๑ .๕. การบูรณาการศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎก
ปัจจุบัน สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้พยายามคิดค้นแสวงหาศาสตร์ใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาวิชาการให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ที่สำคัญได้มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งได้ให้ความสนใจที่จะย้อนกลับมาดูคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระไตรปิฎกซึ่งเปรียบเสมือนมหานทีแห่งความรู้ที่ได้ซึมลึกเข้าไปสู่วิญญาณของคนเอเชีย ทั้งทางด้านความคิดและอุดมการณ์ของคนไทยที่ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีความผูกพันกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ซึ่งความเป็นจริงเช่นว่านี้ไม่เว้นแม้แต่ศาสตร์ที่ว่าด้วยการเมือง
ดังนั้น ทฤษฎีการเมือง หรือ ทฤษฎีรัฐศาสตร์ ในพระไตรปิฎกจึงเป็นนวัตกรรมของศาสตร์ร่วมสมัยซึ่งกำลังท้าทายนักรัฐศาสตร์อยู่ในขณะนี้ ในปัจจุบันนักวิชาการทั้งคนไทยและต่างประเทศ ได้หันมาสนใจและมีความต้องการที่จะพัฒนาศาสตร์ในสาขาวิชาของตนเองให้มีความเจริญก้าวหน้าและสามารถในอันที่จะพร้อมประยุกต์ใช้กับศาสตร์แขนงต่าง ๆ จนเกือบจะเป็น สหวิทยาการไปหมดแล้ว แม้ความรู้ดั่งเดิมของพระพุทธศาสนาคือพระไตรปิฎก ก็เป็นแหล่งความรู้ที่รอการพิสูจน์และพัฒนาด้วยการประยุกต์ใช้กับศาสตร์ต่าง ๆ เช่นกัน ในการนี้ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้กำหนดหลักสูตรสาขาวิชาที่มีความเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกถึง ๑๔ ศาสตร์ ดังนี้ [1]
๑.นิเวศวิทยาในพระไตรปิฎก (Ecolqgy in Tipitaka) ได้เข้าไปศึกษาคำสอนในพระไตรปิฎกที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศวิทยา โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เช่น สภาพที่อยู่อาศัย, ป่าไม้, มลพิษ, ผู้คนในสังคม ฯลฯ มนุษย์กับธรรมชาติ เช่น แม่น้ำลำคลอง, ต้นไม้, ภูเขา ฯลฯ แนวทางในการอนุรักษ์ และการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปริบทต่าง ๆ
๒.วิชาสาธารณสุขในพระไตรปิฎก (Health Care in Tipitaka) การเข้าไปศึกษาคำสอนในพระไตรปิฎกที่เกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ยา อาหาร การบริโภคปัจจัย ๔ การบริหารร่างกายให้มีความแข็งแรงมีสุขอนามัยดีอยู่เสมอ การรักษาพยาบาล การพักผ่อน และจริยธรรมของผู้รักษาพยาบาล เป็นต้น
๓.วิชานิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Communication in Tipitaka) การเข้าไปศึกษาคำสอนในพระไตรปิฎกที่เกี่ยวกับหลักการ รูปแบบที่ใช้ วิธีการสื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า และจริยธรรมกับการสื่อสารอันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับวิชาชีพ
๔.พระพุทธศาสนากับการสังคมสงเคราะห์ (Buddhism and Social Works) การเข้าไปศึกษาถึงความหมายขอบข่ายของสังคมสงเคราะห์ หลักการ รูปแบบ และวิธีการสังคมสงเคราะห์ในพระไตรปิฎก โดยเน้นพระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าตามแนวโลกัตถจริยาและบทบาทของพระสงฆ์ ในการสังคมสงเคราะห์ทั้งในอดีตและปัจจุบันเพื่อให้เป็นแบบแผนให้กับสังคมชุมชนที่ต้องการรูปแบบการสงเคราะห์แนวพุทธไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
๕.ศึกษาศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Education in Tipitaka) เป็นการเข้าไปศึกษาคำสอนในพระไตรปิฎกที่เกี่ยวกับการศึกษาโดยเน้นเป้าหมายของการศึกษาตามไตรสิกขา อันประกอบไปด้วยศีล-สมาธิ-ปัญญา ซึ่งกระบวนการจัดการศึกษาตามแบบกัลยาณมิตรและแบบโยนิโสมนสิการ วิธีสอนของพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งเป็นพระบรมครูเอกของโลก คุณธรรมและจริยธรรมของความเป็นครู
