Facebook Etiquette มารยาทในการใช้เฟสบุ๊คที่คนรุ่นใหม่ควรรู้


ใช้เฟสบุ๊คกันมานานเป็นเวลาระยะหนึ่ง สังเกตว่าแต่ละคนมีสไตล์การโพส อัพเดท หรือเม้นท์ ในหน้าของตนเองและของเพื่อนต่างๆ กันไป บางครั้งก็มีบ้างที่เจอข้อความทั้งของเราและเพื่อน ที่อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยประทับใจ จะเปรียบเทียบไปก็เหมือนกับเราไปได้ยินคนอื่นใช้คำหยาบหรือใช้วาจาที่ไม่เหมาะสม สารดังกล่าวนั้นทำให้ผู้รับสารรู้สึกลำบากใจที่ได้รับรู้ ถึงแม้ว่าเฟสบุ๊คจะเป็นการสื่อสารในกลุ่มของเพื่อนซึ่งอาจถือว่าเป็นการสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ แต่ลักษณะของสารที่เราส่งไปนั้นไม่ใช่การสื่อสารแบบตัวต่อตัวเหมือนกับการพูดกันซึ่งหน้า ข้อความที่เราโพสหรือส่งไปนั้นอาจเห็นได้ในวงเพื่อน คนรู้จัก ซึ่งบางทีเราก็คิดว่าเพื่อนเราเองโพสขำๆ คงไม่เป็นไร แต่เราอาจทำให้เขาอับอาย เสียหน้า โดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้น คนรุ่นนี้ ควรต้องเรียนรู้ที่จะสื่อสารทางเฟสบุ๊คอย่างมีประสิทธิภาพ

ดิฉันอยากรู้เรื่องนี้ก็เลยใช้ กูเกิล ค้นหาคำว่า มารยาทในการใช้เฟสบุ๊คเป็นภาษาไทย แต่ยังไม่เจอว่ามีใครเขียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พอลองใช้คำค้นภาษาอังกฤษ Facebook Etiquette ก็เจออยู่หลายเรื่องทีเดียว ลองอ่านๆดูก็พบเรื่องนี้ที่เขียนได้ดีทีเดียว ลองอ่านกันดูว่ามีคำศัพท์อะไรน่าสนใจบ้างนะคะ

เนื้อหาภาษาอังกฤษนำมาจาก

Source: http://www.hongkiat.com/blog/facebook-etiquette/

Facebook Etiquette

There is a general agreed upon courtesy or etiquette for online communication which we can apply to the phenomenal social networking site. Nevertheless, there is no such thing as hard and fast rules for spontaneous social interactions because they are ever-changing.

แม้ว่าจะไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว hard rules สำหรับการสื่อสารทางเฟสบุ๊ค อย่างไรก็ตาม มารยาทบางประการที่รู้กันว่า สิ่งที่ควรทำในการสื่อสารออนไลน์มีอะไรบ้าง

courtesy   แบบแผน ธรรมเนียม

etiquette  มารยาท

A general agreed upon คือ  สิ่งเป็นที่รู้กัน ต่างก็เห็นต้องกัน

phenomenal  เป็นปรากฎการณ์ คือการนิยมการใช้ social network

hard rules กฎเกณฑ์ตายตัว

spontaneous  ตอบสนองทันทีทันใด

 

The following etiquettes are guidelines to enhance our social interactions and experience with Facebook. 

