หลักพุทธธรรมกับการเมืองการปกครอง
๘.๑.แนวคิดในการนำหลักธรรมมาใช้ทางการบริหาร
๘.๑.๑.ลักษณะคำสอนของพระพุทธเจ้า
หลักพุทธธรรม เป็นหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นธรรมที่มีคุณสมบัติมากถึง ๖ ประการประกอบไปด้วย [1]
สวากขาโต เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
สันทิฏฐิโก เป็นธรรมที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
อกาลิโก เป็นธรรมที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เอหิปัสสิโก เป็นธรรมที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด
โอปนยิโก เป็นธรรมที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นธรรมที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน
ดังนั้น ธรรมะจึงมีเนื้อหาสาระและขอบเขตที่กว้างขวางมาก ว่ากันตามจริงแล้วมิใช่แต่เฉพาะเรื่องของรัฐหรือการปกครองเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมไปถึงกิจกรรมส่วนตัว เรื่องของจิตใจ ครอบครัว โดยมีความหมายลึกถึง ๔ ระดับดังนี้ ๑. ธรรมะสำหรับการบริหารปกครองตน ๒. ธรรมะสำหรับการครองเรือน ๓. ธรรมะสำหรับการบริหารประเทศชาติ ๔. ธรรมะสำหรับการอยู่เหนือธรรมชาติ หรือเข้าสู่พระนิพพาน [2]
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงอยู่ที่ว่าจะเลือกใช้หัวข้อธรรมไหน เรื่องอะไร ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ โอกาส เวลาและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ และให้เหมาะกับบุคคล
๘.๑.๒.ความหมายของการเมืองการปกครอง
การเมือง คืองานที่เกี่ยวกับรัฐหรือแผ่นดิน, การบริหารประเทศเฉพาะที่เกี่ยวกับนโยบายในการบริหารประเทศ, กิจการอำนวยหรือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน [3]
การเมือง คือการดำเนินกิจกรรมทางด้านความสัมพันธ์ภายในประเทศรวมทั้งระหว่างประเทศของชนชั้นหนึ่ง ๆ , พรรคการเมืองหนึ่ง ๆ, หมู่คณะของสังคมหนึ่ง ๆ รวมทั้งส่วนปัจเจกชน [4]
หลักพุทธธรรมกับการเมือง คือหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอันมีนัยยะที่สัมพันธ์เกี่ยวกับรัฐหรือกิจกรรมทางด้านความสัมพันธ์ภายในประเทศของชนกลุ่มต่าง ๆ เป็นต้น
หลักพุทธธรรม เป็นหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นธรรมที่มีคุณสมบัติมากถึง ๖ ประการดังที่กล่าวมาแล้ว ทีนี้จะได้อธิบายถึงการบริหาร การปกครอง เป็นลำดับต่อไป
คำว่า บริหาร คือ ปกครอง เช่น บริหารส่วนท้องถิ่น, ดำเนินการ, จัดการ [5]
คำว่า การปกครอง คือ การบริหารราชการทางด้านการปกครอง หรือ administration [6]
ดังนั้นคำว่า หลักพุทธธรรมกับการบริหาร จึงหมายถึง การใช้หลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้กับการบริหาร, จัดการ, ดำเนินการ หรือปกครองส่วนราชการหรือองค์กรที่เป็นเอกชนก็ได้