๖.จิตวิทยาในพระไตรปิฎก (Psychology in Tipitaka)เข้าไปศึกษาคำสอนเรื่องจิตและเจตสิกในพระไตรปิฎกเปรียบเทียบกับทฤษฎีจิตวิทยาตะวันตกปัจจุบัน พฤติกรรมของมนุษย์ตามแนวจริต ๖ การฝึกจิตด้วยสมถะและวิปัสสนา
๗.อักษรจารึกในพระไตรปิฎก (Tipitaka Scripts) ศึกษาอักษรต่าง ๆ ที่ใช้ในการจารึกพระไตรปิฎก คือ อักษรเทวนาครี สิงหล ขอม พม่า มอญ อักษรธรรมล้านนา อีสาน และโรมัน
๘.สังคมวิทยาในพระไตรปิฎก (Sociology in Tipitaka) ศึกษาวิเคราะห์แนวความคิดและทฤษฎีหลักทางสังคมวิทยาที่ปรากฏในพระไตรปิฎก เปรียบเทียบคุณค่าและความสำคัญของสังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์กับสังคมวิทยาทั่วไป
๙.เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Economics in Tipitaka) ศึกษาวิเคระห์แนวและทฤษฎีหลักทางเศรษฐศาสตร์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก จริยธรรมของผู้ผลิตและผู้บริโภค เปรียบเทียบเศรษฐศาสตร์ตามพุทธศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์ทั่วไป
๑๐.พุทธประวัติในพระไตรปิฎก (Life of Buddha in Tipitaka) ศึกษาและวิเคระห์พุทธประวัติและพุทธจริยาวัตรที่ปรากฏในพระไตรปิฎกโดยอาศัยอรรถกถาและฎีกาประกอบ
๑๑.การอ่านพระไตรปิฎกภาคภาษาอังกฤษ (Reading Tipitaka in English) ศึกษาการอ่านบทคัดเลือกจากพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ในภาคของภาษาอังกฤษ
๑๒.ทฤษฎีสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในพระไตรปิฎก (Socio-Anthropological Theory in Tipitaka) ศึกษาถึงแนวความคิดและทฤษฎีทางด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เช่น ทฤษฎีวิวัฒนาการ ทฤษฎีอันตรสัมพันธ์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก มีอัคคัญญสูตร, จักกวัตติสูตร และสิงคาลสูตร โดยเปรียบเทียบคุณค่าและความสำคัญของสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาตามแนวพระพุทธศาสนากับสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาทั่วไป
๑๓.หลักการสังคมสงเคราะห์ในพระไตรปิฎก (Principles of Social Works in Tipitaka) ศึกษาถึงแนวความคิด หลักการ ตลอดถึงเป้าหมายของการสังคมสงเคราะห์ตามหลักพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในพระไตรปิฎก เช่น จริยา ๓, สังคหวัตถุ ๔, ฆราวาสธรรม ๔, ทิศ ๖ เป็นต้น
๑๔.รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Political Science in Tipitaka) ศึกษาวิเคราะห์แนวคิดและทฤษฎีหลักทางรัฐศาสตร์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก หลักธรรมของผู้บริหาร เปรียบเทียบรัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์กับรัฐศาสตร์ทั่วไป
แม้ว่าพระไตรปิฎกจะถูกนำมาประยุกต์กับ ศาสตร์ต่าง ๆ อย่างกว้างขวางถึง ๑๔ สาขาวิชา และในอนาคตจะมีศาสตร์ต่าง ๆ เข้ามาศึกษาพัฒนาร่วมอีก เช่น นิติศาสตร์, รัฐประศาสนศาสตร์, ประวัติศาสตร์ เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อพัฒนาให้ทันต่อความต้องการของสังคมอย่างแท้จริง และศาสตร์เหล่านี้เองก็ต้องรอการพิสูจน์อยู่อย่างมากพร้อมทั้งรอรับการท้าทายจากนักวิชาการรุ่นต่อไปให้เข้ามาศึกษาและจัดระบบอย่างถูกต้องเป็นกระบวนการต่อไป
๑ .๖. ความสำคัญที่ต้องศึกษาพระไตรปิฎกประยุกต์
การศึกษาแบบบูรณาการ หรือสหวิทยาการโดยเน้นพระไตรปิฎกเป็นศูนย์กลางนั้นทำให้พระไตรปิฎกหรือ คำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาได้พัฒนาก้าวหน้าไปอีก นอกจากนั้นยังได้เพิ่มความสนใจให้กับคนนอกวงการพุทธศาสนามากยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ กลุ่มนักวิชาการโดยการสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้ดำเนินการศึกษาวิชาการตามแนวพุทธศาสตร์โดยได้ศึกษาความเป็นไปได้และการเปรียบเทียบกับวิชาการทางสังคมศาสตร์ ๕ สาขากล่าวคือ ศึกษาศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์, จิตวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์, สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์, เศรษฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์ และรัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์ ผลของความพยายามได้ปรากฏออกมาในรูปเอกสารตีพิมพ์ตามชื่อของวิชาการทั้ง ๕ สาขาเหล่านั้นโดยสังเขป ต่อมาวิชาเหล่านี้ได้ปรากฏอยู่ในหลักสูตรการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง พร้อมกับได้มีการค้นคว้าเนื้อหาเพิ่มเติมเพื่อให้วิชาการเหล่านี้มีความสมบูรณ์และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น [2]
เมื่อมีการประยุกต์ศาสตร์ หรือการบูรณาการศาสตร์ทั้งหลายเข้ากับแนวพุทธศาสตร์แล้วย่อมส่งผลถึงการพัฒนาสาขาวิชาการนั้น ๆ ให้เข้าไปสู่มิติทางการศึกษาค้นคว้าต่อไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีความพยายามในการบูรณาการพุทธศาสตร์กับรัฐศาสตร์เข้าด้วยกันแล้วก็ยิ่งจุดประกายให้นักการศาสนาและนักวิชาการเข้ามาศึกษาเพื่อเปรียบเทียมมากยิ่งขึ้น ความจำเป็นในการศึกษาในแนวบูรณาการนี้ไม่ไช่ว่าจะมีเฉพาะปัจจุบัน แม้แต่รัฐศาสตร์เองก็พยายามแสวงหาแนวทางใหม่ ๆ มาตลอดและยาวนานพอสมควร ดังตัวอย่างต่อไปนี้
อานนท์ อาภาภิรม มองว่าการเริ่มต้นแห่งศตวรรษที่ ๑๕ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ทางประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นยุคใหม่วิธีการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ ที่ได้เปลี่ยนแปลงไป เดิมจากยุคของ พลาโตและอริสโตเติลที่แสวงหาความรู้จนได้พบกฎทางการเมือง ( Political laws ) และหลักความเป็นจริง ( Truths ) มาเป็นการแสวงหาทฤษฎีใหม่ ๆ เกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ในสาขาวิชาอื่น ๆ เพื่อนำมาประกอบในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้นโดยได้รับอิทธิพลมาจากการค้นพบของนิวตัน ( Newton ) และเดสคาร์ตีส ( Descartes ) ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ทางวิชาการมากมายทั้งในด้านฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และวิชารัฐศาสตร์พร้อมกันด้วย เช่น ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ แนวคิดเรื่องการแยกอำนาจของรัฐและการถ่วงดุล ( Checks and balances ) ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะนำหลักทางกลศาสตร์ ( mechanical ) และทางคณิตศาสตร์มาใช้ในการกำหนดโครงสร้างการปกครอง[3] นั้นก็หมายความว่าวิชารัฐศาสตร์ได้พยายามแสวงหาศาสตร์อื่น ๆ เพื่อเข้ามาพัฒนาศาสตร์ของตนเอง โดยไม่ได้สนใจในวงแคบอย่างเดิมที่ศึกษาเฉพาะเรื่องเท่านั้น
จิรโชค (บรรพต) วีระสัยและคณะ ได้ชี้ให้เห็นว่าในแวดวงวิทยาการในปัจจุบันมักส่งเสริมการเรียนรู้แบบ “ สหศาสตร์ศึกษา ” หรือแนวพินิจเชิง “ สหวิทยาการ ”
( interdisciplinary approach ) สหศาสตร์ศึกษาให้ความสำคัญกับการเกี่ยวพันกันระหว่างวิชาการสาขาต่าง ๆ แนวพินิจเชิงสหวิทยาการเป็นการเปิดโลกทัศน์เชิงวิชาการให้มีขอบเขตกว้างขวางไม่จำกัดอยู่ในแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง โดยผสมผสานหล่อหลอมแง่มุม หรือแนวคิดของศาสตร์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ดังนั้นเมื่อศึกษาวิชารัฐศาสตร์ก็ควรเรียนวิชาอื่น ๆ ด้วย เพราะการเรียนวิชาอื่น ๆ ในระดับสูงนอกเหนือจากวิชาเฉพาะของตนแล้ว เป็นของจำเป็นมาก เพื่อให้เกิดความลึกซึ้งในศาสตร์ จนถึงขั้นที่จะสามารถนำมาผสมผสานเข้าด้วยกัน และสามารถนำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หรือใช้ในการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ [4]
โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์. มองว่าวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มักถูกมองว่า เป็นนักขอยืมแนวพินิจ ( Approach ) มาจากสาขาวิชาอื่น ๆ อาทิ ปรัชญา ประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา จิตวิทยา ฯลฯ ดังนั้นสาขาวิชาต่าง ๆ ต้องมีขั้นตอน ดังนี้ (ถึงจะก้าวหน้า)
๑.ขั้นพรรณา ( Describing ) ขั้นต้นพรรณนาถึงใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ? เช่น ระบบการปกครองของประเทศ
๒.ขั้นอธิบาย ( Explaning ) ขั้นอธิบายถึงขึ้นทำไม ? เช่น ทำไมจึงเกิดรัฐประหารขึ้นใน พ.ศ.๒๕๒๘ เป็นต้น
๓.ขั้นพยากรณ์ ( Predicting ) คือผ่านพรรณา-อธิบาย แล้วสามารถทำนาย ว่าในอนาคตมีอะไรเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เช่น แผ่นดินไหว จะเกิดที่ไหน เมื่อไหร่ รุนแรงเพียงใด เพื่อจะได้เตรียมตัวรับมือได้
๔.ขั้นควบคุม ( Controlling ) คือขั้นสุดยอดของวิชาการทุกแขนงที่ใฝ่ฝันถึง [5]
พระพุทธศาสนาเอง โดยเฉพาะพระไตรปิฎกอันเป็นคัมภีร์หลักทางพระพุทธศาสนาก็ต้องมีความจำเป็นที่จะเข้าไปรับแนวคิดประยุกต์เพื่อนำมาบูรณาการให้พระไตรปิฎกได้รับการพัฒนาร่วมกับศาสตร์นั้น ๆ ให้มีความก้าวหน้าต่อไปและที่สำคัญเป็นการเพิ่มช่องทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าไปสู่วงการทางวิชาการต่าง ๆ มากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
[1] มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. หลักสูตรพุทธศาสนตรบัณฑิต พ.ศ.๒๕๔๒. ((กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘ ). หน้า ๒๕-๓๓๙.
[2] จำนง อดิวัฒนสิทธิ์. สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๒. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๔๘). หน้า ๑.
[3] อานนท์ อาภาภิรม. รัฐศาสตร์เบื้องต้น. ( กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๘). หน้า ๗-๘.
[4] จิรโชค (บรรพต) วีระสัยและคณะ. รัฐศาสตร์ทั่วไป. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๘). หน้า ๔๓.
[5] โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์. รัฐศาสตร์กับการเมือง. ( กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๓๔). หน้า ๗-๘.
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย บุญนิธิจันทร์ตองไชยะวุฑฒิกุล ใน ผญา(ผะหญ๋า)แห่งเมืองพะเยา : พุทธศาสนาเชิงรุก
คำสำคัญ (Tags)#ธรรมาภิบาล#การเมืองการปกครอง#ธรรมาธิปไตย#พระสงฆ์กับการเมือง#มหาจุฬาฯ#พุทธศาสนากับการเมือง#รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก#ปัญญาสังคม#นิยมสันติภาพ#มหาศรีบรรดร#ไชยะวุฑฒิกุล#พระครูโสภณปริยัติสุธี#สังฆาธิปไตย
หมายเลขบันทึก: 437711, เขียน: 01 May 2011 @ 12:12 (), แก้ไข: 11 Dec 2012 @ 13:42 (), สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน, ดอกไม้: 4, ความเห็น: 5, อ่าน: คลิก
กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ
ผมรบกวนขอความรู้เรื่องคำภาษาอังกฤษของพระไตรปิฎกครับ
ผมเห็นมีใช้กัน 2 คำคือ
Tipitaka กับ Tripitaka
ไม่ทราบว่าคำไหนเป็นคำที่ถูกต้องครับ
กราบขอบพระคุณครับ...