Five Dos: สิ่งที่ควรทำ ห้าประการ 

1. Message Private Matters Instead of Posting On Wall 
ควรใช้วิธีส่งข้อความส่วนตัวทางแมสแสจไม่ใช่การโพสบนวอลล์

เช่น
เราฝากน้องซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเข้าบ้าน ก็โพสต์ผ่านวอลของตนเอง หารู้ไม่ว่าเพื่อนๆ ของคุณและของน้องๆ ก็จะเป็นความเป็นไปส่วนตัวของครอบครัวเราไปหมด เรื่องแค่นี้ โทรศัพท์คุยกันจะดีกว่าไหมคะ
อีกอย่าง คนบางคนไปทำอะไรมาก็ชอบมาแชร์ให้เพื่อนๆ รู้ แม้แต่เรื่องส่วนตัวมากๆ ก็เอามาประกาศในที่สาธารณะ บางทีเรื่องที่เราเห็นตลกขบขัน เช่น รูปงานปาร์ตี้เมื่อคืนที่มีเพื่อนทำท่าแปลกๆ หลุดโลก แต่เมื่อเราเอารูปพฤติกรรมเหล่านั้นที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อนมาประกาศ เพื่อนอาจไม่พอใจก็ได้ จะโพสรูปใครต้องขออนุญาตคนที่เกี่ยวข้องก่อน จะปลอดภัย และเป็นการให้เกียรติกันด้วย

"Best to keep these conversations behind closed doors in Facebook Messaging."


Keep behind closed

doors    เก็บเป็นความลับ ทำในที่ลับ

2. Be Mindful Of What You Post
คิดให้ดีว่าสิ่งที่เราโพสจะทำให้คนอื่นคิดมากหรือไม่
[บางทีถ้าเราบ่นหรืออัพอะไรไปลอยๆ เราเองไม่ได้มีเจตนาอะไรแต่คนอ่านนั้นอาจจะคิดต่างไปจากเรา อาจคิดว่าไปว่าเราโพสว่ากระทบเขาหรือเปล่า เช่น เราแสดงความเห็นเกี่ยวกับโฆษณาที่หลอกให้ซื้อสิ่งของต่างๆ  ยกตัวอย่างเช่น สินค้าTV Direct หรือสินคาขายตรงต่างๆ ที่เดี๋ยวนี้บางคนทำเป็นอาชีพเสริม บางคนเขาขายของในเว็บอยู่แล้ว เขาก็อาจเข้าใจผิดก็ได้

What you may not realize is that some of your friends in the advertising industry could see your status in their newsfeed. It’s a general statement, but they might think you are targeting them. Of course, it’s not going to be any fun if you’re going to consider all the possible misinterpretations before you post anything, but just be mindful of it.

you are targeting them  ตั้งใจโจมตีกลุ่มคนนั้นๆ

just be mindful of it      ใส่ใจ หรือคิดให้ดี

เพื่อนบางคนมาอ่านเห็นอาจคิดว่าเราตั้งใจโพสว่าเขาหรือเปล่า ดังนั้นจะโพสอะไรก็ไตร่ตรองให้ถ้วนถี่นะคะ

3. Call Rather Than Post Personal News
ใช้โทรศัพท์ในการติดต่อข่าวสำคัญ อย่าประกาศบนวอลล์
เช่น ข่าวการเสียชีวิตคนในครอบครัว เชิญไปงานสำคัญ เรื่องสำคัญ การนัดหมายเป็นทางการต่างๆ

This isn’t just Facebook etiquette; it’s social etiquette or even common sense. If you need to inform your friends or your family about some important and personal news (e.g. death in the family), don’t declare it out in the public domain. Facebook is a social networking site; it’s supposed to be public. This means that people can know what happened.

สิ่งนี้ไม่ใช่แค่มารยาทออนไลน์ แต่เป็นมารยาททางสังคมที่ต้องใช้สามัญสำนึก เช่น หากมีคนในครอบครัวเสีย การแสดงความเสียใจ ควรจะบอกกันด้วยวาจาดีกว่า การพูดจะดูจริงใจมากกว่าการทิ้งข้อความ เรื่องนี้เป็นมารยาทสังคมที่พึงกระทำอยู่แล้ว เช่น เราอยากจะบอกเลิกกับใครก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะบอกโดนการส่งข้อความ หรือการโทรศัพท์

The other reason not to post is courtesy. It’s the same reason why you shouldn’t use SMS (or even the phone) to break up with someone. It’s rude and insincere to break important news, be it good or bad ones, without having some form of genuine communication through voice tones and body languages.

It’s rude and insincere to break important news
เป็นการเสียมารยาทและไม่จริงใจในการบอกข่าวสำคัญผ่านเฟสบุ๊ค

 

4. Avoid Posting Comments On Every Post อย่าโพสคอมเมนต์บ่อยเกินไป

สมมติเรามีเพื่อนอยู่สองสามคนที่เราชอบคอมเมนต์กันไปมา แต่ก็ควรจะเว้นระยะให้หายใจกันบ้าง ไม่ใช่ว่าเพื่อนทำอะไรเราก็มีความเห็นไปทุกอย่าง เดี๋ยวเขาจะว่าเราสะกดรอยตามเขาอยู่นะคะ

If you’re stalking your friend, leave it at that. Don’t make it a habit to make some comment on everything your friends post or they’ll start to get suspicious. Even if you say with all honesty that you are not stalking them, it’s not going to be easy for them to believe that their status updates always appear on your newsfeed.

Stalking   คอยตาม เหมือนพวกโรคจิต ตามดูทุกฝีก้าว

It’s open secret that everyone checks out their friends’ profile every now and then, but to comment on everything is to admit that you are constantly checking out on them. What is even worse is that your friend’s friends might notice as well, seeing that you are a ‘regular’ commenter. If you don’t wish to be labeled a pest, try to limit your comments somewhat.

checking out on   คอยตรวจตรา ตรวจสอบว่าทำอะไรอยู่

labeled a pest   ถูกตราหน้าว่าเป็นตัวน่ารำคาญ

 

5. Be Careful Of Your Tone ให้ระวังน้ำเสียงของข้อความ

เนื่องจากการสื่อสารในเฟสบุ๊คนั้นคือการส่งข้อความตัวหนังสือเสียเป็นส่วนมาก ดังนั้นภาษาที่เราใช้บางทีอาจจะออกเชิงเสียดสีโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรก็ตามสามารถทำให้ดูเป็นมิตรขึ้นได้โดยการใช้ Emoticons พวกหน้ายิ้มต่างๆ ช่วยทำให้น่าอ่านมากขึ้นค่ะ ^_^

As with all other online communication, communicating in Facebook is mostly textual. We can neither hear the voice tone nor see the body language when the other person ‘speaks’. In other words, it’s easy for someone to think you are being sarcastic when you are not, or misunderstand you in any other manner for that matter. To complicate things, everyone has their own typing style.

One way we can compensate for the lack of cues is to use emoticons. It’s pretty limited, but experience has taught me that a simple smiley face after a sentence can do wonders by neutralizing any potential tension. Smile and the whole world smiles with you :)


Five Don’ts: สิ่งที่ไม่ควรทำห้าประการ

1. Make Friend Requests To Strangers 
อย่าขอเป็นเพื่อนกับคนที่ไม่รู้จักโดยตรง หรือเคยไม่เคยเจอหน้า พุดคุย

If you wish to add someone for some valid reason, like to get to know this person with some introduction or through a mutual friend.

หากอย่างเป็นเพื่อนกับใครจริงๆ ขอให้ผ่านการแนะนำจากเพื่อนสู่เพื่อนอีกทีจะดูมีมารยาทกว่า

 

2. Tag Your Friends In ‘Unglam’ Shots 
แท็กรูปเพื่อนตอนที่ดูไม่ดี โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิง การโพสรูปที่ไม่สวยเป็นความผิดพลาดร้ายแรง
 

Guys may take it lightly when they are tagged in photos that look as if they just woke up from the bed, thinking that it’s a joke pulled off by their friends. When it comes to gals though, appearing ‘unglam’ means a lot more to them. Of course, this applies to some guys as well. What you need to take from this rule is to be sensitive of who you might be tagging in photos, especially those shots which are obviously awfully taken.

Unglam(orous)  ดูไม่ดี  

A joke pulled off by friends    เรื่องตลกที่เพื่อนจะเข้ามาช่วยกันฮา ช่วยกันขำ

 

3. Overshare Yourself 
อย่าอัพเดทสถานะของตนเองบ่อยเกินไป และเลือกแชร์เฉพาะสิ่งที่น่าสนใจ
 

Checking out the updates on your newsfeed, you see the same friend updating his status over and over again. Not any insightful ones, but just posts about what he’s doing every ten minutes. How exciting. You decide to hide his posts.

หากเราโพสไร้สาระบ่อยๆ ในที่สุดคนอ่านก็จะซ่อนสิ่งที่เราโพสไปเพราะเขาไม่อยากอ่านอะไรที่มันน่ารำคาญเป็นประจำ แม้แต่บางคน ปวดเข้าห้องน้ำก็โพส

Spice up your status updates a little. Instead of telling your friends you’re in the can taking a leak, share something interesting about yourself.

In the can taking a leak   เข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะ   (สถานะแบบนี้ กิจธุระส่วนตัวมากๆ อย่าโพสให้เป็นการประเจิดประเจ้อเลยค่ะ)

Spice up ทำให้น่าสนใจ มีสีสัน

4. Vent About Your work
การบ่นเกี่ยวกับเรื่องงาน อาจทำให้ตนเองเดือดร้อนได้
อย่าคิดว่าเราบ่นแต่ในหมู่เพื่อน เพื่อนเราไว้ใจได้ เรื่องนี้หลายคนพลาดและทำให้มีปัญหาในการทำงานมาแล้ว คุณจะไว้ใจได้อย่างไรว่าเพื่อนคนใดคนหนึ่งของคุณจะไม่หักหลัง คัดลอกข้อความของคุณไปบอกเจ้านาย

Facebook is a double-edged sword when it comes to its social networking capability. Even with your most stringent privacy settings, there’s still a risk that what you post can reach people you wouldn’t want it to reach, and your co-workers and boss are the last people you want to mess with. So, just play safe and leave your venting to somewhere private.

แม้ว่าบางคนจะตั้งความเป็นส่วนตัวไว้สูงสุดแต่บางทีอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีแอบเอาข้อความส่วนตัวของเราออกไปบอกชาวบ้านทราบ ทีนี้ละเป็นเรื่องใหญ่

เพื่อนที่กลายเป็นศัตรูเขาเรียกว่า Frenemy

double-edged sword   ดาบสองคม

Vent  คือ บ่น การระบายความรู้สึก เหมือนปล่อยระบายอากาศ ระบายควัน ในที่นี้คือช่องทางที่ระบายความอัดอั้นตันใจทางเฟสบุ๊คนั่นเอง บางคนบ่นเจ้านาย บ่นเพื่อนร่วมงาน หรือบ่นเรื่องครอบครัว มันไม่เป็นผลดีต่อตนเองเท่าไหร่นัก

5. Post Chain Status Updates  โพสเรื่องที่ส่งต่อกันมาเป็นทอดๆ เหมือนอีเมลลูกโซ่ 

Remember those chain e-mails that demand you to forward to all of your friends or you’ll die a horrible, horrible death? Well, Facebook has a similar kind of chain, but usually for a good cause. Someone first post a status update about a social cause, encouraging those who read it to post the status too, so that their friends will get to read it and post it as well. This chain thus spread the cause, raising public awareness.

The intention here is right, but sometimes too much of a good thing isn’t good. When you see your newsfeed updates filled with the same status, you get annoyed instead, and you associate your negative emotion to that social cause.

พวกชอบแท็กโฆษณาทั้งหลายจะทำให้คนอื่นรำคาญและในที่สุดคุณก็จะถูก unfreind/defreind ทั้งทางเฟสบุ๊คและในโลกความเป็นจริง เพราะคุณทำตัวน่ารำคาญ ทั้งกรณีที่ขอบริจาคช่วยเหลือทั้งหลาย คุณอาจทำให้เพื่อนโดนหลอกก็ได้ คนที่อยู่ในรูปน่าสงสารนั้นอาจไม่มีจริง หรือได้รับการช่วยเหลือไปนานแล้ว


**สุดท้าย สำคัญมาก

Flame Others
  วิพากษ์วิจารณ์หรือ แสดงความขัดแย้งกับผู้อื่นกันในที่สาธารณะ
การมีเรื่องขัดใจกับใครควรแก้ปัญหาตรงไปตรงมา การให้ร้ายผู้อื่น พูดถึงข้อเสียของผู้อื่น ท้ายที่สุดคือกระจกเงาสะท้อนตัวคุณนั่นเอง

Everyone is entitled to state their own opinion on the free internet, so there’s no need to put anyone down just because you disagree (or worse, don’t like the person).  Sometimes I even see people criticizing the comments of their friend’s friend who replied to the post, whom they don’t even know. It’s embarrassing not only to yourself, but to your friend as well.

In the spirit of good conversations, let’s keep this in mind in whatever communication we have online, in Facebook, forums, emails, etc. Don’t ruin it for everyone.

 

สรุปแล้ว คือ ไม่ว่าจะเป็นโลกออนไลน์หรือการเข้าสังคม เราก็ควรจะรักษามารยาทในการสื่อสารไว้ คิดก่อนโพสทุกครั้งนะคะ ด้วยความปรารถนาดี ^.^

ที่ผ่านมามีคนเข้ามาอ่านเยอะ ยินดีค่ะ หากใครจะนำไปเผยแพร่ อีเมลมาบอกกันได้นะคะ อยากรู้ว่าใครสนใจหรือมีข้อแนะนำเพิ่มเติมได้ค่ะ

มีคลิปของช่อง 7 อ้างถึงบทความนี้ด้วย เชิญติดตามไปชมกันได้ค่ะ  คลิกเพื่อเข้าชม

หมายเลขบันทึก: 440857เขียนเมื่อ 26 พฤษภาคม 2011 09:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 เมษายน 2013 17:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (32)
  • สวัสดีค่ะ..

ดีใจที่ได้เห็นบันทึกนี้นะคะ ^^   เมื่อก่อนใช้งานแต่ที่ G2K  โดยที่ไม่เคยคิดที่จะข้องแวะกับเฟสบุ๊คเลย  จนในที่สุด..ลูกสาวเจ้านายชักชวนก็เลยลองเข้าไปดู   แต่ก็รู้สึกว่าในเฟสบุ๊ค..หลายคนก็เป็นตัวของตัวเองชนิดที่ว่าเราจะไม่เห็นแบบนั้นใน G2K

การใช้งานในบอร์ดสาธารณะ  หลายคนพึงระมัดระวังการใช้ถ้อยคำ หรือการแสดงอารมณ์บ้าง  ไม่ใช่ "ไม่ได้"   แต่มันไม่ควรจะ "มาก" อะ

ขอบคุณบันทึกนี้นะคะ  ^^

สวัสดีค่ะ

ยินดีค่ะที่กรุณาแวะมาอ่าน หากเห็นว่าเป็นประโยชน์ช่วยบอกเพื่อนๆ ด้วยนะคะ ^_^

น้องอ้อม ขอบคุณมากครับ ได้ความร้มากเลย เรียกชื่อเล่นก็ได้ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็มขนาดนั้น คาดว่างานคงยุ่งใช่ไหมครับ ในFB ถ้านิสิตนักศึกษารู้จักใช้จะมีประโยชน์มากๆๆ

^^ ขอบคุณครับ เรื่องนี้น่าสนใจมากเลยครับ

สวัสดีค่ะ อ.ekkawit

รู้ไว้ก็จะเป็นประโยชน์ในการสื่อสารมากค่ะ ฝากบอกต่อๆ กันด้วยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ขออนุญาตนำไป เผยแพร่นะครับ

ยินดีค่ะ จะได้ใช้สังคมออนไลน์ได้อย่างสบายใจและปลอดภัย

ข้อมูลนี้น่าสนใจค่ะ เพราะเป็นเรื่องที่เตือนสติสังคมออนไลน์ให้ตระหนักในการสื่อสารค่ะ

ค่ะ คุณวันเพ็ญ

สังคมออนไลน์มีแนวโน้มจะมาแทนที่การสื่อสารแบบเดิมเช่นโทรศัพท์ หรือการส่งข้อความ คนที่ใช้อย่างถูกวิธีจะมีประโยชน์มากค่ะ ^^

