ทัศนคติเชิงบวก


ทัศนคติเชิงบวก, พลังแห่งความคิด, คิดดีไดดี, การปลูกต้นไม้

เรื่อง พลังของความคิด

                ผมมีโอกาสได้อบรมเรื่องของการพัฒนาทัศนคติในทำงาน  ให้กับหน่วยงานหลาย ๆ หน่วยงาน ซึ่งในเนื้อหาส่วนหนึ่งจะกล่าวถึงว่าความคิดของเรามักจะทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นตามที่เราคิด พูดง่าย ๆ คือคิดสิ่งใดก็จะเป็นอย่างนั้น  คิดบวกก็มักจะเกิดแต่เรื่องบวก แต่ถ้าคิดลบหรือคิดไม่ดีก็มักจะเกิดแต่เรื่องไม่ดี  เรื่องนี้มีการทดลองมากอย่างมากมาย และผลที่ได้ก็จะเป็นอย่างนั้น ๆ จริงๆ โดยที่นักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการ ยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้เลยทีเดียว 
ผมก็เลยขอเรียกว่ามันเป็น “พลังของความคิด”  ซึ่งผมก็ยังไม่เคยทำการทดลองอย่างจริงจัง  แต่ว่าผมมีประสบการณ์โดยตรงเลยในเรื่องแบบนี้  และหลายครั้งมาก ซึ่งมีอยู่ประสบการณ์เรื่องหนึ่งที่ผมยังจำได้ไม่ลืม ที่ผมมักจะเล่าให้ผู้เข้ารับการอบรมฟังเป็นแง่คิดในการที่จะใช้ความคิดของตนเอง

                เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อตอนเรียนอยู่ชั้น  ม. 1  (เมื่อปี พ.ศ. 2521)
ไม่น่าจะบอกปีพ.ศ. เลย เพราะทำให้รู้ว่าตอนนี้อายุ ปาไปเท่าไหร่แล้ว  ซึ่งผมเรียน หลักสูตร ม. 1  เป็นรุ่นแรก เพราะรุ่นก่อนจะเป็นหลักสูตร ม.ศ. 1  เรียกว่าเป็นรุ่น ม. บุกเบิกตอนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนของหลักสูตรหลายอย่าง ผมไม่บอกก็แล้วกันเพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังเท่าไหร่

                มาเข้าเรื่องของเราดีกว่าคือในตอนนั้นจะต้องมีการเรียนเป็นรายวิชา เช่นวิชาวิทยาศาสตร์วิชาสังคมศาสตร์  วิชาคณิตศาสตร์  วิชาหน้าที่ศีลธรรม  วิชาเกษตร วิชาพลศึกษา  วิชาอื่น ๆ อีกมากมาย  แต่มีวิชาหนึ่งคือวิชาเกษตรชั่วโมงแรกผมจำได้ว่า พอคุณครูเข้ามาสอน คุณครูก็ให้การบ้าน (ในสมัยนี้น่าจะเรียกว่า ให้ Project) การบ้านก็คือให้ทุกคน ปลูกต้น “เยอร์บิร่า” คนละ 1 ต้น  เริ่มปลูกตั้งแต่ต้นกล้า พอสิ้นเทอมทุกคนจะต้องมีต้นเยอร์บิร่าที่มีดอกอย่างน้อย 1 ดอกส่งคุณครูเพื่อให้เกรด(ตอนนั้นเพิ่งเปลี่ยนจากการเรียนที่ให้คะแนนเป็นเปอร์เซ็นต์  มาเป็นแบบให้เกรด) มิฉะนั้นจะไม่ออกเกรดให้

                ทุกคนจึงต้องจัดหากระถางต้นไม้ขนาด 10”  มาเตรียมดินเพื่อปลูกต้นเยอร์บิร่าตามการมอบหมายของคุณครู โดยในครั้งนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นคนจัดหาต้นกล้ามาแจกจ่าย(ผมจำไม่ได้ว่าเป็นการเอากิ่งมาปักชำหรือไม่)
ซึ่งตอนที่มารับต้นกล้า ทุกคนก็จะมาเลือกเอาไปปลูกผมก็มาเลือกเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ  แต่ผมดูแล้ว ผมว่าก็เหมือน ๆ กันทุกต้นไม่เห็นต้องเลือกเลย ในที่สุดก็ได้มาต้นหนึ่ง ก็จัดแจงปลูกลงในกระถางของผมเมื่อปลูกเสร็จก็ไม่ลืมที่จะรดน้ำก่อนกลับบ้าน ทำอย่างนี้อยู่ได้ 3 – 4 วัน ผมก็เริ่มสังเกตเห็นว่า ต้นเยอร์บิร่า ของเพื่อน ๆ จะค่อนข้างจะสดชื่นใบเต่งตึง  ซึ่งแตกต่างจากของผมที่พอตอนเย็นจะมารดน้ำจะเห็นใบมันเหี่ยวเฉา  อาจเป็นเพราะว่ามันตากแดดทั้งวัน  แต่คิดในใจว่าแล้วทำไมของเพื่อน ๆ ไม่เหี่ยวเท่าต้นของเรา

                แต่พอตอนเช้าเรามาดู  ก็เห็นว่าต้นเยอร์บิร่าของผม ใบมันก็สดชื่น
เต่งตึงเป็นปกติ มันเป็นแบบนี้อยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งก็กินเวลาเป็นเกือบเดือน  คือ 
เย็นเหี่ยว เช้าตึง ๆ อยู่อย่างนั้น ในใจผมก็คิดว่ามันน่าจะไม่ตายนะ เพราะถ้ามันจะตายตอนเช้ามันคงจะไม่ตึงแบบนี้ (คิดแบบเข้าข้างตัวเอง จริง ๆ แล้วขี้เกียจปลูกใหม่เพราะไม่รู้จะเอาต้นกล้าใหม่ที่ไหนมาปลูก) แต่ที่สำคัญคือทำไมของเพื่อนไม่มีอาการเหมือนของเรา  ตรงกันข้ามต้นของเพื่อน ๆ  โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มียอดอ่อนแตกออกมามากมายเป็นพุ่มใหญ่และสูงขึ้น  เวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน
ต้นเยอร์บิร่าของผมยังไม่ไปไหนเลย ยังเหี่ยว ๆ ตึง ๆ อยู่อย่างนั้น ถึงตอนนี้คิดจะเปลี่ยนต้นใหม่ก็คงจะไม่ทันเสียแล้ว เพราะถ้าเริ่มปลูกใหม่ดูโดยเวลาแล้วสิ้นเทอมเราคงจะไม่มีดอกเยอร์บิร่าส่งคุณครูแน่นอนคงจะต้องตกวิชานี้แน่ ๆ

                นับวันต้นเยอร์บิร่าของเพื่อน ๆ เริ่มโตขึ้น ส่วนของเราก็คอยสังเกตดูบ่อย ๆ เท่าที่มีเวลา พอว่าจากการเรียนก็รีบมาดูต้นเยอร์บิร่า มีความรู้สึกว่ามันไม่ถึงกับตายแต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะโตขึ้นเลยทีเดียว ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าเราคงจะไม่ผ่านวิชานี้เป็นแน่  แต่ผมก็พยายามรวบรวมสติ สมาธิ พลังที่มีอยู่ทั้งหมด และบอกกับตัวเองว่าเราจะตกไม่ได้....เราจะตกไม่ได้....   ต้นไม้ของเรามันต้องโต มันต้องโต และมันต้องโต.....

                ทุก ๆ ครั้งที่ผมรดน้ำต้นเยอร์บิร่าของผม ผมจะพูดคุยกับต้นเยอร์บิร่าของผมว่า “เจ้าเยอร์บิร่าเอ๋ยเจ้าอย่าตายนะ....เจ้าตายไม่ได้นะ.....เจ้าต้องโต...เจ้าต้องโต...เจ้าต้องโต...  ”   ผมพูดอย่างนั้นจริง ๆ และในใจผมก็เชื่อว่ามันคงไม่ตายแน่นอน ถ้ามันจะตายมันก็คงตายไปนานแล้ว แต่นี่มันก็ยังมีช่วงเต่งตึงอยู่บ้าง   ที่ผมคิดและเป็นแบบนี้ก็เพราะว่า ผมคิดถึง นิทานอิสบ  เรื่องของโคนันทวิสา ว่าจะต้องพูดกับมันเพราะๆ มันถึงจะทำงานให้กับเจ้าของ     ดั้งนั้นเช้า-เย็นผมจะมาพูด“เจ้าเยอร์บิร่าเอ๋ยเจ้าอย่าตายนะ....เจ้าตายไม่ได้นะ.....เจ้าต้องโต...เจ้าต้องโต...เจ้าต้องโต...  ”    วันละอย่างน้อย 2 ครั้ง  

        เวลาผ่านไปเป็นเดือนผมยังคงคุย “เจ้าเยอร์บิร่าเอ๋ยเจ้าอย่าตายนะ....เจ้าตายไม่ได้นะ.....เจ้าต้องโต...เจ้าต้องโต...เจ้าต้องโต...  ”   ต้นเยอร์บิร่าพอจะเห็นการเปลี่ยนแปลง  คือโตขึ้นบ้างเล็กน้อยเป็นไปอย่าง ช้า ๆ   แต่เทียบกับต้นของเพื่อนแล้ว  เทียบกันไม่ได้เลย  ของเขาโต สูงพุ่มใหญ่ ใบเยอะมาก  และที่สำคัญ มีดอกเล็ก ๆ แตกออกมาเป็นจำนวนมากจนคุณครูต้องมาบอกเพื่อน ๆ ว่าจะต้องเด็ดดอกอ่อนทิ้งบ้างให้เหลือพอประมาณ  เพื่อให้ดอกโตเต็มที่จะได้บานใหญ่   ตอนนั้นก็รู้สึกอิจฉาบ้างเล็กน้อย  แต่ก็ตัดใจได้เพราะคิดว่าก็ยังดีที่ของเราไม่ตาย อย่างน้อยก็ไม่ตกแหละ ถึงจะไม่ได้เกรดสูงก็ช่างเถอะ ผมก็ยังพูดคุย“เจ้าเยอร์บิร่าเอ๋ยเจ้าอย่าตายนะ....เจ้าตายไม่ได้นะ.....เจ้าต้องโต...เจ้าต้องโต...เจ้าต้องโต...  ”     ต่อไป

               จนมาเช้าวันหนึ่งผมคิดว่าผมตาไม่ฟาด ผมเห็นมีหน่อเล็กๆซึ่งคล้ายกับ ดอกอ่อนมันพุดออกมา ตรงกลางพุ่มไม้  ซึ่งดูแล้วไม่ใช่ยอดใบอ่อนแน่นอนเพราะผมใส่ใจเฝ้าสังเกตมันอยู่ตลอดเวลาจนสามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนเป็นยอดใบอ่อน  อันไหนเป็นยอดดอกอ่อน  ผมรีบพาเพื่อนมาช่วยดูและช่วยยืนยันให้มั่นใจว่ามันเป็นดอกอ่อน และทุกคนที่มาดูก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันเป็น “ดอกอ่อน”    

                ผมรู้สึกดีใจมากแต่ว่าทั้งต้นมันขึ้นมาเพียงดอกเดียวเท่านั้น ดอกเดียวจริง ๆ  ผมยิ่งให้การดูแลมันเป็นอย่างดี นับวันดอกเยอร์บิร่าก็โตขึ้น  โตขึ้น โตขึ้น.....  และไม่มีดอกอื่นขึ้นมาอีกเลยแม้ซักดอก  มีดอกเดียวที่ชูขึ้นมากลางพุ่มต้น  ซึ่งดูแล้วสวยมาก  โคนดอกเป็นพุ่มใบไม้เขียว  พอสิ้นเทอมคุณครูมาตรวจให้คะแนน  ปรากฏว่าดอกเยอร์บิร่าของผมบานใหญ่ที่สุด  ในกลุ่มเพื่อน  (อาจเป็นเพราะมันมีเพียงดอกเดียว) และสวยกว่าใคร ๆ  เลย   คุณครูให้เกรด  A 
ผมคนเดียวในห้อง

                ทั้งหมดที่เล่ามานี้...ผมก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร  จึงทำให้เรื่องราวถึงกลับตะลาปัดจนผลออกมาเป็นอย่างนี้  ทั้งที่ต้นเยอร์บิร่าของผมมีอาการล่อแล่มากในตอนแรกๆ   จะอย่างไรก็ตาม จะเป็นปัจจัยอะไรก็ได้  ที่จะมาอธิบาย 
ปรากฏการณ์นี้  แต่ผมเชื่อมาจนทุกวันนี้ว่า  “มันเป็นพลังจากความคิด”  ของผมเองและไม่ได้เกิดกับผมเพียงเหตุการณ์นี้เหตุการณ์เดียว  ยังมีอีกหลายเรื่อง ที่เกิดกับผมในลักษณะเช่นนี้   ซึ่งอาจพิสูจน์ไม่ได้เป็นรูปธรรม  แต่สิ่งที่บอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา  ว่า  “คิดบวกก็จะได้บวก    คิดลบก็จะได้ลบ” 

หมายเลขบันทึก: 447506เขียนเมื่อ 5 กรกฎาคม 2011 08:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท