การดีท็อกซ์ คืออะไร
การดีท็อกซ์ คือ การล้างพิษ
การล้างพิษมีหลายวิธี ได้แก่ การอาบน้ำ การอบ การนวด
ร่างกายขับเหงื่อออกทางผิวหนัง ก็เป็นการล้างพิษ
ขจัดเอาพิษออก
และการสวนล้างลำไส้
ก็นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ที่จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้วยังช่วยให้อวัยวะและระบบต่าง ๆ
ของร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล
อีกทั้งช่วยบำรุงผิวพรรณผ่องใส เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
ป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
กระบวนการล้างพิษ
กาีรล้างพิษในร่างกาย ที่จะทำให้มีสุขภาพที่ดี จำเป็นต้องบำรุงรักษาทั้งร่างกายและจิตใจจึงควรล้างพิษผ่านวิธีทั้ง 5 ได้แก่
- กินเพื่อล้างพิษ กินอาหารล้างพิษ กินอาหารปรับสมดุลรักษาโรค
- อดเพื่อล้างพิษ การอดอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้พัก เพื่อเป็นการเก็บกวาดของเสีย และสารพิษออกไป
- ฝึกลมปราณเพื่อล้างพิษ ฝึกลมปราณสร้างกำลังภายใน เพื่อขับของเีสีย ขับพิษออก
- ฝึกสมาธิเพื่อล้างพิษทางจิตใจ ฝึกสมาธิเพื่อรักษาโรค
- สวนลำไส้เพื่อล้างพิษ เพื่อขจัดของเสีย ขับ สารพิษออกจากลำไส้ และตับ
กิน...ล้างพิษ
สามารถหลีกเลี่ยงอาหารมีพิษได้ง่ายๆ โดยงดเว้นอาหารหมักดอง อาหารขัดขาวหรือฟอกสี รวมไปถึงอาหารสำเร็จรูป แล้วเลือกกินผักสด
เลือกแบบไม่มีสารปนเปื้อนหรือล้างเอายาฆ่าแมลงออกให้หมดยิ่งประเสริฐ กินข้าวกล้อง ข้าวมันปูแทนข้าวขาว น้ำตาลทรายแดงแทนน้ำตาลขัดขาว ที่สำคัญกินอาหาร โดยที่ไม่เลือกกินเนื้อสัตว์ แป้ง น้ำตาล มากจนเกินไป
แต่สำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย มีทางเลือกง่ายๆ คือปั่นน้ำผัก น้ำผลไม้ดื่มเป็นประจำ ก็ช่วยล้างพิษได้ค่ะ
(แต่ควรทานตอนท้องว่างนะค่ะ ไม่ควรทานหลังอิ่มข้าวใหม่ๆ เพราะข้าวจะไปขัดขวางการดูดซึม)อด...ล้างพิษ
มีคำกล่าวว่า "คนกินมากก็ป่วยมาก"า คนเราป่วยเพราะกินมีเพิ่มขึ้นจริงๆ ค่ะ การล้างพิษวิธีที่สองจึงชักชวนให้หันมาอดล้างพิษกันดูบ้าง ซึ่งทางการแพทย์ระบุว่า มนุษย์เราสะสมพลังงานในรูปไขมันและพลังงานไว้เพียงพอต่อการอดอาหารประมาณ 1-2 วัน ได้โดยไม่เจ็บป่วยเชียวนะ
ข้อดีของการอด
คือลดการทำงานของอวัยวะภายใน เช่น กระเพาะก็ไม่ต้องย่อยอาหาร ลำไส้ก็ไม่ต้องดูดซึม อวัยวะภายในอื่น ๆ ก็จะทำงานน้อยลงซึ่งหากคนเราใช้งานกระเพาะหรืออวัยวะภายในส่วนใดส่วนหนึ่งมากเกินไป ร่างกายก็จะสร้างสารพิษที่เรียกว่ามะเร็งนั่นเองค่ะ สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มอดอาหาร สามารถเริ่มต้นด้วยการกินผลไม้ หรือน้ำผลไม้ตลอดทั้งวันก่อนก็ได้ แต่ก่อนการอด ควรจะให้แพทย์ตรวจร่างกายก่อน และในวันที่อดอาหารก็ไม่ควรทำงานหนักด้วยค่ะฝึกลมปราณ เพื่อขจัดพิษออก