ได้อ่านบทความของอาจารย์แล้ว ดิฉันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ เป็นบทความที่มีประโยชน์สำหรับคนที่อยู่ในสังคมออนไลน์ แต่น่าเสียดายที่จะมีใครสักกี่คนที่เข้าใจ มรรยาทในสังคมออนไลน์และเอาไปใช้จริงๆ

ว่าแล้วก็ขออนุญาต อาจารย์ ไปเผยแพร่นะค่ะ ..จะให้เครดิตด้วยค่ะ ^^

อ่านแล้วเป็นประโยชน์มากค่ะ ขออนุญาตนำไปเผยแพร่นะคะ

อีกเรื่องที่น่าจะสำคัญมากคือ เข้าร่วมวิพากษ์วิจารณ์อะไร โดยที่ตนเองไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ตื้นลึก หนาบางอะไรกับเขา ขอเพียงฉันได้โพสต์แสดงความฉลาดบ้าง ซึ่งจริงๆ เป็นการแสดงความโง่เง่าเต่าตุ่นของตัวเองมากกว่า จนเกิดความขัดแย้งรุนแรงตามมา ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ
เห็นเพื่อนโพสต์ตัดพ้อเพื่อนอีกคนนึง ตัวเองเห็นก็แสดงความอวดรู้ช่วยด่าฉอดๆๆๆๆๆๆ ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย (คนที่เขาตัดพ้อ ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร)แต่เจือกเสนอหน้าไปปลอบเพื่อน บางทีถึงขั้นไปด่าพ่อด่าแม่เขาเข้าให้ ผลคือ เพื่อนคนนั้นมองหน้าผู้ชายที่ตัดพ้อไม่ติดไปตลอดชีวิต แทนที่เรื่องจะดีขึ้นกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปซะเพราะดันมีเื่พื่อนฉลาดในเรื่องโง่ๆ ฮ่าๆๆๆๆ มีเพื่อนแสนรู้ ตูข้าต้องเสียคน

อันนี้ ฝรั่งไ่ม่ได้บอก แต่คนไทยเราทำเยอะ ต้องเอามาคิดให้มาก

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เพราะที่มาเจอกระทู้นี้ก็เพราะเบื่อระบบเพื่อนที่มั่วกันมากเลย ตัวอย่างเช่นการไปไหนมาไหน จะกินอะไร นอนยังไง ( เหลือแต่..ขี้..) ก็มีแต่รูปโชว์กันมันน่าลำคาญมากครับ บางคนมีรูปหมาบ้างแมวบ้าง น่าลำคาญมากเลย บางคนก็น่ายกย่องมีรูปภาพคนป่วยอยากให้สังคมช่วยเหลือ ก็เป็นเรื่องที่ดีทุกคนจะได้เห็นภาพที่เค้าต้องการความช่วยเหลือช่วยแชร์กัน...ขอร้องผ่านกระทู้ด้วยครับว่า คุณจะมีความรัก อกหัก บ้าบออะไร ไม่จำเป็นต้องโพสบทกลอนหรือรูปภาพ ที่คุณไปทำอะไรมา ให้สื่อออนไลน์ได้รับรู้เลยครับ  ไม่มีใครเค้าอยากรับรู้กันหรอก ใช้วิธิการอื่นที่คุณๆ อยากคุยอยากแชร์กันส่วนตัวจะดีกว่า

ขอบคุณบทความดีๆ ของ อาจารย์มากครับ ผมขอเสริม เรื่อง เฟคบุ๊คอีกนิดนะครับ จากประสพการณ์ตรง

ที่ผ่านมา

1 คืออย่าถาม หรือขอชื่อเฟคบุ๊คตรงๆ จากคนที่พึ่งรู้จัก หรือไม่ค่อยสนิท เพราะอาจทำให้เขาอึดอัด