เพื่อไม่ให้นิสิตสับสนในเรื่องการเมืองกับการปกครองจึงขอแยกออกเป็น ๒ ประเด็น เพื่อง่ายต่อการจดจำและให้เนื้อหาของวิชานี้ชัดเจน ดังนี้
คำว่า การเมือง คือกิจกรรมทางการเมืองซึ่งมาจาก รัฐศาสตร์ [ Political Scince ]
คำว่า การปกครอง คือกิจกรรมที่ผู้บริหารใช้ในการปกครอง มาจาก รัฐประศาสนศาสตร์ [ Public Administration ] ซึ่งแยกออกเป็น ดังนี้
ที่ |
ศัพท์ |
วิชาการ |
ภาษาอังกฤษ |
กิจกรรม |
๑ |
การเมือง |
รัฐศาสตร์ |
Political Scince |
เป็นกิจกรรมทางการเมืองที่ศึกษาทางกระบวนการของผู้สมัครรับเลือกตั้งก่อนที่จะเข้ามาบริหารงานทางด้านการปกครอง |
๒ |
การปกครอง |
รัฐประศาสนศาสตร์ |
Public Administration |
เป็นกิจกรรมที่ผู้ชนะการเลือกตั้งกระทำหลังจากเข้ามาบริหารงานของรัฐแล้ว |
๘.๒.หลักพุทธธรรมกับการปกครอง
ธรรมะ หรือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากมาย ซึ่งมีถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ รวมอยู่ใน ๓ ปิฎก คือพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก
การจะแยก แล้วระบุว่าอะไรเป็นพุทธธรรม สำหรับการบริหารหรือปกครองนั้นไม่ได้ เว้นเสียแต่เราจะสงเคราะห์หมวดธรรมเหล่านั้น ให้เข้ากับหลักการดังกล่าวเท่านั้นเอง พระพุทธศาสนาเป็นศาสตร์ทางด้านจิตใจ เน้นข้อเท็จจริงและประสบการณ์ เป็นศาสนามิใช่ปรัชญาดังที่เข้าใจกัน
เพื่อให้เข้าใจร่วมกันจึงแบ่งหลักธรรมทางพระพุทธศาสนากับการบริหารปกครองออกเป็น ๗ กลุ่ม ประกอบไปด้วย
๑. หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการวางกรอบบริหารบ้านเมือง
๒. หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการเป็นผู้นำ
๓. หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการพัฒนาประเทศ
๔. หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการสงเคราะห์คนในสังคม
๕. หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการวินิจฉัยสั่งการ
๖. หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการพัฒนาองค์กร
๗. หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการวงแผนนโยบาย
หลักธรรมทั้ง ๗ ประการนี้ แท้ที่จริงชาวพุทธให้ความเคารพกรุณาต่อธรรมชาติทั้งปวง เหตุเพราะชาวพุทธมองทุกสิ่งทุกอย่างในฐานะที่สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ไม่มีอะไรจะคงอยู่ได้แบบโดดเดียว แม้ใจและกายก็เนื่องอยู่กับกันและกัน ต้องได้รับการพัฒนาให้ไปด้วยกัน หากจะทำให้เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืนแล้ว จะต้องพัฒนาสิ่งทั้งปวงทั้งทางด้านร่างกาย(กายภาวนา), ด้านสังคม (สีลภาวนา), ด้านจิตใจ (จิตตภาวนา) และด้านปัญญา (ปัญญาภาวนา) อันเป็นทุกมุมของชีวิตของคนเรา [7] ซึ่งจะขอยกมาอธิบาย ดังนี้
