เมื่อเสาร์-อาทิตย์ 5-6 สิงหาคม 2549 ที่ผ่านมา ไปช่วยวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร พิษณุโลก จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การวิจัยเชิงพื้นที่และการเรียนรู้แบบสร้างพลัง เพื่อพัฒนาคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นนักสาธารณสุขและหมอท้องถิ่น ให้ได้แนวคิดและทักษะการทำงานผ่านการเป็นฝ่ายสนับสนุนและขับเคลื่อนกลุ่มปัจเจก รวมทั้งเรียนรู้วิธีทำงานแบบใหม่ๆด้วยกันในวิถีประชาคม ของกลุ่มคนที่เรียกกันว่า เป็น คนมีจิตสาธารณะ หรือคนที่ไม่ดูดายสังคมของตน ซึ่งมีอยู่มากมายในชุมชนระดับต่างๆของสังคม
กลุ่มผู้อบรม 44 คน เป็นนักศึกษาปี 4 สาขาสาธารณสุขศาสตร์ และทีมอาจารย์ที่สนใจเรื่องการวิจัยและทำงานแนวราบกับชุมชน ในส่วนของนักศึกษานั้น ได้ผ่านการเรียนรู้พื้นฐานการวิจัย พัฒนาหัวข้อการวิจัย และกำลังเตรียมตัว เพื่อลงไปฝึกประสบการณ์สนาม 1 เทอม
ทีมอาจารย์ โดยเฉพาะผู้อำนวยการ นุสรณ์ คูธนะวนิชพงษ์ มุ่งหวังให้นักศึกษาได้ฝึกฝนการวิจัยและเพิ่มพูนทักษะการทำงานแนวใหม่เพื่อออกไปเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพของชุมชนท้องถิ่นให้ดีเท่าที่จะพัฒนากันได้
การวิจัยซึ่งใช้ชุมชนเป็นตัวตั้ง (Community-Based &Area-Based R&D) รวมทั้งการจัดกระบวนการเรียนรู้ ที่สร้างพลังให้กับทุกคนที่เข้าไปมีส่วนร่วม เป็นทั้งกระบวนการคิด วิธีวิทยา และเทคนิคเครื่องมือชุมชน จำเป็นต้องเข้าใจและสามารถเชื่อมโยงกันได้หลายชั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียวสำหรับการพากลุ่มผู้เรียนในวัยเยาวชน ให้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะการปฏิบัติในเรื่องนี้ แต่เจตนารมย์ของครูอาจารย์ที่อยากขวนขวายให้แก่ลูกศิษย์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นลูกหลานของครอบครัวจากชนบท ของภาคกลางตอนบน ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ก็ยากที่จะไม่ไปช่วยกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ผมเองก็เป็นคนแถวนั้น คือ เป็นคนอำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ ติดกับพิษณุโลก ญาติพี่น้องและเทือกเถาเหล่ากอหลายคน ก็อยู่แถวอำเภอวังทอง ที่ตั้งของ วสส.พิษณุโลก และแหล่งที่นักศึกษาจะลงไปฝึกประสบการณ์นั่นแหละ จึงรู้ดีว่าโอกาสของคนแถวนั้น น้อยกว่ากรุงเทพฯและคนในเมืองใหญ่หลายด้าน ร่วมสร้างคนรุ่นใหม่ให้มีความสามารถทำงานกับชุมชนและเพื่อชุมชน จึงมิใช่เพียงงานบริการทางวิชาการ ทว่า เป็นสิ่งที่จะต้องช่วยกันทำ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในมือของคนรุ่นใหม่ และความมั่นคงเข้มแข็งของสังคม จากชุมชนฐานราก