(เพราะมีผู้เล่้น เฟคบุ๊คทั้งไทยและทั่วโลก มีพฤติกรรมคล้ายๆกันคือ เล่นเป็นแบบฉาบฉวย) ตั้งค่า ความเป็นส่วนตัว

การกำหนด คุณสมบัติต่างๆ การปิดวอลล์ การกำหนดให้วอล์ของเราใครเข้าถึงได้บ้างมีจำนวน เทียบเป็นเปอร์เซ็นตร์กับคนที่ชำนาญ มีไม่มากนัก ส่วนใหญ่เล่น แต่ไม่เคยสนใจ การกำหนดค่า ที่ทางเฟคบุ๊คให้มาเลย)

ถ้าอยากได้จริง ให้ลองถามหยั่งเชิงดูก่อน ว่าเล่นเฟคบุ๊คไหม ถ้าเขาตอบมี แต่ไม่แสดงออกถึงการอยากเปิดเผย

บัญชีของเขา เราไม่ควรขอโดยเด็ดขาด อาจทำให้ผู้ถูกขอลำบากใจ

2 พยายามอย่าใช้ชื่อจริง และสถานที่บางสถานที่ ไม่ควรถ่ายและิัอัพรูป เช่นรูปบ้าน ลักษณะที่แสดงถึงส่วนสำคัญ

ภายในบ้าน (ที่สังเกตุจากภายนอกได้ชัดเจน) หรืออัพรูปตลอดเวลา เมื่อไปที่สถานที่ใดแบบเรียลไทม์

นั่นเป็นการชี้ช่วงเวลา ว่าไม่อยู่บ้านในขณะนั้น ในกรณีที่บ้าน มีสมาชิกครอบครัวหลายๆคน อาจจะค่อนข้างปลอดภัย

แต่ถ้าบ้านมีแค่คุณและแฟน บางทีการโพสต์บนวอลล์ อาจทำให้ทรัพย์สินภายในบ้านคุณถูกยกเค้า

ทางที่ดี ควรกำหนดค่า ให้เป็นเข้าถึงได้เฉพาะเพื่อนเท่านั้น ไม่ควรตั้งเป็นสาธารณะ

3 การโพสต์ในวอล์ของคนอื่น ต้องมั่นใจริงๆว่า สนิทกันมากๆ มิฉนั้นอาจทำให้เสียเพื่อน เพราะบางคนรับเป็นเพื่อน

เพราะความเกรงใจก็มี (เขาอาจรำคาญ และคิดว่าคุณไม่มีมรรยาท และละเมิดความเป็นส่วนตัวของเขา)

4 การขอเป็นเพื่อนของเพื่อน ทั้งๆที่เราไม่รู้จัก ดูจากเฟคบุ๊คอันนี้ผมไม่แนะนำ เพราะอาจทำให้เพื่อนไม่พอใจ

5 อย่าใช้อารมณ์ หรือความสนุกมาโพสต์ (เอามัน) เพราะการโพสต์จะอยู่ไปเรื่อยๆ(ยกเว้นคุณลบมัน) และส่วนใหญ่ก็จะรับรู้และสื่อสารได้เป็นวงกว้าง ทำให้ภาพพจน์ของคุณดูแย่ลง เพราะคำที่พิมพ์ลงไปในวอลล์์ สามารถตีความนิสัยผู้นั้นได้ไม่ยาก และยากที่จะแก้ไขในกรณี ที่ใช้คำไม่เหมาะสม และหยาบคาย ส่อเสียด และพยายามอย่าพาดพิงบุคคลที่สาม ในทางลบ ถ้าไม่สนิทจริงๆ หรือสนิทก็ต้องพอรู้นิสัยของเพื่อน ว่ารับภาพเหตุการณ์ และสิ่งที่เราโพสต์ได้ไหม

เพราะสิ่งที่คุณสนุก เขาอาจไม่สนุกกับคุณด้วย

5 พยายามอย่าแสดงความคิดเห็นเรื่อง ศาสนา และการเมือง เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจทำให้ความสัมพันธ์ที่ดี

