ป.5 คะแนนหล่นวูบ


     จากเดิมตั้งใจไว้ว่าจะไม่ให้ลูกเรียนพิเศษเลย ก็พยายามฝังความคิดให้ลูกไว้ตั้งแต่สมัยเข้าชั้นอนุบาลว่า "ตั้งใจเรียนนะลูก เวลาเรียนอย่าเล่น ตั้งใจฟังคุณครู"  แล้วเมื่อกลับมาบ้าน ก็ให้รับผิดชอบทำการบ้านเอง โดยที่เราก็ทำงานบ้านไป คอยแค่ถามว่า ทำได้ ไม่ได้ แล้วมีการบ้านอะไรบ้าง พอเสร็จงานบ้านก็มานั่งทำงานของตัวเองใกล้ๆลูก  ลูกก็ได้เห็นว่าแม่มีงานต้องทำเหมือนกัน  แล้วถ้ามีบางวิชา บางข้อที่ลูกถามเราก็สอนให้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อสอนเพราะแม่สอนไม่ค่อยได้ ใจไม่เย็นพอ ส่วนใหญ่แม่อย่างเราก็ให้ลูกค้นหาข้อมูลเอาเองทาง internet เพราะไม่งั้นมานั่งตอบให้ทุกอย่าง ลูกก็จะค้นคว้าไม่เป็น ให้ถามพี่ Google แทน 

............................................................................................

     ก็ดีนะคะ ไม่เคยต้องมานั่งทำการบ้านให้ลูก แม่ก็สบาย ...มาป.5 แม่เองเริ่มกดดัน จากคนรอบข้างเรียนพิเศษกันหมดเลย แต่ละคนก็เริ่มเตือนว่า" ถ้าไม่เรียนพิเศษ เดี๋ยวจะสอบเข้าโรงเรียนชายไม่ได้" (โรงเรียนชายเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด แย่งกันเข้าเรียนกันอย่างกับสอบ entrance รอบแรกของลูกๆ)  ก็ถามลูกซ้ำ ลูกก็ยังยืนยันว่าไม่เรียน ประมาณมั่นใจว่าทำได้ เราก็โอเค ลองปล่อยไป ต้องให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ที่นี้เริ่มเจอล่ะว่าคณิตศาสตร์เริ่มสอน ครน. หรม. แม่เองก็ลืมไปแล้ว มานั่งทบทวนย้อนอดีต ก็พอได้นิดๆหน่อยๆ ....แต่เมื่อลูกยังไม่อยากเรียน เราก็ไม่อยากกดดันลูกเหมือนกัน เพราะนึกถึงตัวเองสมัยเด็ก ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องเรียนพิเศษเพราะไม่ได้มีอะไร แค่ไปใช้สถานที่ทำการบ้าน ไม่ได้สอนอะไรเพิ่มเติมเหมือนสมัยนี้

     ............................................................................................

 

   พอจบป. 5 ผลสอบออกมา โอ้โห !! คะแนนคณิตศาสตร์ตกวูบ คะแนนวิทยาศาสตร์ ก็ตกด้วยจากเทอมแรก แล้วลำดับที่ก็โดนเบียดไป 1 อันดับ เลยถามลูกใหม่ เอาไงดี เพราะถ้าดูย้อนหลังไปก็คือ ลูกประมาทว่าข้าแน่  ลูกอ่านหนังสือลดลง เล่นเกม ติดละครเยอะขึ้น แล้วเนื้อหาที่เรียนก็ยากขึ้นพ่อแม่สอนไม่ไหวแล้ว ก็เลยต้องเสาะหาที่เรียนให้ลูกแต่ไม่ใช่เพื่อเข้าโรงเรียนชาย รอบโอลิมปิก (รอบเด็กคัด) แต่คิดไว้ว่า  แสดงว่า " ที่ผ่านมาการเรียนที่เข้าใจจากห้องเรียนของลูกเริ่มลดลง ถ้าลูกเรียนไม่เข้าใจตอนนี้ อนาคตก็ยิ่งยากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้การเรียนไม่สนุกไปกันใหญ่ "  ถามเจ้าตัวก็ยอมรับ แล้วก็ตกลงเรียนพิเศษ ก็เลยไปหาคุณครูที่สอนแบบไม่ยัดเยียดให้ลูกเข้าใจขึ้น...ก็ไปเรียนได้ course นึงเผอิญเปิดเทอม ก็ไม่ได้ไปต่อ แต่ลูกก็ชอบนะคะ เรียนเข้าใจขึ้น

    .............................................................................................

   พอป. 6 ปีนี้ ด้วยนโยบายแข่งขันของโรงเรียน  เราก็เลยสบาย ไม่ต้องไปเซาะหาที่เรียนพิเศษให้ลูก เพราะโรงเรียนเปิดสอนติวให้เด็กเองทุกวันตอนเย็น ถึง 5 โมงเย็น แล้วก็ทุกวันเสาร์ ครึ่งวันเช้า    ราคา 500 บาทเอง ดูลูกก็มีความสุขดี ก็เลยดีแล้วที่ลูกไม่เครียด แต่ขอบอกว่า " ไม่คาดหวังให้เรียนห้องโอลิมปิก เพราะไม่อยากเห็นลูกเครียดกับการเรียน แต่อยากให้เข้าเรียนที่โรงเรียนชาย เพราะเป็นโรงเรียนของพ่อและแม่ในอดีต" ประเภท เลือดม่วงขาวแรงนิดนึง ฮะ ฮ่า

    

 ...การเรียนของลูกต้องมีความสุขด้วย การเรียนถึงจะน่าเรียน เหมือนผู้ใหญ่งานจะทำได้ดี ก็ต้องมีความสุขที่จะทำด้วย...

หมายเลขบันทึก: 444181เขียนเมื่อ 15 มิถุนายน 2011 20:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

คะแนนของลูกคือความหวังของแม่พ่อ

แต่เด็กไม่ค่อยจะรับรู้เรื่องแบบนี้เท่าใด


สวัสดีค่ะคุณโสภณ ที่เคารพ

" ล่าสุดมีพี่คนนึงมาเล่าเรื่องลูกสาวไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้วเกิด homesick เพราะสมัยเด็กพ่อแม่ดูแลทุกอย่าง เรียนพิเศษตลอด งานอื่นไม่ต้อง พอไปอยู่มหาวิทยาลัยต้องทำเองทั้งหมด เลยเครียดกันทั้งบ้านเลย "

ก็เป็นอุทาหรณ์อย่างดีเลยค่ะ กำลังปรับใช้กับลูกต่อค่ะ

สวัสดีค่ะ

แวะมาเป็นกำลังใจให้ทั้งคุณแม่คุณลูกค่ะ

พี่คิมไม่มีลูก  แต่มีลูกบุญธรรม ๒ คน เป็นหญิงทั้งคู่ค่ะ

คนแรกไม่กวดวิชาแต่เรียนเอง สอบเอง ผ่านเอ็นทรานซ์ได้เอง จบพยาบาลกองทัพบก

คนที่สอง เรียนกวดวิชามาตั้งแต่ ม.๑  เอ็นฯติดสัตวแพทย์  แต่เรียนไม่รอดค่ะ  ต้องออกมา เข้าไปใหม่คณะพยาบาลฯ ตอนนี้อยู่ปี ๔ ค่ะ

ความสุขและทักษะชีวิตสู้คนแรกไม่ได้ค่ะ

ตรงใจผมเลย ใกล้ตัวผมมาก คือผมก็ให้ลูกเรียนสบายนะครับ อยู่พิจิตรครับ เรียนพิเศษตอนเย็นคล้ายกับการช่วยอธิบายการบ้านเท่านั้น วันเวลาผ่านไปถึงช่วงเรียน ป.6 ผมได้ตัดสินใจให้ลูกได้เรียนเพิ่มโดยไปเรียนกับครูที่ดีในจังหวัด

เมื่อประเมินก็มีผลดีขึ้นมานิดหนึ่งคือได้แค่วิชาคณิตศาสตร์ 1 วิชา และไทย ครึ่งวิชา นอกนั้นไม่มี

เป้าหมายที่เราต้องการแข่งต้องใช้ 5 วิชา ได้รับข่าวจากเพื่อนๆของลูกเค้าไปเรียนเสริมที่นครสวรรค์เนื่องจากต้องติดตามพ่อแม่ไปหาลูก ก็เลยได้เรียน ต้องบอกก่อนว่าลูกผมเองเรียนอยู่ในห้องคัดของโรงเรียนมีชื่อในจังหวัด สอบได้ที่หนึ่งที่สอง สลับไปสลับมา

ตรงนี้ก็ทำให้ผมชะล่าใจนะครับ แต่หลังจากนอนคิดนั่งคิดเพราะรู้ว่ามีจุดอ่อนอีก 3 วิชา มันไม่มีทางเลือก กำหนดการสอบแข่งขันโอลิมปิกของนครสวรรค์ก็ใกล้เข้ามา

ผมตัดสินใจไปลองเรียนดูในกลางเทอมหนึ่งของช่วง ป.6 จากนั้นก็เรียนเรื่อยมา เพราะพอทำแล้วเราก็จะประเมินได้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป สุดท้ายก็เรียนพิเศษเสริมเสาร์อาทิตย์โดยนั่งรถตู้ไปเรียน ไปเช้าเย็นกลับ นับได้ 7 เดือน ผลการสอบก็ทำได้ดีครับ ได้อยู่ห้องสองของปีนี้ แต่สิ่งที่อยากบอกก็คือ ลูกสาวผมถ้าได้ไปเรียนเหมือนเจ้าเพื่อนๆ ที่โรงเรียนชายนี่ เค้าเรียนกันตั้งแต่ ป.5 ป.4 พวกเขาจึงเก่งมากๆ แบบยกห้องเข้าไปกันเลย เรียนที่ห้องหนึ่งด้วย

ค่อยเป็นค่อยไป หมั่นดูแล พูดคุย แนะนำลูกไปเรื่อยๆ สร้างความสุขกายสบายใจให้เขา

เชื่อว่าการเรียนรู้จะบังเกิดขึ้นและดีขึ้นแน่นอน

คุณครูป้าคิมค่ะ ตอนนี้ก็พยายามฝึกลูกเรื่องทักษะชีวิต เมื่ออาทิตย์ก่อนพากัน 2 แม่ลูกหัดนั่งรถโดยสารกัน เพราะพ่อไม่อยู่ไปต่างจังหวัด เรื่องความทะโร่ของแม่ลูก 2คนก็มีอยู่ว่า ไปยืนรอรถโดยสารหน้าโรงเรียนฝั่งเดียวกับโรงเรียนกันพักใหญ่ ก็เอ้ !!! สังเกตเด็กคนอื่นๆ ก็ไม่เห็นมีใครรอฝั่งนี้เลย มีแต่รอที่ฝั่งตรงข้าม รถโดยสารก็ผ่านไปแล้วคันนึง ก็หันมามองหน้ากันเอาไงดีเราจะถามก็ไม่รู้จะถามใคร มีแต่เด็กๆ ทั้งนั้นเลย ก็ตกลงกันว่าเราข้ามไปขึ้นฝั่งโน่นล่ะกัน ผิดก็นั่งรถย้อนกลับมาเอาล่ะกัน พอขึ้นไปก็เผอิญเจอกับเพื่อนของลูกสาว

ก็เลยถามว่า...รถจะไปถึงไหนลูก...

เพื่อนลูกก็บอก....ผ่านหน้าธนาคารออมสินค่ะ

เราก็งงอีก....ธนาคารออมสินอยู่ตรงไหนล่ะลูก...

เพื่อนลูก...ใกล้กับปั้มน้ำมันปตท.น่ะคะ

เราก็เลยถึงบางอ้อว่า..........อ๋อ!!เข้าใจล่ะ รถมันขับไปตามเส้นทางที่เราจะไปนั่นล่ะ เพียงแต่วนอ้อมไปก่อน

นี่ล่ะคะ วีรกรรมแม่ลูกที่ไม่ค่อยได้ฝึกทักษะชีวิตทั้งคู่  พอถึงจุดหมายก็ลง แล้วต่อรถอีกทอดนึง ต้องหัดกดออดกะระยะการจอดของรถให้พอดีอีก สนุกกันทั้งแม่ทั้งลูก เดินทางกันเพลียไปเลย ทุกทีประมาณ 20 นาทีก็ถึงบ้าน สรุปวันนั้นใช้เวลาซะประมาณชั่วโมงนึงเลย...ฮ่ะ ฮ่ะ

  • พ่อเพชร พรหมสูตร์  ผู้มีประสบการณ์เดียวกัน บรรยากาศสบายๆ ที่ตั้งใจว่า ก็เลยเปลี่ยนไป  เพราะตัวเด็กก็ถูกกดดันด้วยเพื่อนๆที่แวดล้อมด้วย เพราะแทบจะทุกคนเรียนพิเศษ แข่งกันหมด โดยเฉพาะห้อง king หลายคนเป็นแบบที่พ่อเพชรบอกเลย เดินทางมาจากต่างจังหวัดไปกลับเพื่อมาเรียนที่โรงเรียนชายนี่ล่ะ  หลับกันคอพับคออ่อน  เพลีย
  • แต่สมัยก่อนที่เรียนอยู่โรงเรียนชายไม่มีบรรยากาศแข่งขันขนาดนี่นะคะ 
  • คุณชยันต์ เพชรศรีจันทร์ ค่ะ โดยส่วนตัวก็เชื่อทฤษฎีที่ว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นท่ามกลางความสุข  เหมือนกับที่คุณชยันต์แนะนำมาเลยคะ ก็ใช้การพูดคุยกับลูกให้เรื่องเรียนเป็นเรื่องสนุก คุยกันเล่นไป ถามตอบกันไป แล้ววันว่างก็จะปล่อยลูกเล่นกับเพื่อน เพราะถึงไม่ปล่อยเพื่อนเธอก็มาเกาะหน้าต่างเรียกกัน  นั่งรอกัน แถมมาทำหน้าที่ขออนุญาตพาพี่กอหญ้าไปเล่นอีกต่างหาก 

 

บรรยากาศเปลี่ยนไปแล้ว ตั้งแต่มีชื่อเสียงระดับประเทศน่ะครับ แล้วผมเองก็เชื่อเรื่อง คนมีสุขทำอะไรจะทำได้ดีกว่าคนอื่นๆ นะ

ด้วยเหตุนี้ก็เลยทำให้ตอนนี้เค้าเรียนอยู่ที่ห้องหนึ่งโอลิมปิก ผมก็ต้องให้เรียนเสริมเพิ่ม ทั้งๆ ที่ในหลักคิดนั้นคัดค้านอย่างมาก

ด้วยมองไปที่ปลายทาง มองไปที่ตัวลูกในตอนที่เื่พื่อนเค้าเรียน เค้าสอบ เค้าทำได้ส่วนลูกผม นั่งอยู่ ติดอยู่ ไปกับเขาไม่ได้

ก็เลยทำให้ผมยังไม่อยู่เฉย ทั้งๆที่ผ่านการสอบแข่งขันมาแล้ว ได้เรียนห้องหนึ่งแล้ว ก็ยังต้องฝึกหนักกันต่อ

ทำไปเพื่ออะไร ? ก็เพื่อที่จะให้เค้ามีความสุขขณะเรียน ขณะสอบ เค้าก็จะทำอะไรได้ดีกว่าคนที่ไม่พร้อม จากตรงนี้เค้าก็จะมีความสุข เมื่อสุขก็จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ดีกว่าคนที่เป็นทุกข์นะครับ ไม่ทราบว่าแปลความหมายได้ถูกต้องหรือเปล่า แลกเปลี่ยนนะครับ

ยินดีด้วยเลยค่ะ สำหรับครูเพชร พรหมสูตร์ สบายใจไปเปลาะนึงแล้ว สุขของลูกกับสุขของพ่อแม่ก็เรื่องเดียวกันอยู่แล้ว

แสดงว่าน้องพร้อมที่จะลุยและสู้กับคุณพ่อคุณแม่อยู่แล้ว อย่างนี้ก็สบายๆ ...อิ อิ

play and learn = plearn (เพลิน) การที่ลูก สอบได้ที่ 1 สอบติดมหาลัย ไม่รู้ว่าเป็นความสุข ของลูก หรือของพ่อแม่

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท