ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ถึงแม้จะมาด้วยกัน พิจารณาด้วยกัน แต่สิ่งที่เห็นและวางยากที่สุดสำหรับผมแล้ว คือ "อนัตตา"
อนิจจัง สิ่งปรุงแต่งทั้งปวง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ก็พอเห็นบ้าง
ทุกขัง สิ่งปรุงแต่งทั้งปวงเป็นทุกข์ ก็พอเห็นนิด ๆ เพราะจิตปรุงแต่งคราใด สุดท้ายก็ลงท้ายว่าทุกข์ร่ำไป
ส่วนเจ้า "อนัตตา" นี่ตัวดีนัก เผลอคราใด ก่อตัว "เรา" ขึ้นมาทุกคราไป ถ้า้เผลอแล้ววางช้า หรือวางไม่ได้ เป็นโดนเล่นงานอีกหลายขนาดแน่ ๆ เลย
ถึงแม้จะพอเข้าใจได้บ้างในตอนแรกนั้น ก็ยากนักที่จะเห็นและวางตัวตนได้ ต้องตะลุมบอลกันอยู่หลายเพลงพระสูตร ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ อยู่เป็นพัลวัน
แต่ก่อนก็กอดคำภีร์ "มหามุทราอุปเทศ" เป็นหลักในการต่อสู้ครับ ปีนี้โชคดีได้สุดยอดพระสูตรมาเิ่พิ่มพลังวัตรอีก นั่นคือ "คำสอนท่านฮวงโป" ทำให้ออกอาวุธหนัก ๆ ต่อสู้ สูสีกับเจ้ากิเลสตัณหาได้ดีขึ้นบ้างครับ
ด้วยความลึกล้ำของพระสูตรทั้งสอง เป็นการยากมากที่ผมจะเข้าถึงแก่นแท้ จึงได้แต่มั่ว ๆ ไปตามบุญวาสนา
จึงขอสรุปแก่นคำสอนของท่านฮวงโป แก่น ๑ ไว้เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประมาณว่า ..
หยุดความคิดปรุงแต่ง
ละเว้นจากการแสวงหา
ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น
คำถามที่น่าสนใจ:
1. ความคิดปรุงแต่ง คือ อะไร ? หยุดได้หรือไม่อย่างไร ?
2. ความคิดปรุงแต่ง กับ ปัญญา เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?
3. เมฆดำ กับ เมฆขาว ที่ต่างก็บดบังดวงอาทิตย์อยู่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?
จากคำสอนท่านฮวงโป..
ถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะความแสวงหาเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่าจิตนี้ก็คือพุทธะนั่นเอง
ถ้าหากพวกเธอเพียงแต่สามารถปลดเปลื้องตนเอง ออกมาเสียจากความคิดปรุงแต่งเท่านั้น พวกเธอจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง
ทาง ทางโน้น มุ่งทำความก้าวหน้าโดยสัญญาต่าง ๆ ของเธอ โดยการดู การฟัง ความรู้สึก และนึกคิดอยู่ เมื่อถูกหลอกโดยสัญญาต่าง ๆ ของเธอเสียแล้ว ทางที่เธอจะเดินตรงไปยังจิตโน้น ก็จะถูกตัดขาดออก และเธอก็จะหาทางเข้าไ่ม่พบ
จิตไม่ใช่สิ่งอื่นซึ่งอาจนำเอาไปแสวงหาสิ่งอื่น นอกจากจิต เพราะถ้าทำัดังนั้นแม้เวลาล่วงไปแล้วเป็นล้าน ๆ กัป วันแห่งความสำเร็จก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นอยู่นั่นเอง การทำตามวิธีนั้นไม่สามารถจะนำมาเปรียบเทียบกันได้กับวิธีแห่งการขจัดความ คิดปรุงแต่งโดยฉับพลัน ซึ่งนั่นแหละ คือ ธรรมอันเป็นหลักมูลฐาน
มันต้องทำการป้องกันไม่ให้ความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้นมาให้ได้เท่านั้น ที่พวกเธอจะรู้แจ้งเห็นจริงต่อโพธิ และเมื่อเธอทำได้ดังนั้น เธอก็จะเห็นแจ้งต่อพุทธะซึ่งมีอยู่ในจิตของเธอตลอดเวลาได้จริง
ถ้าพวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่องทางโน้น ปราถนาที่จะเป็นพุทธะ พวกเธอต้องไม่ศึกษาคำสอนใด ๆ ทั้งหมด จงเรียนแต่เพียงว่าทำอย่างไรจึงจะเว้นขาดจากการแสวงหา ข้อนี้ ความหมายว่า จิตไม่เกิดไม่มีการยึดมั่นถือมั่นอยู่และไม่ถูกทำลายนั่นแหละคือ พุทธะ
เดี๋ยวจะเอาไปใช้มั่งครับอาจารย์...เผื่อมันจะหายฟุ้งซ่านจากเรื่องไร้สาระ...
หนูก็อ่านมาเหมือนกันค่ะ.....อิอิ
แต่สำหรับในความคิดของหนูที่หนูได้พิจรณาและไตรตรองเป็นอย่างดีแล้ว หนูได้มีการมองว่ามันหน้าจะมีเนื้อหาโดยประมาณว่า
"ต้องละจากการแสวงหาทั้งภายในและภายนอก
แล้วความคิดก็จะหยุดไปเอง...☺"
จริงๆแล้วเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ คนที่อ่านไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการนึกคิดหรือคาดเดาเอาเอง อันเนื่องด้วยว่ามันได้เป็นสภาวะไปแล้ว
หรือ จิตได้มีการดำเนินการแล้วนั้นเอง...‼...การที่จะสามารถเข้าใจถึงความหมายโดยแท้จริงนั้น...เราควรที่จะมีการปฏิบัติจริงหรือลงมือปฏิบัติลงไปแล้วจริงๆ
............แล้วแต่จะพิจารณานะค่ะ..........‼
นมัสการพระคุณเจ้า
เมื่อวานนี้ กระผมพึ่งได้หนังสือเล่มนี้มาจากการสั่งออนไลน์ เมื่อคืนนี้ได้อ่านทบทวน และฝึกปฏิบัติตามอย่างช้า ๆ พบว่า ดีขึ้นมากเลยครับผม
สวัสดีครับ น้องนภา,
"ต้องละจากการแสวงหาทั้งภายในและภายนอก
แล้วความคิดก็จะหยุดไปเอง...☺"
จริงๆแล้วเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ คนที่อ่านไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการนึกคิดหรือคาดเดาเอาเอง อันเนื่องด้วยว่ามันได้เป็นสภาวะไปแล้ว
หรือ จิตได้มีการดำเนินการแล้วนั้นเอง...‼...การที่จะสามารถเข้าใจถึงความหมายโดย แท้จริงนั้น...เราควรที่จะมีการปฏิบัติจริงหรือลงมือปฏิบัติลงไปแล้วจริงๆ
ความคิดปรุงแต่ง คือ ความไม่รู้จักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง แล้วก็เกิดความคิดขึ้นเป็นรูปต่าง ๆ เืรื่อยไป ด้วยอำนาจของความไม่รู้ ผสมกับอำนาจของสิ่งแวดล้อมปรุงแ่ต่งอยู่
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ
หายไปนานเลยนะครับ...อาจารย์ คงจะมีภารกิจเยอะ
นมัสการพระคุณเจ้า
ช่วงหลังนี้เขียนน้อยลง
เมื่อมีความคืบหน้า (โดยเฉพาะทางธรรม) ก็จะนำมาบันทึกไว้ครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์ ด้วยความรู้อันน้อยนิดขอแสดงความคิดด้วยคนนะค่ะ ความคิดปรุงแต่งนั้นสามารถหยุดได้ถ้าเรามีสติ ระลึกได้อยู่ตลอดเวลาค่ะ
ความคิดปรุงแต่งนั้นสามารถหยุดได้ถ้าเรามีสติ ระลึกได้อยู่ตลอดเวลา
น่าสนใจยิ่งนักครับ
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านบันทึกนี้ค่ะ
อ่านบันทึกนี้แล้วได้ข้อคิดดีมากๆ ค่ะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้นะคะ
ขอบคุณค่ะ^^
สวัสดีค่ะ อาจารย์สุรเชต
ความคิดปรุงแต่ง คือ ความคิดฟุ้งซ่าน ไม่มีเหตุมีผล เป็นเหตุให้เกิดความโลภ โกรธ หลงหากอยากหลุดพ้นจากบ่วงกรรมนี้ควรปฏบัติให้เหมือนกับ....
กระจก....ไม่เลือกที่จะสะท้อนภาพทุกชนิด ฉันใด
จิตใจ.... จงเอาเยี่ยงอย่างกระจก
กระจก.... รับรู้แต่ไม่ยึดถือครอบครอง
ดังนั้น.....จึงไม่มีภาพใดๆ หลงเหลือติดอยู่ในกระจก
สายฝน...ในกระจก หาได้เปียกกระจกไม่
เปลวไฟในกระจก..... ก็หาได้เผาลนกระจกไม่
ทั้งนี้เพราะกระจกไม่ได้ให้อำนาจ แก่ สายฝน และเปลวไฟ ดังนั้นจงทำจิตใจของท่านให้เป็นดุจการรับรู้ของกระจก เพราะถ้าหากจิตใจของท่านหลงยึดถือเป็นทาสของกิเลสเมื่อใด ความทุกข์ ความเศร้าหมองใจย่อมตามมาเมื่อนั้น นี่คือมรรควิธีแห่งการพิจารณา และรับรู้สรรพสิ่งด้วยใจที่สงบบริสุทธิ์ว่างเปล่าจากการปรุงแต่ง
อ้างอิง ทัสสี ภิกขุ
นางอัญชลี คชอาจ รหัส 54050580027 เอกการบริหารการศึกษารุ่น 10
ศูนย์อุบลราชธานี
สวัสดีคะ อาจารย์สุรเชต
เห็นด้วยกับคำว่าจิตปรุงแต่ง จิตปรุงแต่งคือการคิด ความคิดที่เกิดขึ้นกับทุกคนและเมื่อใดแล้วที่เราคิดถึงสิ่งใดก็ตาม ปรุงแต่งว่าเราสุขบ้างเศร้าบ้าง ทั้งที่จริงๆแล้วก็มีทั้งสองอย่าง เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องพบทั้งความสุขและทุกข์แต่เมือใดที่เราไปปรุงแต่งจิตปรุงแต่งความคิดว่าสุขแล้วก็จะกลัวความทุกข์เมื่อทุกข์ก็จะต้องการความสุข ใจจึงไม่เป็นสุขสักที ฉะนั้น ความสบายใจที่เกิดจากการปล่อยวางได้ทุกสิ่ง ด้วยการกำจัดอวิชชา ด้วยการเปลี่ยนความไม่รู้เป็นความรู้แจ้ง นับเป็นความสบายขั้นสูงสุดเหมือนคำกล่าวในหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า เก็บเสบียงไว้เลี้ยงตัว ในบทหนึ่ง มีความว่า “ความสบายใจ เป็นสิ่งแรกที่ควรมี ระหว่างชีวิตยังไม่สิ้น และเป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้องมี ขณะสิ้นชีวิต
ชื่อนางสาวนาตยา โสรินทร์ รหัสนิสิต 54050580009 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาบริหารการศึกษา ศูนย์อุบลราชธานี รุ่น 10
สวัสดีคะ อาจารย์สุรเชต
การหยุดคิดปรุงแต่ง หรือหยุดจิตปรุงแต่ง ฟังดูแล้วแสนง่ายไม่น่ายากแต่ประการใด ตามความเป็นจริงแล้วเป็นหัวใจในการปฏิบัติ และกลับปฏิบัติได้ยากแสนยากเพราะเป็นสังขารอันสั่งสมไว้อย่างแก่กล้าไม่รู้ว่านานมาสักกี่ภพกี่ชาติมาแล้วนั้น และทั้งยังต้องมีสติระลึกรู้เท่าทันทั้งในเวทนา(ของสังขารคิดปรุงแต่ง)หรือจิตที่เกิดขึ้น ตลอดจนปัญญาที่เป็นผู้จัดการปัญหา แต่ก็ล้วนสามารถสั่งสมอบรมสังขารใหม่ให้เกิดความชำนาญหรือวสีได้, โดยเฉพาะการคิดปรุงแต่งที่เกิดในชรา คือขณะกำลังเสพเสวยความทุกข์อันเร่าร้อนอยู่ โดยมีกำลังอันกล้าแข็งของอุปาทาน ได้ครอบงำไว้แล้วด้วยอิทธิฤทธิ์อันแรงกล้าที่ครอบสรรพสัตว์มาได้ตลอด กาลนาน เมื่อพยายามหยุดการปรุงแต่งจึงมักหยุดไม่ได้เป็นธรรมดาทั้งที่รู้และพยายามหยุดการปรุงแต่งแต่ก็ยังวนเวียนปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา แม้จะช้าหรือทิ้งช่วงไปบ้างก็ตาม แต่สำหรับนักปฏิบัติที่เข้าใจปฏิจจสมุปบาทอย่างแจ่มแจ้งจะมีกำลังของปัญญา ที่เกิดการสั่งสมเข้าใจและจากประสบการณ์ในการปฏิบัติอย่างแจ่มแจ้งถึงความเป็นเหตุปัจจัยกัน จึงมีกำลังของจิตอันเกิดแต่ปัญญาที่รู้ว่าทุกข์เหล่านี้เกิดแต่เหตุใดอย่างมั่นใจจึงมีความพยายามหรือมีกำลังของจิตมากกว่าในการหยุดการปรุงแต่งเหล่านั้น ถึงจะยังเกิดขึ้นบ้างก็อยู่ได้ไม่นานเหมือนปุถุชน อันเกิดแต่ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ในปฏิจจสมุปบาทกระบวนธรรมของจิตในการเกิดขึ้นและดับไปแห่งทุกข์อย่างมั่นคงไม่โยกคลอนดุจดั่งเสาเข็มริมเขื่อนแล้วนั่นเอง
สาธุ สาธุ เคล็ดวิชาของกัลยาณมิตรแต่ละท่านไม่ธรรมดายิ่งนัก
เมื่อไม่มีอะไร เลยไม่ได้ปรุงแต่ง สิ่งที่ปรากฏ รับรู้เท่านั้น สักแต่ว่า ผู้รับรู้ก็ไม่มี สิ่งที่ปรากฏเลยไม่มีความหมาย กระจกก็ไม่มี จะหาคำพูดใดอธิบายได้
หยุดปรุงแต่ง คือ หยุดคิด เมื่อหยุดคิด ก็ไม่ปรุงแต่งว่า ดี เลว สุข ทุกข์ สวยงาม อสุภะ