กับความพร้อมตลอดเวลานั้นทำให้ความตื่นตัวที่จะเรียนรู้นั้นน้อยลง ดังนั้น “สถานการณ์ของความไม่พร้อม” จึงน่าจะเป็นเครื่องมืออีกเครื่องมือหนึ่งที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ ครั้งต่อไปผมจะพาไปพบกับจุดเรียนรู้จากความไม่พร้อมของฐานปั้นอิฐดินซิเมนต์........
ไม่มีความเห็น