หลักประชาธิปไตยกับธรรมมาธิปไตย
คำว่า ประชาธิปไตย หมายความว่า ประชาชนเป็นใหญ่ หรือระบอบการปกครองที่ประชาชนทั้งประเทศมีสิทธิในการเข้าร่วมบริหารกิจการของประเทศ เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น จิรโชค (บรรพต) วีระสัย [1] ได้อธิบายไว้ว่า
คำว่าประชาธิปไตย ใช้ในความหมายที่เป็นกรอบความคิดในมุมกว้างถึง ๓ สถานะด้วยกัน กล่าวคือ
๑) ใช้ในฐานะที่เป็นปรัชญา ทฤษฎีหรืออุดมการณ์ทางการเมือง โดยมุ่งไปที่เรื่องของความนึกคิด อันเป็นมโนกรรม (ผลของความคิด) ของผู้บริหารประเทศและประชาชนทั้งหลาย
๒) ใช้ในฐานะที่เป็นรูปแบบทางการปกครอง คือพิจารณาในเชิงโครงสร้างหน้าที่ของรัฐบาล คณะรัฐมนตรี
๓) ใช้ในฐานะที่เป็นวิถีชีวิต ได้แก่ การยอมรับเสียงข้างมาก, การมีจิตใจกว้าง, การมีขันติธรรม, การไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา และการมีความเอาใจใส่ในกิจการงานของบ้านเมือง
อุดมการณ์เชิงปรัชญาของประชาธิปไตยนั้น อานนท์ อาภาภิรม ได้ชี้ให้เห็นถึงหลักการ โดยรวมเอาไว้ ดังนี้ [2]
๑) หลักปัจเจกชนนิยม คือการยกย่องนับถือสิทธิเสรีภาพของบุคคล โดยรัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซงในกิจการงานของปัจเจกชน แต่รัฐจะมีหน้าที่ในการรักษาความสงบภายใน และตัดสินข้อพิพาทระหว่างบุคคลกับบุคคล
๒) หลักเสรีภาพ คืออุดมการณ์ที่สำคัญของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มักจะกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญอันได้แก่ เสรีภาพในการพูดการแสดงความคิดเห็น, เสรีภาพในการพิมพ์, เสรีภาพในการนับถือศาสนา, เสรีภาพในการศึกษา, เสรีภาพในการประกอบอาชีพ, เสรีภาพในการจัดตั้งสมาคม เป็นต้น
๓) หลักความเสมอภาค คืออุดมการณ์พื้นฐานอีกข้อหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วย ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์อันได้แก่ ศักดิ์ศรี เกียรติยศ คุณค่าความเป็นมนุษย์ เป็นต้น , ความเสมอภาคทางด้านกฎหมาย, ความเสมอภาคในโอกาส, ความเสมอภาคทางด้านการเมือง เป็นต้น
จะเห็นว่าประชาธิปไตยที่กล่าวไว้อย่างโลกตะวันตก มักจะคำนึงถึงรูปแบบที่เรียกเป็นระบบทางการเมืองการปกครองที่ปรากฏชัดเป็นรูปธรรม เช่น มีพรรคการเมือง มีสภา มีผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี มีรัฐสภา มีสมาชิกวุฒิสภา เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเนื้อแท้ของประชาธิปไตยคือสารัตถะ ที่ผู้คนทั่วไปมักมองข้ามอย่างน่าเสียดาย
๙.๒.ธรรมาธิปไตย
แนวคิดธรรมาธิปไตย ไม่ใช่ระบอบการเมืองการปกครอง แต่เป็นแนวความคิดที่ถือธรรมเป็นหลักชัยแห่งการบริหาร จัดการบ้านเมืองหรือองค์กรให้มีความเจริญก้าวหน้า มั่นคง สร้างความสามัคคีปรองดองคนในชาติและเป็นที่ยอมรับของคนทุกฝ่าย ผู้เข้ามาสู่อำนาจจะต้องเป็นผู้ที่มีธรรม โดยธรรม และเพื่อธรรม การปกครองระบบนี้จึงไม่ใช่ทฤษฎีที่ว่าด้วยระบบการปกครอง อย่างเช่นระบบการปกครองทั่ว ๆ ไปในปัจจุบันอย่างที่ชาวตะวันตกเข้าใจกัน
๙.๒.๑.ความหมายของธรรมาธิปไตย
คำว่า ธรรมาธิปไตย หมายความว่า มีธรรมเป็นใหญ่ หรือจะหมายความว่าการถือธรรมเป็นใหญ่ เป็นหลักในการบริหารจัดการ ซึ่งมาจากศัพท์ว่า ธรรม + อธิปไตย ความหมายในที่นี้ คือแนวคิดใช้ธรรมะเป็นสำคัญไม่ว่าจะเป็นระบอบ หรือตัวผู้บริหาร ก็จำเป็นต้องมีธรรมนำการบริหารจัดการ ทั้งสิ้น
๙.๒.๒.หลักการธรรมาธิปไตย
หลักธรรมาธิปไตย ในทัศนะของผู้เขียนนั้นจะต้องประกอบด้วย ๓ ส่วนคือ
๑.ธรรมฐิติ ผู้ทรงธรรม แนวคิดนี้ผู้ปกครองต้องเป็นผู้มีคุณธรรม หรือเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมโดยการประพฤติปฏิบัติตามธรรม หรือที่เรียกว่าธรรมราชา
๒.ธรรมนิติ ระบบที่เป็นธรรม กล่าวคือผู้ปกครองต้องเข้ามาสู่อำนาจตามแบบแผนที่สังคมได้วางเอาไว้ ซึ่งระบบดังกล่าวต้องเป็นธรรม หรือธรรมาธิปไตยในรูปแบบการปกครอง
๓.ธรรมมติ มติที่เป็นธรรม กล่าวคือเป้าหมายของการบริหารปกครองต้องอยู่ที่ประชาชน คนใต้การปกครองที่จะได้รับการดูแลเอาใจใส่ โดยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีมิตรภาพ ภารดรภาพ สิทธิเสรีภาพ ซึ่งผู้ปกครองสามารถสร้างวัฒนธรรมแบบแผนให้เกิดขึ้นด้วยธรรม หรือเรียกว่า ธรรมาภิบาล
๙.๓.นานาทัศนะกับหลักธรรมาธิปไตยกับประชาธิปไตย
นักคิดทฤษฎี นักวิชาการสำนักต่าง ๆ ได้ให้มุมมองในเรื่องดังกล่าวนี้ไว้ เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ชัดเจน สรุป ดังนี้
๙.๓.๑.แนวความคิดแบบอย่างความประพฤติ
ไชย ณ พล (ม.ป.ป.: ๕๔) ซึ่งจับประเด็นของคำว่า วิชาและจรณสัมปันโน มาวิเคราะห์ ดังนี้
๑) วิชา คือธรรมะที่พระองค์ทรงสอนและบรรลุให้ดูเป็นแบบอย่างแล้ว
๒) จรณะ คือวินัยที่พระองค์ทรงสั่งและประพฤติให้ดูเป็นแบบอย่างแล้ว
๙.๓.๒. แนวความคิดแบบธรรมราชา
ปรีชา ช้างขวัญยืน (๒๕๔๐ : ๑๖๙)
ให้ทัศนะว่าการอธิบายซึ่งอาศัยความถูกต้อง ความดี หรือเหตุผล เป็นที่ตั้งนั้นยังไม่พอที่จะให้เป็นหลักสำคัญทางการเมืองได้และจะให้เป็นระบอบการปกครองยิ่งไม่ได้ เพราะธรรมาธิปไตยไม่ใช่ระบอบการปกครอง แต่อาจใช้ธรรมาธิปไตยเป็นหลักสำคัญทางการเมืองได้ ถ้าเราสามารถอธิบายธรรมะซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของการปกครองทั้งหลายให้เป็นสำคัญ ธรรมะในแง่นี้ก็จะเป็นหลักในการอธิบายมโนทัศน์สำคัญทางการเมืองทุก ๆ เรื่องได้ เช่นนี้จึงอาจพอเรียกได้ว่าเป็นธรรมาธิปไตย เช่น เมื่อพูดถึงผู้ปกครองที่มีความชอบธรรมหรือมีสิทธิในการปกครอง เขาอาจพิจารณาโดยอาศัยธรรมเป็นหลัก ดังนี้
๑) ผู้ปกครองจะต้องรู้ธรรม คือเข้าใจเหตุการณ์และปัญหาทางด้านการเมือง, สภาพทางสังคม และทางด้านเศรษฐกิจ
๒) ผู้ปกครองจะต้องเป็นธรรม คือเมื่อรู้เข้าใจแล้วจะต้องใช้วิธีดำเนินการหรือแก้ปัญหาอย่างเป็นธรรม อย่างถูกต้องตามที่ควร และจะต้องใช้วิธีการที่ดีงามด้วย
๓) ผู้ปกครองจะต้องมีธรรม คือต้องยึดมั่นในความดีงามทั้งทางกาย วาจา ใจ
๔) ผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้ชอบธรรม คือเป็นผู้ปกครองตามกติกาของสังคมหรือระบอบการปกครองอันเป็นที่ยอมรับในสังคมนั้นโดยสุจริต
๕) ผู้ปกครองจะต้องสร้างธรรม คือทำให้เกิดความเป็นธรรมในกิจการต่าง ๆ ของรัฐหรือสังคม ต้องทำให้ประชาชนเป็นคนมีธรรมประจำใจและตัดสินสิ่งต่าง ๆ โดยใช้เหตุผลและความดีงามเป็นหลักการ
๙.๓.๓.แนวความคิดแบบอุดมรัฐ (Republics)
พระธรรมปิฎก (๒๕๔๒ : ๔๔๕)
การมีความรับผิดชอบต่อสงฆ์และประโยชน์สุขของสงฆ์มีความหมายเนื่องอยู่ด้วยกันกับการปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของพหูชน เพราะสงฆ์หมายถึงส่วนรวมและสงฆ์ได้มีขึ้นก็เพื่อประโยชน์สุขของพหูชน พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำในการปฏิบัติเช่นนี้ ดังพุทธพจน์ว่า ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
๑) เป็นผู้ทรงธรรม
๒) เป็นธรรมราชา
๓) เป็นผู้อาศัยธรรม
๔) เป็นผู้สักการะธรรม
๕) เป็นผู้เคารพ นอบน้อมธรรม
๖) เป็นผู้มีธรรมเป็นธงชัย
๗) เป็นผู้มีธรรมเป็นตราชู
๘) เป็นธรรมาธิปไตย
แนวคิดดังกล่าวนี้ ส. ศิวรักษ์ สนับสนุนว่า เพลโต ได้ให้ความหมายสอดคล้องกับพระพุทธศาสนาในเรื่องอุดมรัฐ ซึ่งรัฐในอุดมคติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ปกครองที่เป็นนักอุดมคติและผู้ปกครองจะดำรงอุมคติไว้ได้ก็ต่อเมื่อประพฤติปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญที่ตั้งตามอุดมธรรม [3]
ดังนั้น จึงสรุปได้ในภาพรวมที่แตกต่างกันอย่างกว้าง ๆ ว่า
๑) รูปแบบ
การปกครองแบบประชาธิปไตย มีประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนมีอำนาจและใช้อำนาจ แต่ธรรมาธิปไตย มีธรรมเป็นใหญ่ ธรรมมีและใช้อำนาจ
๒) หลักการ
ประชาธิปไตย มีหลักการ ๓ หลักการคือ เน้นปัจเจกชนนิยม, หลักเสรีภาพ และหลักความเสมอภาค ส่วนธรรมาธิปไตย ตามแนวคิดของผู้เขียนมี ๓ หลักการเช่นกันคือ ธรรมฐิติ ผู้ปกครองต้องทรงธรรม, ธรรมนิติ ระบบหรือกระบวนการต้องเป็นธรรม และธรรมมติ มติที่ออกมาหรือโหวตกันต้องประกอบด้วยคุณธรรม
[1] จิรโชค (บรรพต) วีระสัย และคณะ. รัฐศาสตร์ทั่วไป. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๘). หน้า ๒๕๕.
[2] อานนท์ อาภาภิรม. รัฐศาสตร์เบื้องต้น. ( กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๘). หน้า ๑๑๙.
[3] ส. ศิวรักษ์. แนวคิดทางปรัชญาการเมืองของอริสโตเติล. พิมพ์ครั้งที่ ๒. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศยาม, ๒๕๔๓). หน้า ๑๗.
แล้วตกลงว่า "ประชาธิปไตย" กับ "ธรรมาธิปไตย" เหมือนหรือแตกต่างกันครับหลวงพี่ เรียนสอบถาม
เจริญพรขอบคุณอวิชชา ที่ได้แวะเข้ามาแสดงทัศนะ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เหมือนกับผู้คอยชี้ขุมทรัพให้
ประชาธิปไตยกับธรรมาธิปไตยย่อมแตกต่างกันอย่างมาก คือ
๑) แตกต่างในความหมาย คือธรรมเป็นใหญ่ กับประชาชนเป็นใหญ่ ซึ่งคำว่าประชาชนเป็นใหญ่อาจจะไม่เป็นธรรมก็ได้ เช่น สมาชิกที่โหวตเป็นโมฆบุรุษ ๑๐๐ คน แต่มีสัตตบุรุษเพียง ๒๐ คนก็สู้ไม่ได้
๒) แตกต่างในหลักการ คือ หลักประชาธิปไตยเน้นปัจเจกชนนิยม,เสรีภาพ,ความเสมอภาค ซึ่งอาจทำตามอำเภอใจได้ แต่หลักธรรมาธิปไตยคือ ผู้ปกครองถือธรรม ระบบการปกครองก็ประกอบด้วยหลักธรรม และมติที่ใช้ก็เป็นธรรมด้วย