จากการศึกษา "เคล็ด" การดูพระสมเด็จโดยใช้กล้องจุลทรรศน์มาตลอดเวลายาวนานพอสมควร เพื่อจะช่วยให้เราสามารถแยกพระโรงงาน ที่เป็น "ปัญหา" กับคนที่ความรู้ไม่พอใช้ จนทำให้ผมได้พบประเด็นสำคัญ ที่ทำให้ง่ายในการ "หยิบ" พระสมเด็จคือ
หลักฐานที่แสดงว่า
- พระสมเด็จเคยมี หรือยังมีชีวิต ตามหลักวิวัฒนาการของมวลสาร (ที่มีอายุ)
- หรือ แม้วันนี้ก็ยังมีวิวัฒนาการของมวลสารในเนื้อพระอยู่ตลอด
โดยเฉพาะการเกิดฟองเต้าหู้ เนื้อปูด ผงแป้ง และ บ่อน้ำตา
จากการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างพระสมเด็จกับพระโรงงานที่หลงหยิบติดมือกลับบ้าน (ด้วยความไม่รู้ หรือ รู้ไม่เท่าทันและไปหลงตามคำหลอกของ "เซียนวิชามาร" ) โดยเฉพาะพระสมเด็จวัดระฆังและบางขุนพรหม
ที่มักพบว่า พระสมเด็จจะมีหลักฐานสำคัญทางอายุพระ ติดอยู่กับองค์พระทุกองค์ที่ผมมี ที่เป็นหลักฐานแสดงถึงการพัฒนาของมวลสารในเนื้อพระที่สำคัญคือ
- เนื้อปูด หรือฟองเต้าหู้ ทำให้ผิวเป็นปุ่ม หรือคลื่น เกินกว่าที่น่าจะมีในสภาพพิมพ์ปกติ
- ที่ดูเสมือนว่าพิมพ์ดูผิดเพี้ยนไปจากพิมพ์ปกติ
- ที่เกิดมาจากการหดตัวของโครงสร้างขององค์พระที่มีอายุมากกว่า ๑๐๐ ปีขึ้นไป
- ทำให้น้ำปูนเปลือหอย ละลายตัวออกมา แล้วค่อยๆไหลออกมาที่ผิวด้านนอก
- ทำให้เกิดเป็นลักษณะ “เนื้องอก” หลากอายุ เป็นวงๆอยู่ในก้อนเดียวกัน ส่วนยอดที่ออกมาใหม่จะดูฉ่ำกว่า ล้อมรอบด้วยคราบเก่าสีน้ำตาลปนเทา (ของน้ำมันตังอิ๊ว)
- ที่มีลักษณะต่างจาก เนื้อโปะแห้งๆ พองๆแบบฟองสบู่ ที่อาจมีในพระโรงงาน
- บ่อน้ำตา
- ที่ส่วนใหญ่จะพบทางด้านหลังองค์พระ
- มีลักษณะเหมือนรูน้ำพุ รูเหงื่อ หรือรูน้ำมัน
- ที่แท้จริงคือ "ปากอุโมงค์ของธารน้ำปูน" จากในเนื้อพระ
- มีมวลสาร หรือมีร่องรอยการไหลของมวลสารออกมาจากเนื้อพระ
- ถ้าเป็นบ่อที่หยุดไหลแล้ว จะมีคราบน้ำปูนต่างอายุแห้งสนิท หรือแตกระแหงอยู่โดยรอบ
- แต่ถ้าบ่อยังไม่ตาย อาจจะยังมองเห็นเนื้อฉ่ำอยู่บริเวณปากบ่อหรือรอบบ่อ
ทั้งสองลักษณะนี้ เป็นการพัฒนาของมวลสารที่น่าจะต้องใช้เวลานานเป็นร้อยปี จึงจะเห็นเป็น “สายธารน้ำปูน” ต่อเนื่องทั้งองค์
ในพระสมเด็จที่อายุประมาณ ๘๐ ปีลงมา จะมีบ้างเล็กน้อย แต่มักไม่กระจายหรือเคลือบทั้งองค์
ลักษณะ "เนื้อปูด" เกินกว่าพิมพ์
ของพระที่ได้อายุ
(ให้สังเกตเนื้องอกใหม่สีขาว ที่ทับบนผิวสีน้้ำตาล)
บ่อน้ำตา และ "สายธาร" ของการไหลของน้ำปูน ที่ผิวพระสมเด็จ ด้านหลัง
และถ้ามีหลายลักษณะปะปนกันเช่น บ่อเก่า บ่อใหม่ หลายอายุปะปนกัน ก็จะทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น
ที่จะไม่พบในพระโรงงาน หรือพระที่สร้างขึ้นใหม่ๆ แม้จะใช้มวลสารที่ใกล้เคียงกันก็ตาม
เคล็ดนี้น่าจะช่วยลดความสับสนในการดูพระสมเด็จไม่ให้ไปปะปนกับพระโรงงาน
เพราะ พระโรงงานยังทำให้เหมือนไม่ได้
แม้จะพยายามทำเลืยนแบบอย่างไร ก็ยังไม่เหมือน และยังไม่เป็นธรรมชาติ
เพราะธรรมชาติต้องใช้เวลา แต่โรงงานไม่ใช้ หรือไม่มีเวลา
ฉะนั้น อะไรที่แสดงถึงเหตุการณ์ที่ต้องเกิดยาวนานแบบ "ธรรมชาติ" น่าจะเป็นการแบ่งแยกที่ดี
ลองดูนะครับ
จะไม่พลาดไปหยิบพระโรงงาน (แทนพระสมเด็จ)ให้เสียความรู้สึก
ยินดีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ ขอให้โชคดีทุกท่าน ครับ