โดยปกติคนเราจะหายใจช่วงสั้นและตื้นไม่ได้ใช้ความสามารถของปอดที่สามารถขยาย และหดอย่างเต็มที่ จึงทำให้ปอดไม่ได้หายใจเอาอากาศดีเข้าและขับอากาศเสียออกจากร่างกายอย่างเต็มที่ ปอดจึงไม่สามารถฟอกโลหิต ให้สดใสสมบูรณ์ดีเท่าที่ควรเป็นผลให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย
การฝึก “ ลมปราณ ” จะช่วยป้องกันและรักษาท่านหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ และการฝึกลมปราณก็ต้องอาศัยการฝึกจิตให้สงบก่อน
การฝึกลมปราณนี้ก็คล้ายกับการฝึกสมาธิ ต่างกันเพียงแต่ฝึกสมาธิทั่วไป ไม่ได้เน้นหนักให้หายใจลึก แต่ฝึกลมปราณ เน้นหนักให้หายใจลึก ๆ ด้วยใจที่เป็นสมาธิ พอมีจังหวะ 5-10 นาที เราก็สามารถเดินลมปราณ โดยไม่จำเป็นต้องหลับตาเพียงแต่ค่อยๆ ถอนหายใจให้ลึกตามแบบฝึกลมปราณด้วยสมาธิ อันจดจ่อกับลมหายใจเข้าออกเมื่อฝึกจนคล่องตัวแล้ว เวลาอากาศหนาวๆ เราก็เดินลมปราณสักครู่หนึ่ง ก็จะเพิ่มความอบอุ่นในร่างกายขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เป็นหวัดได้ง่ายด้วย การฝึกลมปราณอยู่เสมอ ยังเป็นการรักษาโรคปวดเมื่อยตามเอ็นตามข้อ
ฝึกสมาธิ... ล้างพิษในใจ
คนที่ฝึกสมาธิได้ระดับหนึ่งร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินหรือสารแห่งความสุขออกมาค่ะ และเมื่อร่างกายสงบ เกิดสมาธิ หัวใจจะเต้นช้าลง
ลมหายใจที่เคยสั้นเพราะเครียดก็จะยาวขึ้น เมื่อควบคุมลมหายใจได้ทำให้ปอดขยาย ร่างกายก็สามารถปรับออกซิเจนได้มากขึ้น เกิดกระบวนการเผาผลาญไขมัน ลดการอักเสบในระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวที่เป็นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มากขึ้น แถมทำให้คลื่นสมองเป็นระเบียบ ช่วยให้มีความจำดีขึ้นความเครียดของมนุษย์ทำให้เกิดโรคภัยมากมาย โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียด ทำให้ภูมิคุ้มกันภายในลดลง และทำให้เกิดเชื้อไวรัสและการติดเชื้อต่างๆ พร้อมกับทำให้ลุกลามไปมากขึ้น
ดังนั้น เมื่อทราบสาเหตุดังกล่าวว่าโรคทางกายนั้นเกิดจากโรคทางใจ วิธีเดียวที่จะบำบัดภาวะดังกล่าว คือ การทำวิปัสสนากรรมฐานการเจริญสติและฝึกสมาธิ โดยสามารถทำให้เกิดปัญญา ซึ่งจะช่วยรักษาโรคร้ายทางกายของเราได้
ที่ต่างประเทศมีการทดลองว่าในภาวะที่กำลังเข้าสู่สมาธิ หรือในสภาวะที่ถูกสะกดจิตให้สงบมาก ๆ นั้น ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน
ในร่างกายน้อยลง จะทำให้หัวใจ การหายใจ และชีพจรโลหิตทำงานช้าลง ทำให้การเผาผลาญเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย และการเกิดสารอนุมูลอิสระลดน้อยลงด้วย โดยจะทำให้การก่อเซลล์มะเร็ง และการเกิดโรคร้ายก็จะน้อยลงหมายเหตุ ศีลไม่ดี ... กรรมฐานเป็นบ้าได้
สวนลำไส้...ล้างพิษ
ฟังชื่อแล้วอย่างเพิ่งเสียวลำไส้กันไปนะคะ การสวนล้างลำไส้เกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมการกินอาหารของคนปัจจุบัน อาทิ การกินอาหารขัดสี หรือมีกากใยน้อย ส่งผลให้ลำไส้ทำงานไม่ดีเพิ่มสารพิษให้ร่างกาย และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาการเจ็บป่วย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เป็นต้นมาผลจากการเปลี่ยนอาหารการกินเป็นแบบตะวันตก