หลักธรรมหมวดนี้เป็นหมวดธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารบ้านเมือง ที่สามารถทำให้ผู้บริหารจะมีแนวคิดอย่างไรเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองจะมีรูปแบบการบริหารจัดการอย่างไร หรือหลักคิดอย่างไรและที่สำคัญควรจะบริหารจัดการไปในทิศทางไหน ประกอบไปด้วย หลักอธิปไตย ๓, หลักสุจริต ๓ และหลักปุริสัทธรรม ๗
๑) หลักอธิปไตย ๓ [8]
เป็นหลักธรรมกว้าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้เพื่อให้เป็นกรอบในการพิจารณาถึงแนวความคิดที่เน้นทิฐิหรือความคิดเห็นของตัวบุคคลเป็นหลัก ว่าเมื่อบุคคลเข้ามาบริหารงานแล้วมีทัศนะเกี่ยวกับอำนาจที่ดำรงอยู่อย่างไรบ้าง โดยใช้คำว่า อธิปไตย ซึ่งหมายความว่าความเป็นใหญ่มีอยู่ ๓ ระดับด้วยกัน คือ
๑) อัตตาธิปไตย (Autocracy) การถือตนเป็นใหญ่ เป็นแนวคิดของบุคคลที่ใช้
อำนาจโดยยึดความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงเสียงส่วนมาก มีแนวความคิดออกจะเผด็จการ
๒)โลกาธิปไตย การถือโลกเป็นใหญ่ เป็นแนวความคิดของบุคคลที่ใช้อำนาจโดยยึดความคิดของคนหมู่มากเป็นใหญ่ โดยใช้ที่ประชุมในการออกเสียงประชามติ มีแนวความคิดเป็นเหมือนประชาธิปไตย
๓) ธรรมาธิปไตย การถือธรรมเป็นใหญ่ เป็นแนวความคิดของบุคคลที่ใช้อำนาจโดยยึดหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลัก กล่าวคือใช้ธรรมะนำการเมือง มีแนวคิดเป็นแบบธรรมาธิปไตย
เมื่อจะกล่าวโดยสรุปจะใช้ตารางในการอธิบาย ดังนี้
ที่ |
หลักอธิปไตย |
แนวความคิด |
เทียบหลักรัฐศาสตร์ |
๑ |
อัตตาธิปไตย |
มีตนเป็นใหญ่ |
ระบอบเผด็จการ หรือคอมมิวนิสต์ |
๒ |
โลกาธิปไตย |
มีประชาชนเป็นใหญ่ |
ระบอบประชาธิปไตย |
๓ |
ธรรมาธิปไตย |
มีธรรมเป็นใหญ่ |
ระบอบสังฆาธิปไตย |
๒) สุจริต ๓ [9]
สุจริต เป็นหมวดธรรมที่สำคัญมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลได้พยายามเน้นในเรื่องของการโปร่งใสในการบริหารบ้านเมือง เพื่อให้บ้านเมืองสะอาด นั้นก็หมายความว่าบ้านเมืองจะต้องปราศจากการทุจริตคดโกง มีสินบน โดยการพยายามออกกฏหมายในรูปแบบต่าง ๆ ออกมาใช้ หลักธรรมข้อนี้ประกอบด้วย
๑) กายสุจริต เมื่อผู้นำมีการกระทำที่มีความสุจริตไม่โกงกิน บ้านเมืองก็มีความเจริญก้าวหน้า มีการพัฒนาตามศักยภาพ เงินงบประมาณก็ถูกใช้ให้เกิดความคุ้มค่ามีการพัฒนาอย่างทั่วถึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อผู้นำไม่ทุจริตคดโกง ลูกน้องก็ไม่กล้า ถ้าผู้นำทุจริตลูกน้องก็ทำตาม ซึ่งธรรมะข้อนี้มีความสำคัญต่อบ้านเมืองเป็นอย่างมาก
๒)วาจาสุจริต แม้วาจาจะดูแล้วไม่น่าจะมีความสำคัญต่อการบริหารปกครอง แต่โดยความเป็นจริงแล้วมีความสำคัญเป็นอย่างมากในเรื่องของการใช้คำพูด เช่น การพูดโน้มน้าวจิตใจคน การพูดประสานคน การเจรจาต่อรอง งานด้านการทูต เป็นต้น