ผมจัดกระบวนการ 2 วันให้กลุ่มนักศึกษาได้เรียนรู้และสร้างประสบการณ์แก่ตนเองให้มากที่สุด มีการเรียนรู้ภาคทฤษฎี ลงไปสัมผัสกับชุมชน กลับมานำเสนอผลงาน เพิ่มเติมภาคทฤษฎีและฝึกฝนเครื่องมือการทำงานต่างๆ กระบวนการหลักคือ การเรียนรู้และปฏิบัติเป็นกลุ่มอย่างมีส่วนร่วม (Group-Based Participatory Learning through Action) ครอบคลุมสาระการเรียนรู้ได้หลายเรื่อง เดินไปทีละขั้นๆ พูดให้ฟัง ลองทำ อภิปราย ลงไปเรียนรู้จริงในชุมชน แล้วก็เติมทฤษฎีเพิ่มตรงจุดที่สังเกตเห็นจากผลงานของการลงมือฝึกปฏิบัติ คือ
ที่จริงได้เตรียมเนื้อหาไปอีกแนวหนึ่ง อีกทั้งเตรียมนำเรื่องราวมากมายไปให้ แต่พอเริ่มต้นเรียนและลองพาทำงานกลุ่ม นักศึกษาก็มีอาการผะอืดผะอม บางคนนอนหลับแขนขากาง หงายหน้ากรนคร่อกแคร่ก มีเพียงกลุ่มอาจารย์เท่านั้นที่ดูมีชีวิตชีวาเพราะเป็นกลุ่มที่คุยเรื่องนี้กันรู้เรื่อง
ดูๆก็นึกขำในอากัปกริยาที่ไม่มีการปรุงแต่ง แต่ก็เล่นเอาจิตตก ท้อใจ และเสียกำลังใจเป็นที่สุด เพราะเบื้องหลังนั้น ผมต้องวางมือจากการเขียนรายงานวิจัย ซึ่งไม่ใช่งานส่วนบุคคลด้วย แต่เป็นงานวิจัยร่วมกันของสถาบันกับอีกหลายสถาบันของมหาวิทยาลัยมหิดล ผมยอมเหนื่อยเพื่อพาเขาไปส่งให้ถึงยังฝั่งฝัน และยินดีที่จะกลับไปเก็บงานของตนเองโดยเพิ่มเวลาทำงานขึ้นอีก ถ้าเป็นกลุ่มอื่นผมคงจะรามือ ทว่า กลุ่มนักศึกษายังมีประสบการณ์ไม่มาก จะไปคาดหวังมากไป ก็คงไม่ถูกต้องนัก เลยก็ต้องปรับกระบวนการใหม่หมดอยู่ตลอดเวลา
เป็นเวทีที่ต้องทำงานความคิดข้างในอย่างหนักหน่วงมากเป็นอย่างยิ่ง ได้ซาบซึ้งมากขึ้นไปอีกกับคำสอนของท่านพุทธทาสที่ว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม เราต้องทำงานแบบที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สาดแสงให้แก่สรรพสิ่ง ไม่ถือเป็นอารมณ์ว่าถูกใจจึงจะส่องแสงให้มากหน่อย ขัดเคืองใครก็งดส่องแสงให้ เอาแน่เอานอนไม่ได้...คงไม่ได้ ต้องทำไปตามสำนึกและหน้าที่ที่ควรทำ
จึงกลายเป็นว่า ยิ่งทำก็ยิ่งได้ธรรมปัญญา ขึ้นในใจ แล้วก็โชคดีเหลือกำลัง ตอนท้ายๆ พวกเขาดูตื่นตัวและมีชีวิตชีวามากขึ้น อาจจะเป็นเพราะตอนแรกเขาไม่รู้เรื่อง ทว่า หลังจากลงชุมชนและปรับแต่งกระบวนการไปตามการประเมิน ให้สอดคล้องกับเงื่อนไขและความพร้อมของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา เวทีเรียนรู้จึงดูดีขึ้น
ตอนท้าย ผมชวนพวกเขา 2- 3 คน ให้ขึ้นมาลองขับเคลื่อนกระบวนการต่างๆบนเวทีด้วยกัน ก็เลยเสร็จสิ้นตามกระบวนการที่ต้องการ ผมถือเอาความพึงพอใจของทีมอาจารย์เป็นเกณฑ์ จึงได้ความสุขพอสมควรตรงที่ได้ทำให้ผู้ที่เอาใจใส่ร่วมกัน ได้ประสบความสำเร็จในการสร้างการเรียนรู้ให้ลูกศิษย์ลูกหา ตามความต้องการ
ส่วนกลุ่มนักศึกษานั้น เมื่อนึกถึงตอนที่ตนเองเป็นผู้อ่อนเยาว์ต่อโลกในทุกด้านในวัยเดียวกันกับพวกเขานั้น ก็มั่นใจว่า แม้เป็นเพียงการเริ่มต้นรู้จักการวิจัยชุมชนและวิธีทำงานในแนวนี้ โดยยังไม่เห็นสาระสำคัญอะไรจากการปฏิบัติมากนัก ทว่า...ความทรงจำและความรู้สึกรักในการแสวงหาความรู้ด้วยการปฏิบัติของตนเอง ที่เขาสร้างไว้ให้แก่ตนเองในวันนี้ จะทำให้เขาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ดีในอนาคต และในวันข้างหน้า เขาจะรู้ว่า เขาเป็นคนมีอะไรมากมายอยู่ในประสบการณ์ของตัวเขาเอง.