การใช้ชีวิตและกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ เปลี่ยนไปมาก
ผู้คนจึงเจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่าง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มะเร็งลำไส้ใหญ ่เป็นหนึ่งในโรคเหล่านั้น
ปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วย โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
การขับถ่ายในช่วงเช้า สำคัญอย่างไร
ในช่วงเวลา 05.00 – 07.00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่
ที่จะทำงานได้ดีีในการขจัดพิษ ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระนี้
อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ขับถ่ายไม่ออก จะถูกบีบตัวขึ้นมาจากลำไส้ใหญ่
ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร อุจจาระก็จะถูกดูดซึมอีกครั้งหนึ่ง
ของเีสียจะย้อนกลับเข้าไปที่กระแสเลือด
ดูดซึมไปยังเซลล์ เนื้อเยื่อ ไปตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด
เลือดจึงไม่สะอาด ถ้าเลือดไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย
ไหลผ่านสมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง
อวัยวะเหล่านี้ก็จะได้รับแก๊สพิษด้วย
เช่น ก่อนเที่ยงถึงบ่าย
ง่วงนอนเพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงหัวใจ
หัวใจก็จะอ่อนล้าและไม่สดชื่น มีกลิ่นตัว
กลิ่นปาก ก็มาจากเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด
ปอดก็จะขับออกทางผิวหนังและลมหายใจ ตัวเองอาจไม่ค่อยได้กลิ่น
แต่คนอื่นจะได้กลิ่น
เพราะฉะนั้นถ้าปล่อยไว้โดยไม่ขับถ่ายช่วงเวลา 05.00-07.00 น. นานๆ
เข้าเป็นเวลาหลายๆ ปี
ทำให้เลือดที่ไม่สะอาดไหลผ่านไปเลี้ยงสมองและอวัยวะต่างๆ
เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ
หรือเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย จะเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้
เช่น
- ผมร่วง หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย
- นอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่เต็มอิ่ม ฝันบ่อย ปวดไหล่
ตื่นกลางดึกบ่อย ๆ
- ปวดหัวข้างเดียว ปวดหู ปวดกระบอกตา เป็นไซนัส
- เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น ปวดชายโครง ปวดหลัง
ปวดเข่า กระดูกสะโพก
จะเคลื่อนได้ง่าย ปวดสะโพก
ปวดข้อเท้าหลังเท้า วิตกกังวล อาจมีอาการทีละอย่าง
หรือหลายอย่างพร้อมกัน
สมองเสื่อม
จากงานวิจัยในประเทศไทย
พบว่าวันข้างหน้า อีกประมาณ 4-5 ปี
จะมีผู้ป่วยสูงอายุเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 9 ล้านคน
เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้ว ก็มาหาทางบำรุงสมองกันดีกว่า
เพื่อป้องกันไม่ให้สมองเสื่อมก่อนเหตุอันควร ซึ่งเมื่อเป็นแล้วจะเป็นภาระกับคนในครอบครัวอย่างมาก
ที่จะต้องมาคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา
สาเหตุหนึ่งที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
เป็นเพราะกินอาหารผัดน้ำมันต่อเนื่องเป็นประจำติดต่อกันหลายๆ ปี
น้ำมันจะเกาะผนังลำไส้
ทำให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงสมองได้น้อยหรือไม่ได้
การดีท็อกซ์ื มีประโยชน์อย่างไร
รายงานทางการแพทย์
การดูแลรักษาสุขภาพรูปแบบใหม่คือ การใส่ใจในลำไส้
90% ของความเจ็บป่วย
มีต้นเหตุมาจากลำไส้
มนุษย์ทุกเพศทุกวัย
ตื่นเช้าขึ้นมาสิ่งแรกที่ต้องทำและต้องทำทุกวันเป็นกิจวัตร
ก็คือ อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน
สระผม เพื่อทำความสะอาดและชำระสิ่งสกปรกภายนอกร่างกาย
แต่ที่สำคัญมากไม่แพ้กัน ก็คือ การทำความสะอาดภายใน
ส่วนมากเรากลับมองข้ามไป
ตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันเราเคยชำระล้างภายในบ้างหรือไม่
ในอดีดที่ผ่านมาอายุเรายังน้อยร่างกายยังแข็งแรง
อวัยวะทุกส่วนทำงานได้ตามปกติ สามารถกำจัดและขับสารพิษได้
แต่เมื่ออายุมากขึ้น สุขภาพร่างกายเสื่อมลง ระบบต่าง ๆ
ทำงานได้ไม่เต็มที่ การกำจัดสารพิษทำงานได้น้อยลง
ร่างกายเริ่มอ่อนแอ เช่น เริ่มปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย
อ่อนเพลีย จนกระทั่งลุกลามใหญ่โตเป็นโรคร้ายเกินการควบคุม
หยุดพักสักนิดให้เวลากับชีวิต โดยการล้างสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย
เช่น อาหาร อากาศ น้ำ สารเคมีต่าง ๆ ที่เป็นพิษ
ดีท็อกซ์มีประโยชน์และผลดีอย่างไร
1.
ช่วยทำความสะอาดลำไส้ และแบคทีเรียที่เป็นโทษต่อร่างกาย
สารพิษต่างๆ จะถูกชะล้างออกไป ลดการสะสมของสารพิษ
เมื่อสารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกไป
ลำไส้จะสามารถทำงานได้ตามปกติ
2.
เป็นการบริหารกล้ามเนื้อลำไส ้
ของเสียที่ตกค้างมีผลทำให้ลำไส้อ่อนแอลง
และทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ การล้างลำไส้จึงเป็นการช่วยส่งเสริมกล้ามเนื้อลำไส้ให้ทำงานได้มากขึ้น กล้ามเนื้อลำไส้ที่แข็งแรงและทำงานได้อย่างเป็นจังหวะ
จะช่วยทำให้การผลักดันของของเสีย เช่น กากอาหาร
และอุจจาระออกจากลำไส้ได้เร็วขึ้น
ไม่เกิดสารตกค้างจนกลายเป็นพิษ
3.
ทำให้ลำไส้มีขนาดเป็นปกติ เมื่อลำไส้ทำงานอย่างผิดปกติ
จะส่งผลให้โครงสร้างและขนาดลำไส้เปลี่ยนไป ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง
ๆตามมา การล้างลำไส้ ช่วยให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนตัว
ช่วยลดอาการบวมหรือโป่งพองของลำไส้
อันเนื่องมาจากการที่มีของเสียอุดตันบริเวณนั้น ทำให้ลำไส้มีรูปร่าง
ปกติตามธรรมชาติ การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
อาจทำให้ลำไส้กลับคืนสู่รูปทรงปกติได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น
4.
กระตุ้นจุดตอบสนองของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
ซึ่งอวัยวะทุกส่วนจะมีการทำงานเชื่อมต่อกับลำไส้โดยจุดตอบสนอง
การล้างลำไส้เป็นการช่วยกระตุ้นจุดที่ว่านี้
ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกายโดยรวม เช่น ตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน
ไต ต่อมน้ำเหลือง และการหมุนเวียนของเลือด เป็นต้น
อาการผู้มีสารพิษสะสม ที่ควรทำดีท็อกซ์
สารพิษที่ตกค้างสะสมในร่างกาย มักจะเกิดอาการดังต่อไปนี้
- ปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิด ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ และคอ
- มีแผลร้อนใน ในปากเป็นประจำ และระบบเผาผลาญทำงานได้น้อย
ทำให้ร่างกายอ้วน
- อ่อนเพลีย ง่วงนอน สมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม
- ประสาทตึงเครียด ร่างกายไม่แข็งแรง
- หน้าตาหมองคล้ำ ผิวพรรณหยาบกร้าน
- ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก หรือถ่ายไม่ออก
- เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ
และผายลมบ่อย
- ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ
- ปวดศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียน เวียนศีรษะ
และมีไข้ต่ำตลอดเวลา
- เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง
- เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล
และเป็นฝีบ่อยๆ
- มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อตามกระดูก
ตลอดจนรูมาตอยด์
- มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ
- เป็นริดสีดวงทวาร ฯลฯ
ดีท็อกซ์
ดีอย่างไร
เนื่องจากของเสียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ มักถูกขับถ่ายออกได้ไม่หมด
จึงตกค้างอยู่ในลำไส้ บางครั้งจะเกาะติดอยู่ตามผนังของลำไส้เป็นตะกรัน
สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลร้ายต่อร่างกายจนทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ของโรค
เช่น ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ
ผายลมบ่อย ๆ ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ ปวดศีรษะ
คลื่นเหียนอาเจียน เวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย
มีกลิ่นตัวแรง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล
เป็นฝีบ่อย ๆ มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย
ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์
โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ ต่อมน้ำเหลือง ริดสีดวงทวารภายนอกหรือภายใน
เป็นต้น ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคหรือมีอาการดังกล่าวนี้
จึงควรได้รับการล้างลำไส้เพื่อขจัดของเสียและสารพิษที่คั่งค้างออกจากร่างกาย
ทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงของโรคด้วย
การล้างลำไส้ ( Detox)
จะช่วยทำความสะอาดและขจัดสิ่งสกปรกของเสีย กากอาหาร
รวมทั้งสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ให้หมดไป
สุขภาพที่ดีต้องดูแลที่ต้นเหตุ คือ
ดูแลระบบลำไส้ และเพื่อที่จะเอาสารพิษและตะกรันออก มี หลายวิธี เช่น
การสวนด้วยน้ำ การสวนทวารด้วยกาแฟ สวนด้วยน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น
และทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ซึ่งในภาวะปกติ เราต้องการอาหาร
ที่มีเส้นใยอาหาร วันละประมาณ 25 กรัม/วัน
คนเราต้องการเส้นใยอาหาร เพราะ มนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืช ดังที่กล่าวแล้ว
โดยดูจากฟัน ซึ่งเหมือนฟันวัว ม้าและควาย
ลักษณะเป็นแถวเรียงเพื่อการบดเคี้ยวให้ละเอียด
และมีลำไส้ที่ยาวกว่าสัตว์ที่กินเนื้อ เช่น เสือ สิงโต
สุนัขที่จะมีเขี้ยวเพื่อไว้ฉีก มีลำไส้ที่สั้นและมีน้ำย่อยที่แรงกว่าและมากกว่าในคนและสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหารถึง
20 เท่า
ดังนั้น
เมื่อคนเรากินเนื้อมากกว่าพืชผักผลไม้ ซึ่งย่อยยากกว่า ใช้เวลานานกว่าคือ
3 วัน(72 ชม.) ทำให้เกิดการหมักหมม
บูดเน่าและเป็นอาหารอย่างดีสำหรับแบคทีเรียเลว
ทำให้เกิดแก๊สพิษ
สารพิษและถูกดูดซึมไปตามกระแสเลือดทั่วร่างกาย
อีกทั้งที่ผนังลำไส้ก็เกิดการอักเสบ กลายเป็นเนื้องอก
เนื้อร้ายและมะเร็งลำไส้ในที่สุด ลำไส้ของคน มีความยาวเท่ากับ 6
เท่าของความสูงร่างกาย
การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เริ่มง่าย ๆ
ที่ลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ ที่เรียกว่าเป็น "ถังขยะของร่างกาย" สามารถเก็บขยะได้ชั่วคราว 2 วัน
แต่บางคนเก็บนานกว่านั้น ลำไส้คนเรายาวเป็น 6
เท่าของความสูง ปัญหาคือกินอาหารเข้าไปแล้ว ถ่ายออกมาหมดหรือเปล่า ?
จะเห็นว่าลำไส้ใหญ่ของเรามีความโค้งงอ
ด้วยเหตุนี้หากเรามีนิสัยการกินที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม
และอาหารที่ย่อยไม่หมด ทำให้เกิดการสะสมเน่าเสียในลำไส้
ถ้าอาหารที่บูดเน่า
เก็บอยู่ในลำไส้เป็นเวลานานแบคทีเรียเลว
จะได้รับอาหารและปล่อยสารพิษออกมามากมาย เช่น ก๊าซแอมโมเนีย
และซัลเฟอร์ออกไซด์ (ก่อสารพิษทำลายตับไต) ฮีสตามีน (ก่อสารพิษ
เกิดโรคภูมิแพ้) ก๊าซอินดอล,ฟินนอล, ไนโตรซาไมน์
(ก่อสารพิษ เกิดโรคมะเร็ง)
สารพิษเหล่านี้ จะถูกดูดซึมผ่านเส้นเลือดฝอย
ที่ลำไส้เข้าสู่ร่างกาย ทำให้กระบวนการเผาผลาญของตับถูกรบกวน
และนี่คือสารตกค้างทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ มากมาย
จากรายงานการศึกษา เรื่องระบบลำไส้ในประเทศญี่ปุ่นพบว่า
ร่างกายคนเราจะมีสารตกค้าง และของเสียอยู่ในลำไส้ประมาณ 2.7- 4.5
กิโลกรัม นี่ยังไม่นับรวมคนที่เป็นโรคท้องผูก
ซึ่งมีสารตกค้างมากมาย และน่ากลัวกว่าคนปกติ
ดังนั้นคนที่เป็นโรคท้องผูก
จะมีความเสี่ยงในการสะสมสารตกค้างและสารพิษในร่างกาย
ซึ่งเป็นอันตรายแล้ว ยังก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ
มากมายกว่าคนทั่วไป
อาหารที่รับประทานเข้าไปแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
คือ
- อาหารที่มีเส้นใยมาก ได้แก่ ผัก ผลไม้
และธัญพืชต่างๆ
- อาหารที่มีเส้นใยน้อยหรือไม่มีเลย เช่น เนื้อสัตว์
ไขมัน แป้งขัดขาว ฯลฯ
การรับประทานอาหารที่ถูกต้องควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง 80%
และรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารน้อย 20% (ต่อวัน)
แต่ในกิจวัตรประจำวันทำได้น้อยมาก สำหรับอาหารที่มีเส้นใยอาหารน้อย
เมื่อย่อยแล้วจะจับตัวกันจนเหนียว ทำให้เคลื่อนผ่านลำไส้ลำบาก
และเกาะติดอยู่ตามผนังลำไส้
ไม่ยอมเคลื่อนตัวเข้าสู่ระบบขับถ่ายตามปกติ ทำให้เกิดอาการท้องผูก
ถ่ายลำบากและกากอาหารที่เกาะติดตามผนังลำไส้เหล่านี้เป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียก่อให้เกิดการบูดเน่า
เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และเป็นจุดเริ่มต้นของโรคต่าง ๆ
เช่น โรคทางเดินอาหาร ท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ ผายลมบ่อย
อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ลำไส้ใหญ่อักเสบ จนถึงการมีกลิ่นปากเหม็น
กลิ่นลมหายใจเหม็น แผลในปาก ลมพิษ หอบหืด และโรคภูมิแพ้ ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้การล้างลำไส้จึงเป็นแนวทางในการล้างพิษออกจากร่างกาย
ต้นเหตุของโรค(หลายโรค) เกิดจาก...
ภาวะท้องอืด ท้องเฟ้อ ในท้องมีลมและแก็สพิษ
สาเหตุที่เกิดลม
แก็สในท้อง มาจาก ...
- ทานผลไม้ หลังทานข้าวอิ่มใหม่ ๆ
ทำให้ผลไม้ถูกหมักเป็นเหล้า เป็นอาหารของเชื้อโรค จึงเกิดลม
แก็สพิษเต็มท้อง
- การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด การเร่งรีบทาน
ทำให้กระเพาะไม่สามารถย่อยอาหารได้ดี
- การทานน้ำมากในช่วงรับประทานอาหาร
หรือทานน้ำมากหลังอิ่มข้าวทันที
ทำให้การย่อยอาหารไม่ดี
การป้องกัน
ไม่ให้เกิดภาวะท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- ควรทานผลไม้ ผัก ก่อนทานข้าว ไขมันและโปรตีน
เพื่อน้ำจากผลไม้ ผัก จะถูกดูดซึมไปใช้ประโยชน์ก่อน
(ถ้าทานผลไม้หลังข้าว ไขมัน และโปรตีน ผลไม้และผัก
จะไม่ย่อย จะไม่ถูกดูดซึมไปได้ใช้ประโยชน์้
ในที่สุดก็จะกลายเป็นอาหารของเชื้อโรคแทน)
- ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด
อาหารที่ละเีอียดจะถูกดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ทันที
ส่วนที่เหลือก็จะกลายเป็นของเสีย เป็นอาหารของเชื้อโรค
(การเคี้ยวอาหารละเอียด
ร่างกายจะหลั่งน้ำย่อยในปากมาช่วยย่อยอาหาร
จึงทำให้อาหารถูกดูดซึมไปใช้งานได้ทันที ไปเลี้ยงเซลล์
ทำให้ร่างกายเกิดพลังชีวิตทันที)
- ไม่ควรทานน้ำในช่วงทานอาหาร หรือหลังข้าวอิ่มใหม่ ๆ
เพราะจะทำให้ไฟย่อยอาหารไม่ดี
(ควรทานน้ำ หลังทานข้าวอิ่มไปแล้ว 1-2
ชม.)
ประโยชน์การทานอาหารที่มีกาก
หรือเส้นใย
การทาน ผลไม้ ผัก ที่มีกากหรือเส้นใย( Fiber) มาก
จะช่วยไม่ให้เกิดภาวะท้องผูก
เส้นใย จะช่วยดูดน้ำไว้ในตัวอุจจาระ
ทำให้ปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้นและไม่แข็ง
ปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้นจะเร่งให้มีการขนส่งอุจจาระผ่านลำไส้เร็วขึ้น
ส่งผลให้มีการขับถ่ายอุจจาระเพิ่มขึ้นและง่ายขึ้น การดื่มน้ำมาก ๆ
และการออกกำลังกายจะช่วยให้ลำไส้ได้มีการเคลื่อนไหว
นอกจากนี้การใช้เวลาที่เพียงพอ และไม่เร่งรีบในการถ่ายอุจจาระ
รวมทั้งการฝึกลักษณะนิสัยในการขับถ่ายอุจจาระให้เหมาะสม
ควรทานอาหารที่ละน้อย ไม่กินอิ่มจนเกินไป
หลีกเลี่ยงอาหารไขมันเนื่องจากไขมัน จะทำให้เกิดภาวะท้องอืด
อาหารไม่่ย่อย จะเกิดเมือกไปอุดตันลำไส้ได้
นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอกอออล์ทุกชนิด ,กาแฟ ของดอง ,
น้ำอัดลม และยาที่ทำให้มีอาการท้องผูกมากขึ้น
กินยาระบายเป็นประจำ... เป็นเหตุให้เกิืดโรคท้องผูกเรื้อรัง
ยาระบายที่เป็นที่นิยมกันในบ้านเราส่วนใหญ่
จะเป็นยาระบายที่มีฤทธิ์กระตุ้น
การเคลื่อนตัวของลำไส้ เช่น ยาระบายมะขามแขก
ยากลุ่มนี้จะเพิ่มการหลั่งน้ำและเกลือแร่
และกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ทำให้ถ่ายอุจจาระออกมา
ถ้าใช้มากไปจะทำให้ขาดน้ำและ เกลือแร่บางอย่างในร่างกาย
การทำงานของลำไส้ใหญ่ลดลง ผู้ใช้ยาระบายเป็นประจำจะ
ไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้ โดยปราศจากการกระตุ้นของตัวยา
ทำให้เป็นโรคท้องผูกเรื้อรัง ยากต่อการแก้ไข ทางออกที่ง่ายที่สุดคือ
ควรรับประทานอาหารที่มีกากใย (Fiber ) สูง
ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในแต่ละวัน
ไม่มีความเห็น