๓) มโนสุจริต มีคนกล่าวว่าจิตคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น คนพูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น แม้บางครั้งการกระทำ-การพูด-การคิด อาจจะไม่ตรงกันเพราะความปิดบังของคน แต่โดยมากแล้วย่อมเป็นไปตามนัยดังกล่าว ดังนั้นในข้อนี้เป็นการแสดงออกมาทางความคิดเห็น ที่ผู้นำสูงสุดจะต้องแสดงให้ผู้ใต้ปกครองได้เห็น หรือที่เรียกว่าการแสดงวิสัยทัศน์ นั้นเอง
๓) สัปปุริสธรรม ๗ [10]
หมวดธรรมข้อนี้เป็นการแสดงถึงความยืดหยุ่นของผู้บริหาร, การใช้เหตุผล, การรู้จักประมาณตน, การรอจังหวะเวลา ตลอดไปจนถึงการรู้จักภูมิหลังของสังคมชุมชนเป็นต้น
๑) ธัมมัญญุตา รู้จักเหตุ ผู้บริหารจำต้องเป็นคนที่รู้จักเหตุว่าปัญหา หรือความ
สำเร็จที่เกิดขึ้นในขณะนี้นั้นมีมาจากเหตุอะไร และเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจะสามารถนำไปสู่ผลอะไรบ้าง
๒) อัตถัญญุตา รู้จักผล ในข้อนี้ผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องรู้จักผลของการกระทำทุกอย่างที่ได้กระทำลงไปว่าสิ่งที่ได้กระทำลงไปนั้นย่อมมีผลอะไรเกิดขึ้น โดยเฉพาะการทำงานเชิงนโยบาย ย่อมจะมีการวางแผนงานที่เล็งถึงผลของการกระทำในสิ่งเหล่านี้
๓) อัตตัญญุตา รู้จักตน ผู้บริหารต้องสามารถประเมินตนเองออกว่ามีความรู้ความสามารถมากน้อยแค่ไหน พร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพของตัวเอง
๔) มัตตัญญุตา รู้จักประมาณ ผู้บริหารจะต้องรู้จักประมาณในทุกด้าน ไม่ปล่อยให้ทำอะไรตามใจตัวเองจนก่อให้เกิดผลเสียหายทั้งส่วนตัวและส่วนรวม
๕) กาลัญญุตา รู้จักเวลา บางครั้ง บางเวลา บางโอกาสผู้นำต้องปล่อยให้งานช้าลง บางเวลาต้องรีบทำงานให้ทันสถานการณ์ คือรีบในเวลาที่ควรรีบ เร่งในเวลาที่ควรเร่ง ให้จัดลำดับความสำคัญอะไรก่อนอะไรหลัง แล้วลงมือทำงาน
๖) ปริสัญญุตา รู้จักชุมชน ผู้บริหารก่อนที่จะเข้ามาทำงานจำเป็นต้องมองดูภูมิหลังของชุมชนที่ตัวเองบริหารงานอยู่ว่าวัฒนธรรมองค์เป็นอย่างไร ระเบียบวิธีปฏิบัติมีอะไรบ้าง
๗) ปุคลปโรปรัญญุตา รู้จักบุคคล การใช้คนเป็นสิ่งสำคัญผู้บริหารจำต้องใช้คนให้ถูกกับงาน หรือที่พูดกันว่า Put the right man in the right job เป็นต้น
[1] มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. คู่มือสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น แปล. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘). หน้า ๖.
[2] ไชย ณ พล. การปกครองของพระพุทธเจ้าระบอบธรรมาธิปไตย. ( กรุงเทพฯ : เคล็ดไทย, ๒๕๓๗ ). หน้า ๖๐.
[3] ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. ( กรุงเทพฯ : บริษัทนานมีบุ๊คส์พับลิเคซั่นส์ จำกัด, ๒๕๔๖). หน้า ๑๑๖.
[4] เธียรชัย เอี่ยมวรเมธ. พจนานุกรมไทย ฉบับใหม่. (กรุงเทพฯ : บริษัทรวมสาส์น (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๔๔). หน้า ๘๑.
[5] ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒. อ้างแล้ว หน้า ๖๐๙.
[6] เธียรชัย เอี่ยมวรเมธ. พจนานุกรมไทย ฉบับใหม่. อ้างแล้ว หน้า ๘๐.
[7] พระเทพโสภณ (ประยูร มีฤกษ์). โลกทัศน์ของชาวพุทธ. ( กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓). หน้า ๙๙ .
[8] ที่.ปา. (ไทย) ๑๑ / ๓๐๕ / ๒๗๔, อง.ติก. (ไทย) ๒๐ / ๔๐ / ๒๐๑.
[9] ที. ปา. (ไทย) ๑๑ / ๓๐๕ / ๒๖๐, อง. ติก.(ไทย) ๒๐ / ๒ / ๑๔๑.
[10] ที.ปา.(ไทย) ๑๑ / ๓๓๐ / ๓๓๓ , ที.ปา. (ไทย) ๑๑ / ๓๕๗ / ๔๐๐ ,
อง. สตฺตก. (ไทย) ๒๓ / ๖๘ / ๑๔๓.
หลักธรรมทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับการบริหารการปกครองมี 7กลุ่ม ผมอยากทราบกลุ่มอื่นด้วยผมจะดูได้จากไหนครับขอขอบพระคุณสมาชิกใหม่ครับ
เจริญพรคุณโยมพัฒน์ภูมิ แนวคิดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาทั้ง ๗ กลุ่มนั้น เป็นคำนิยามจากอาตมาเอง
ส่วนกลุ่มอื่น ๆ มีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า...แล้วแต่ใครจะจัดกลุ่มเอาเอง
ธรรมะทั้งหมด ไม่ได้เป็นหมวดหมู่ว่าจะเป็นเชิงรัฐศาสตร์ หรือการจัดการ ซึ่งมีมากกว่านี้
เพียงแต่อาตมาเห็นว่าที่ยกมาน่าจะเพียงพอต่อความต้องการ เจริญพร
หาได้จาก หนังสือหลักธรรมต่าง ๆ หรือนวโกวาท ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะประยุกต์ใช้กับศาสตร์ไหนเท่านั้นเอง เจริญพร
วิชาธรรมประยุกต์
***ธรรมเพื่อความอยู่ดีท่างเศษฐกิจ***
๑. หลักธรรมทำไปประยุกต์อย่างไร ?
๒. ใช้ หลักธรรมกับคนกลุ่มไหน ?
๓. ผลของการใช้หลักธรรมมีอย่างไร ?
๔. สรุปการประยุกต์ใช้ หลักธรรมทังหมด ?
ขอตอบน่อยอาจารย์มหาศรีบรรดร ประมาณ ๔๐ หน้า
***เรื่อง โทษของอาหารในพกไตรปิฎก (วิชาสาธารณสุขในพระไตรปิฎก)
ผมก็อยู่ในเเวดวงดงขมิ้นนะครับ ผมมองว่าในพระไตรปีฏกมีหลักคำสอนเกี่ยวกับการปกครองที่ดีก็จริงแต่ อิงอยู่บนฐานคิดเชิงอุดมคติมากเกินไปจนไม่สามารถออกเเบบออกมาเป็นรูปเเบบการปกครองที่ประชาชนชาวโลกสามารกแตะต้องสัมผัสะได้ อย่างเช่นที่อ้างกันบ่อยๆ อะ หลักธรรมาธิปไตย ผมอยากถามหน่อยเถอะว่า จะออกเเบบออกมาเป็นโครงสร้างการปกครองอย่างรัย จะต้องมีระบบตัวแทนมัย จะใช้อะไรเป็นเครื่งอมือในการเลือกผู้เเทน ล่ะ พูดลอยๆว่า ธรรมาธิปไตยเป็นระบอกการปกครองที่ดีที่สุดอ่ะ ผมไม่เถียงแต่จะทำให้มันเกิดขึ้นจริงในโลกเเห่งความเป็นจริงที่เราต้องประสบได้อย่างรัย
มีประโยชน์มากๆๆเลยค่ะพระอาจารย์ ขอบคุณค่ะ