กับเพื่อนเลวร้ายลง ถ้าเป็นไปได้อย่ากดไลค์ เรื่องการเมืองทุกประเภท



เป็นประโยขน์มาก และควรช่วยกันใช้อย่างมีศิลป์  ภาพที่ไม่ควรนำมา เกี่ยวกับความเสียหาย ทางศาสนา ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ทำศาสนาเสียไปแล้ว ควรช่วยกันครับ

ขออนุญาตนำไปวางในหน้าเฟสบุคนะคะ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสอนมาก่อน ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ

ขออนุญาตนำไปวางในหน้าเฟสบุคนะครับ เพื่อเตีอนตนเอง และแนะนำเพื่อน

 

ยินดีค่ะ เชิญเผยแพร่ให้ทุกท่านได้ทราบเพื่อประโยชน์ของสังคม

อย่างไรก็ตาม เฟสบุ๊คไม่ใช่ตัวเราทั้งหมด อย่าพึ่งไปตัดสินใครจากแค่หน้าเฟสนะคะ

ดีมากเลยค่ะขอแชร์ให้เพื่อนๆนะคะ เพราะเวลาที่เราได้อ่านสิ่งดีๆในเฟสจะรู้สึกสบายใจ แต่พอเจอพวกที่ด่าคนอื่นรู้สึกแย่ค่ะแล้วน่าเบื่อด้วย รบกวนอาจารย์ช่วยหาข้อมูลหน่อยค่ะว่าคนประเภทนี้เค้าเป็นยังไงแบบว่าต้องแก้ไขตัวเองยังไงบ้างค่ะ และจะมีข้อเสียยังไงบ้างเพราะมีเพื่อนที่สนิทคนหนึ่งเค้าชอบบ่นว่าสามีบนเฟส แล้วก็บอกว่าตัวเองไม่มีค่าไร้ค่าอะไรประมาณนี้ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

ขอบคุณอาจารย์อ้อมนะค่ะ ขออนุญาตนำไปเผยแพร่นะค่ะ เพื่อเป็นประโยชน์และเตือนสติใครหลาย ๆ คน

ปัจจุบันเฟสบุ๊คกลายเป็นที่ระบายความไม่พอใจเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องการทำงาน ความคิดเห็นทางการเมือง คงจะห้ามกันไม่ได้แล้ว คงต้องถือว่าใครโพสอะไรก็เป็นความรับผิดชอบของบุคคลๆ นั้นไป อีกประการ หลักฐานในเฟสปัจจุบันก็นำมาประกอบข้อร้องเรียนการละเมิดต่างๆ มากมาย ตามลิงค์นี้ไปอ่านดูนะคะ
http://www.9tana.com/node/police-thai-warning-soci...

http://facebook.maahalai.com/articles/1327/

คิดก่อนพูด-คิดก่อนโพส จะไม่เสียใจภายหลังค่ะ

เปิดมาอ่าน เป็นประโยชน์มากมายค่ะ ขออนุญาตนำไปเผยแพร่ต่อนะคะ >> ขอบคุณอาจารย์อ้อมล่วงหน้าค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ ดีมากเลย อ่านไปก็สำรวจตัวเองไป ขออนุญาตนำไปบอกต่อในเพจด้วยนะคะ

ขอบคุณมากคะสำหรับข้อมูลที่ช่วยแปลมาให้ทราบกัน เพราะหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน และเจอแต่เป็นภาษาอังกฤษ กำลังคิดว่าจะนั่งแปลดีไห๊ม และโพสต์ให้เพื่อนทราบ วันนี้เลยมาเจอเว็บไซท์นี้เข้า ได้จังหวะพอดี.......แต่ก่อนอื่นต้องสำรวจตัวเองก่อนอันดับแรก......

ขออนุญาตแบ่งปันค่ะ

อ่านแล้วมีประโยชน์มากขออนุญาตนำไปเผยแพร่ได้ไหมคะ?

ได้ความรู้และข้อคิดดีมากค่ะ จะได้นำไปปรับปรุงตนเอง ขออนุญาตแบ่งปันนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท