บนเส้นทางของ "ความไม่รู้" สู่ "การจัดการความรู้" ที่ไม่ง่ายอย่างที่คิด


จากความมืดมิดของ "ความไม่รู้" สู่ความสลัวและสีดำใน "ความกลัว" สู่แสงหลากสีแห่ง "ความฝัน" ความจริงเสมือน ของโลกมายา กว่าจะนำไปสู่ความสว่างที่มองเห็นทุกสิ่งได้และสีขาวของ "ความจริง"

ตั้งแต่มีการคิดค้นศัพท์ใหม่ว่า "การจัดการความรู้" ผมก็พยายามทำความเข้าใจมาโดยตลอด ว่าแท้ที่จริงนั้น

  • พยายามที่จะสื่ออะไร
  • ทำไมต้องคิดคำนี้ และ
  • คำนี้จะช่วยอะไรบ้าง

ทั้งๆที่แต่เดิม

เราอาจคิดแค่ว่า เป็นการนำความรู้ที่สร้างกันไว้ และที่(คิดว่า)มีอย่างมากมายนั้น มาใช้ให้เป็นประโยชน์มากกว่าที่จะนำไปสู่การสร้างความรู้ใหม่

ทำให้ผมเคยคิดฝันไปว่า

  • ต่อไปนี้เราคงจะพัฒนาอย่างมีพลังมากขึ้น
  • ใช้ความรู้มากขึ้น
  • จนสามารถพัฒนาเป็น "สังคมแห่งการเรียนรู้" (Knowledge-based community) และ
  • นำไปสู่ "สังคมแห่งนักปฏิบัติ" (Community of Practice) ที่ใช้ความรู้เป็นเครื่องมือส่องทางในการดำรงชีวิต ประกอบสัมมาชีวะ และการตัวให้เป็นประโยชน์กับสังคม

แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่า ๖ ปี ผมก็มองเห็นความเป็นจริงว่า

ในที่สุด (ก็ดูเหมือนว่า) เราก็ยังวนเวียนอยู่ในสภาวะเดิมๆ ก่อนที่เราจะคิดศัพท์คำว่า จัดการความรู้ นี้ขึ้นมา

  • คนส่วนใหญ่ก็ยังทำกิจกรรมแบบเดิมๆ อย่างที่เคยเป็นมา
  • อาจมีบางคนก็นำคำนี้ไปอ้างในการพูด หรือนำเสนอของตัวเอง โดยไม่เข้าใจ หรือ ไม่ให้ความสำคัญกับความหมายที่พูดแต่อย่างใด
    • เช่น คำว่า แลกเปลี่ยนเรียนรู้ มาเรียนรู้ หน่วยงานจัดการองค์ความรู้ ฐานการเรียนรู้ และศูนย์เรียนรู้ ฯลฯ
  • บางคนก็เลิกพูดถึงคำนี้ เพราะรู้สึกว่า "ล้าสมัย" ไปแล้ว
  • แต่บางคน (ส่วนน้อย) ก็ยังเดินหน้า "จัดการความรู้" อย่างจริงจัง และเชื่อว่าเป็นทางออกให้กับชีวิตของเขาเอง และหรือ เป็นความหวังของสังคม

ในที่สุด ผมก็รู้สึกว่า การใช้คำคำนี้ในการพัฒนา ค่อนข้างจะสอดคล้องกับหลักของ Paretto's law ที่บอกว่า

  • เพียงประมาณ ๓% ของสรรพสิ่ง จะเป็น "ส่วนหัว" หรือ "ตัวหลัก" ที่อาจทำให้เกิดผลได้ถึง ๕๐ % ของผลงานทั้งหมด 
  • ๑๒% เป็นส่วนเสริมที่ทำให้เกิดผลงานได้อีก ๓๕% 
  • ๓๕% เป็นส่วนกลาง ที่อาจเพิ่มผลงานได้อีก ประมาณ ๑๒ % และ
  • ๕๐% ที่เหลือ เป็นส่วนที่แปรตามไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีบทบาทอะไรมากนัก อย่างมากก็จะสร้างผลงานที่เหลืออีกไม่เกิน ๓%

ในด้านการจัดการความรู้นั้น ผมลองมาพิจารณาแล้วพบว่า

มีเส้นทางที่ทำให้บางคน หรือ จำนวนมากก็ว่าได้ หลงทาง ติดยึด และเพ้อฝัน จนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการจัดการความรู้ เพื่อพัฒนาชีวิตตนเอง  ประกอบอาชีพ และช่วยเหลือสังคมได้

เปรียบไปแล้ว เหมือนกับการเดินทางจาก

  • ความมืดมิดของความไม่รู้
    • สู่ความสลัว และ สีดำแห่ง "ความกลัว" และ
    • ความกังวลและสงสัย ที่เริ่มรู้ว่า "มีบางสิ่งที่ตัวเองไม่รู้"
      • เพราะถ้าไม่รู้จริงๆ ย่อมไม่กังวล ไม่สงสัย ไม่กลัว
        • ที่เรียกว่า "กล้าบ้าบิ่น" หรือ "กล้าแบบโง่ๆ"
  • บางคนเริ่มหัดเดิน หาเส้นทางให้กับตัวเอง ก็มักจะหลงทาง
    • หลงสู่เส้นทางของลำแสงหลากสี ที่ดูสดใส สนุกสนาน น่าตื่นเต้น
    • ที่เป็น "โลกมายา" แห่งความฝัน และ ความจริงเสมือนระดับต่างๆกัน
    • บางคน ยังมีความกล้าหาญ ยอมเสียสละทุกอย่าง แม้แต่ชีวิต และศักดิ์ศรีของตนเอง และครอบครัว ทำได้ทุกอย่าง เพียงขอ "แลกกับกิเลส" 
    • และ มักออกมาบอกสังคม แบบแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ว่า "ไม่มีทางเลือก" หรือ ทำดีที่สุดแล้ว
  • ในขณะที่บางคน สามารถก้าวผ่าน "โลกมายา"
    • ก้าวไปสู่ "ความจริงกว่า" "ความจริงแท้" และ"ความสว่าง" ที่แท้จริง
    • ที่ทำให้มองเห็นทุกสิ่งได้ ไม่มีอะไรปิดบัง หรือ แอบแฝง และ
    • การมองเห็นแบบ "สีขาว" ของความจริงแท้ แทน "สีรุ้ง" และ ความจริงเสมือน
    • กล้าทำทุกอย่าง ด้วยความรู้ ความเข้าใจ และอำนาจแห่งปัญญา
    • ที่เป็นเป้าหมายของการ "จัดการความรู้" ที่แท้จริง

ดังนั้น การเดินทางบนเส้นทางของความไม่รู้ สู่การจัดการความรู้ ที่ไม่ง่ายอย่างที่คิด

  • คนจำนวนหนึ่ง วิ่งวนอยู่กับความไม่รู้ กลับไปกลับมา
    • นำไปสู่ความหลง และความมืดดำแบบสลัวๆพอคลำทางได้
    • แต่จะเป็นอะไรนั้น ก็มองได้ไม่ชัด
    • ที่มีทั้ง อวิชชา และมิจฉาทิฏฐิ
  • อีกจำนวนหนึ่ง ที่คิดว่าตัวเอง "ฉลาดกว่า"
    • ได้นำตัวเองออกจากความมืด สลัว ที่พอจะหาทางขยับไปได้บ้าง
    • ไปสู่โลกมายาแห่ง "ความฝัน" แบบ "หลากสี" แบบเดียวกับ "สีรุ้ง" ตามกลุ่มสีที่ตัวเองชอบ
      • และในจำนวนนี้ ก็ยังมีบางคน กลับพยายามใช้ความฝันของตัวเอง ไปวางกับดักและหลอกล่อให้คนอื่น ที่รู้น้อยกว่า หรือรู้ไม่ทัน เพ้อฝันตามตัวเอง แบบนิทาน "หมาหางด้วน
        • เพื่อจะได้มาเป็น "เหยื่อของตัวเอง" และ
      • ทำให้เหมือนความฝันของตัวเอง ดูว่ามีพวก น่าเชื่อถือ ดูเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น
      • แบบเริ่มมี "วิชชา" แต่ มิจฉาทิฏฐิ ยังหนักอึ้ง
  • มีคนจำนวนไม่มาก ก้าวผ่านความฝัน ไปสู่ความจริง
    •  พยายามจะทำให้คนอื่นๆมองเห็น "สีขาว" แห่งความจริง
      • ที่ปลด "อวิชชา" ออกเป็น "วิชชา" และเปลี่ยนจาก "มิจฉาทิฏฐิ" เปน "สัมมาทิฏฐิ" 
    • แต่พอไปชวน กลุ่มกำลังเป็น "นักเพ้อฝัน"

      • เขากลับยังมองว่า "สีขาว" (ที่เป็นที่รวมของสีรุ้ง) นั้น ก็เป็นเพียงอีกสีหนึ่งในทางเลือกของการใช้ชีวิต
      •  และ "สีขาว" สวยสู้สีอื่นๆไม่ได้ ดูจืดชืด ไม่มีชีวิตชีวา

     

    •  
    • พอไปชวนคนที่ยังไม่รู้ หรือความรู้ไม่พอใช้ ยังอยู่กับความมืดดำของความไม่รู้ และกำลังหลงทาง
    • ก็กลับมองว่า "โลกความจริงเป็นสีเทา ระดับต่างๆ"  ไม่มีสีขาว หรือ สีดำ"
      •  
        • อันเนื่องมาจากการใช้ "ค่าเฉลี่ย" ของสังคม ไปเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา
      •  
        • ที่ไม่พยายามแยกแยะ สิ่งที่ดีกว่า ออกมาจากสิ่งที่มีอยู่ทั่วไป

โดยรวม

  • ทำให้คนจำนวนมาก มองว่าการจัดการความรู้ เป็นแค่ "ความฝัน" และ "จินตนาการ" ที่ทำจริงไม่ได้ หรือ
  • กลับทางกันเลย ว่า "เขาก็ทำอยู่แล้ว" "แต่ก็ได้เท่าที่เห็นนี่แหละ"
  • ที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไหร่ ทั้งสองทิศทาง

ที่ผมคิดว่าทั้งหมดนี้ มาจาก "จริต" ของแต่ละคน

ที่มาจาก

  • การใช้ชีวิตมีแบบมีแผน หรือ ปล่อยไปตามเวรตามกรรม ไปตามกระแสสังคม 
    • แบบสนใจ หรือ ไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
  • การชอบ หรือ ไม่ชอบ หรือ ศรัทธา หรือ สวามิภักดิ์ หรือ ยอมเป็นทาส
  • ที่ขึ้นอยู่กับ ระดับความรู้ ความเข้าใจ หรือ การหลงใหล หรือหลงผิด
    • ที่มีสัมมาทิฏฐิ หรือ มิจฉาทิฏฐิ เป็นเครื่องชี้นำ
    • ในสิ่งที่เห็น สิ่งที่ทำ สิ่งที่ปรากฏ และสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
  • ที่เป็นที่มาของการจัดการความรู้
    • ที่เป็น (หรือ ไม่เป็น)ประโยชน์กับตัวเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม

สำหรับอุปสรรคในการดำเนินการนั้นก็น่าจะมีที่มาจาก

  •  
    • อวิชชา และมิจฉาทิฏฐิ
    • ที่จะเป็นแรงผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามรู้ ความเข้าใจ ความคิด และความฝันของคนๆนั้น
      • จนทำให้เกิดการ "ติดยึด"
        • อยู่ในความมืดมิด หรือมืดสลัวๆ ที่ชอบสรุปว่าโลกของเราเป็น "สีเทา"
          • แบบหาพวก เพื่อที่จะได้มี "พวกมากลากไป" และ
          • ไม่จำเป็นต้องพัฒนาตัวเอง
          • เพราะใครๆเขาก็เป็นกันอย่างนี้
        • พวกอยู่กับ ความเพ้อฝัน "สีรุ้ง"
          • ที่อ้างว่าหลากสี สดใส 
          • และสวยกว่า สีขาว

 

นี่คือสิ่งที่ผมเพิ่งนึกออก

หลังจากเก็บคำพูดของนัก "โต้วาที" มาคิดอยู่หลายปีทีเดียว

ที่นับว่าเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างยากสำหรับผม 

ทั้งคำว่า

  • โลกนี้ ไม่มีขาวมีดำ มีแต่สีเทาระดับต่างๆ
  • และ "สีรุ้ง" น่าสนใจ สดใส และสวยกว่า "สีขาว"

วันนี้เพิ่งคิดออกได้อีกระดับหนึ่งแล้ว

เลยนำมาบันทึกช่วยจำ ช่วยให้สามารถนำไปคิดต่อได้ และกันลืมครับ

จะผิดถูกอย่างไร ก็ขอน้อมรับ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน และสังคมบ้าง

สวัสดีครับ

 

หมายเลขบันทึก: 446939เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2011 08:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

เรียนท่านแสวงที่เคารพ

   การจัดการความรู้ต้องนำไปสู่ "แสงสว่างแห่งชีวิต"  ที่เรียกว่า "อาภา" จึงจะเห็นว่า อวิชชา และมิจฉาทิฏฐิ นั้นเป็น "มายา"  สังคมเรามีความซับซ้อน มายามันจึงหลายชั้น ออกจากที่หนึ่งไปเข้าอีกที่ ยุ่งเหยิงสับสนไปหมด แต่ถ้าเห็น"อาภา" แล้ว ชีวิตคงแยก"มายา" ได้ไม่ยากนักครับผม ถ้ามีอิทธิบาทในการเรียนรู้พอ 

ด้วยความเคารพครับผม

   นิสิต

อย่างว่าครับ เราถือคำขวัญ และพุทธสุภาษิตกันด้วยการท่องจำ มิได้ใส่ใจในความหมาย

ไม่ว่าจะเป็น "นัตถิ ปัญญา สม อาภา" ไม่มีแสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญา

หรือ "อัตตาหิ อตตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

แล้วเรากำลังทำอะไรกัน

หวังแต่จะพึ่งคนอื่น ไม่พยายามสร้างปัญญา คอยแต่ลอกเลียน

แล้วเราก็ยังหวังว่า "เราจะพัฒนา"

เพ้อฝันจริงๆ

ผมเพียงไม่เข้าใจว่า

ทำไมเราจึงปล่อยให้โลก "มายา"  ที่กำลังทำร้ายเราทั้งทางตรง และทางอ้อมจึงมีอิทธิพลกับเรามากกว่า โลกแห่ง "ความจริง" ที่ไม่เคยทำร้ายใคร

แปลกแต่จริงนะครับ

 

โลก คือ หมู่สัตว์อันชราต้อนไปอยู่
เป็นผู้ไม่ยั่งยืน
โลกไม่มีผู้ต่อต้าน
ไม่มีผู้เป็นยิ่งใหญ่
จำจะต้องละทิ้งสิ่งทั้งสิ้นแล้วต้องไป
โลกยังพร่องอยู่
เป็นผู้ยังไม่อิ่มไม่เบื่อ
จึงต้องเป็นทาส  แห่งตัณหานั้นตลอดไป...

 

ปกิณณกคาถา

 http://www.dannipparn.com/thread-16-1-1.html

http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/007974.htm

This article is very deep. It will take a good while for me to understand.

It is however a very 'colorful' article ;-b

PS. How weird we like to write (or say) 'black' on 'white'. ; White on black (background) just looks uncomfortable. ;-)

[I When I went to school for the first time, I just missed out on using (black) 'slate' and 'chalk', but blackboard... ]

ผมยังไม่ค่อยรู้อะไร

จะตามเรียนรู้ไปกับเรื่องราวของอาจารย์

สักวัน หูตาคงสว่าง เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา

ตนเองบ้าง นะครับ

บันทึกช่วยจำของอาจารย์ เป็น "ไก่ย่าง 6 ดาว" สำหรับผมครับ

อร่อย รสชาติติดลิ้น ติดอกติดใจ

ชอบ และ เห็น อย่างที่อาจารย์ได้กล่าวไว้ในหลายคนที่เป็นครับ

 

บางคนเริ่มหัดเดิน หาเส้นทางให้กับตัวเอง ก็มักจะหลงทาง

  • หลงสู่เส้นทางของลำแสงหลากสี ที่ดูสดใส สนุกสนาน น่าตื่นเต้น
  • ที่เป็น "โลกมายา" แห่งความฝัน และความจริงเสมือนระดับต่างๆ
  • มีความกล้าหาญ อมเสียสละ ที่จะทำทุกอย่างได้ แบบ "แลกกับกิเลส" 

 

อีกจำนวนหนึ่ง ที่คิดว่าตัวเอง "ฉลาดกว่า"

  • ได้นำตัวเองออกจากความมืด ที่หาทางไปไม่ได้
  • ไปสู่โลกมายาแห่ง "ความฝัน" แบบ "หลากสี" แบบเดียวกับ "สีรุ้ง"
    • และในจำนวนนี้ ก็มีบางคนพยายามใช้ความฝันของตัวเอง ไปวางกับดักและหลอกให้คนอื่นฝันตาม
      • เพื่อจะได้มาเป็น "เหยื่อของตัวเอง" และ

 

ขอบพระคุณมาก ๆ ครับอาจารย์ ;)...

ขอบพระคุณที่มาให้กำลังใจครับ

จะค่อยๆติด และพัฒนาองค์ความรู้นี้ต่อไปครับ

อาจารย์คะ

รู้สึกตื่นเต้นและดีใจจนขนลุกขนพอง ที่มีบันทึกนี้ค่ะ

ระหว่างนี้ พบบันทึกที่อยากพบ อยากเรียนรู้เข้มขึ้นเรื่อยๆ

ความรู้สึกเหมือนเมื่อช่วงที่อายุสิบเก้ายี่สิบปี ที่แอบแม่ไปวัดครั้งแรกค่ะ

ตื่นเด๋อด๋าทำวัตรเช้าตีสามกว่า มีการนำตำราของท่านฟูกูโอกะ มาถอดความประโยคต่อประโยค

การเข้าถึงธรรมชาติของท่าน คือการบรรลุธรรมอย่างไรฯลฯ

อันนำไปสู่คำตอบของโจทย์ชีวิตทุกข้อได้ ฯลฯ

นับแต่นั้นมา ก็เลย "ตัดรอบ" ตัดสินใจ ไม่เรียนต่อร้อยเปอร์เซ็นต์

และ ค่อยๆนำตนเข้่าสู่กระบวนการเรียนรู้ ในกรอบ บ้าน วัด โรงเรียนในอีกไม่กี่ปีต่อมา

ทว่า...ภาคสนามที่ ไม่ได้ให้หลีกลี้ เรียนรู้กับกสิกรรมอย่างเดียว

พื้นฐาน จึงไม่แน่น... ไม่พร้อม...สำหรับแบบฝึกหัดชีวิต ที่...รอบจัดหลากหลาย

จำต้องปลีกตน เรียนรู้อย่างอิสระ... มาจนถึงบันทึกนี้หละค่ะ ๕๕

 

ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง

ที่ตั้งใจถอดความรู้ และข้อคิดเห็นไว้ในพื้นที่นี้ ให้ผู้มาใหม่ได้ศึกษาค่ะ

ผมเขียนไว้นาน จนเกือบลืมระบบคิดตรงนี้ไปแล้ว

ดีนะที่บันทึกไว้ ไม่งั้นน่าจะลืมไปแล้ว

ดีใจที่คนเห็นด้วย

อิอิอิอิอิอิอิอิอิ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท