เสวนาจานส้มตำ ๑๑ : มอง...ชีวิต มอง Dr.Ka-Poom . (Workshop)


เวลาที่เรามีสิ่งสำคัญดั่งดวงใจที่ต้องดูแลรักษาให้เขาเติบโตขึ้นมา และสิ่งนั้นมีหัวใจของเราอยู่ด้วย เราย่อมจะต้องเป็นแบบอย่างสำคัญและเป็นหลักให้ดวงใจดวงนั้น เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการเฝ้ามองของตัวเรากว่าครึ่งชีวิต
เสวนาจานส้มตำในตอนนี้ ไม่นึกมาก่อนว่า นายบอนจะต้องบันทึกถึงท่าน Dr.Ka-Poom ในบล็อกของตัวเองจนได้ เพราะที่ผ่านมานั่งอ่านบล็อกของ Dr.Ka-Poom อ่านเพลินมาตลอด จนไม่กล้าที่จะเขียนข้อคิดเห็นในแบบตรงๆตามถนัด

เสวนาในตอนนี้ ตามคำเรียกร้องของคู่สนทนาครับ ว่าอยาก เหลือเกิน อยากแสดงความคิดเห็นในแบบเสวนาส้มตำกับบันทึกของ Dr.Ka-Poom  3 ตอนดังนี้

มอง...ชีวิต (1) : ศรัทธา
มอง...ชีวิต (2) : มีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร
มอง...ชีวิต (3) : รางวัลชีวิต


Dr.Ka-Poom  -  “เมื่อมองชีวิตที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่คนเองนำส่องทางแห่งการเดินไปตามท่วงทำนองของ"ชีวิต" คือ ความศรัทธา...ศรัทธาต่อสิ่งต่างๆ ที่ตนเองรู้สึกศรัทธา เมื่อมองดูมีทั้งบุคคล และที่ไม่ใช่บุคคล ส่วนที่ไม่ใช่ตัวบุคคล ... แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นบุคคล ที่ยึดเป็นแนวแห่งความศรัทธา...”

คู่สนทนา 1 –  “ลึกซึ้งจริงๆ อ่านแล้วต้องคิดนานเป็นนาทีเหมือนกัน ที่ว่า ที่ไม่ใช่บุคคลนี่ ไม่เคยมีความศรัทธาเลยนะครับ ขนหัวลุกมากกว่า”

นายบอน –  “ถ้าไม่ใช่คนก็ผีน่ะสิ”

คู่สนทนา 1 –  “ความกลัวก็นำส่องทางแห่งการเดินไปตามท่วงทำนองของชีวิตได้เหมือนกันนะ คือ วิ่งหนีไงล่ะ ทั้งการหนีปัญหา เพราะไม่กล้าสู้ปัญหา ขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะไม่มีความศรัทธาในตัวเอง”

คู่สนทนา 2-  “ตามอ่านหลายบันทึกของ Dr.Ka-Poom แล้ว รู้สึกว่าถ่ายทอดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเลยทีเดียว ละเมียดละไมในความรู้สึก”

Dr.Ka-Poom - "พ่อ"...ผู้ไม่เคยล่วงลับไปจากใจลูก...พ่อจะเป็นแบบอย่างที่ดี ต่อการมองโลกมองคน พ่อสอนเสมอว่า อย่าดูถูกใคร..แม้ใครคนนั้นจะมาดูถูกเรา หรือทำร้ายเราอย่างเจ็บแสนสาหัสก็ตาม ตลอดเวลาที่พ่ออยู่ พ่อเจอสิ่งกระทบมากมายจากคนรอบด้าน..แต่พ่อก็ยังให้อภัยและคอยช่วยเหลือเขา เหล่านั้น หลายครั้งต่อหลายครั้ง ความอดทนและสู้ต่ออุปสรรค เป็นสิ่งหนึ่งที่พ่อมีให้ลูกเห็นเสมอ ไม่เคยได้ยินพ่อบ่นว่าเหนื่อยหลุดออกมาจากปาก "พ่อ" จนทำให้เรา-ลูกๆ ไม่เคยที่จะหลุดคำเหล่านี้ออกมาเลย แม้ทุกวันนี้ดิฉันเองก็มักจะหลีกเลี่ยง..ที่จะพูดคำนี้เสมอ...”

คู่สนทนา 1 – “ น่าสังเกตว่า ผู้หญิงจะเป็นคนที่ถ่ายทอดความรู้สึกของพ่อได้ดีที่สุด ในขณะที่ผู้ชายจะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกแบบนี้ออกมามากนัก”

คู่สนทนา 2 –  “แต่ผู้หญิงหลายคนในปัจจุบัน ไม่ค่อยจะมีเวลาที่จะคิดถึงพ่อกับแม่มากนัก วันๆยุ่งแต่กับงาน ตอนที่พ่อแม่ยังอยู่ ไม่เคยคิดที่จะไปเยี่ยมบ้านเลย จนเมื่อท่านป่วย ไม่สบายนั่นแหละ ถึงจะโผล่หน้าไป ทีตอนที่พ่อแม่สุขกายสบายดี ดันไม่โผล่ไปหา แล้วพ่อแม่จะมีความสุขเมื่อลูกอยู่ตรงหน้าได้ยังไง เพราะลูกชอบโผล่มาตอนที่พ่อแม่ไม่แข็งแรง”

นายบอน –  “คงขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยนะ อย่าง Dr.Ka-Poom ยังสามารถหาเวลาละเลียดอารมณ์ละไม กลั่นออกมาเป็นบันทึกมองชีวิตออกมาได้ การที่ลูกสาวไม่กลับบ้าน แต่เค้าอาจจะคิดถึงพ่อแม่ยิ่งกว่าที่คาดเลยก็ได้ ”

Dr.Ka-Poom – “พ่อมักมอง..คน...อย่างเป็นคน พ่อจะเป็นคนที่ชาวบ้านรักมาก...เพราะพ่อไม่เคยดูถูกใคร มีครั้งหนึ่งที่ดิฉันสอบเรียนพยาบาลได้ในตอนนั้นอยู่ ม.5 มีคนทราบข่าวมาว่าดิฉันคงจะไม่เรียน จึงมาหาพ่อที่บ้านเพื่อขอร้องให้ดิฉันสละสิทธิ์เพื่อที่ลูกสาวเขาจะได้ เลื่อนลำดับ(ติดสำรอง) โดยมีพันธสัญญาแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งของและเงินทอง...ในตอนนั้นพ่อบอกไปเลย ว่า...พ่อไม่รับ และลูกสาวคงสละสิทธิ์ และบอกพ่อคนนั้นไปว่า อย่าได้กังวล ลูกสาวคุณได้เลื่อนลำดับและได้เรียนแน่...และอีกบางเรื่อง..ที่มักพบคือ การวิ่งเต้น มีคนนำของกำนัลมาให้พ่อเสมอ แต่ก็ไม่เคยเห็นพ่อรับ...”

คู่สนทนา 1 –  “เวลาที่เรามีสิ่งสำคัญดั่งดวงใจที่ต้องดูแลรักษาให้เขาเติบโตขึ้นมา และสิ่งนั้นมีหัวใจของเราอยู่ด้วย เราย่อมจะต้องเป็นแบบอย่างสำคัญและเป็นหลักให้ดวงใจดวงนั้น เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการเฝ้ามองของตัวเรากว่าครึ่งชีวิต”

นายบอน –  “คู่สนทนา 1 เค้ามีลูกสาว 5 เดือน หัวใจดวงน้อยได้หลอมละลายพฤติกรรมสบายๆของเขา ให้เขากลายเป็นคุณพ่อคนใหม่ ที่พร้อมจะดูแลหัวใจของเขาในร่างน้อยๆให้เติบใหญ่ขึ้นมาตามที่เขาหวังไว้ คนที่เป็นพ่อคน จะมีสัญชาตญาณที่จะถ่ายทอดความรักจากก้นบึ้งของหัวใจออกมาอย่างอัตโนมัติ ดูจากข้อความที่ Dr.Ka-Poom ถ่ายทอดออกมา ถือได้ว่า เป็นลูกสาวที่รับมรดกความรักจากก้นบึ้งของหัวใจของพ่อมาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยทีเดียว ”

Dr.Ka-Poom  - “ความอดทน..ซื่อสัตย์ และตั้งใจจริง น่าจะเป็นสิ่งที่ดิฉันได้รับมากจากพ่ออย่างเต็มๆ เพราะใครก็มักจะว่าเช่นนั้น”

คู่สนทนา 2 –  “ มีหลายเรื่องทีเดียว ที่ผู้หญิงมีความอดทนมากกว่าผู้ชาย ”

Dr.Ka-Poom-  "แม่"...คือ ศรัทธา..ที่มาเคียงคู่กับพ่อ แม่คือ ผู้ให้ในรักอย่างแท้จริง ให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด...และไม่หวังสิ่งใดใด..จากการให้ สิ่งที่ดิฉันได้รับและเรียนรู้จากแม่ คือ ความเข้มแข็ง...แต่มีความอ่อนโยนไม่แข็งกร้าว แบบเป็นแบบอย่างแห่งความเป็นผู้หญิงไทย..ที่เก่ง แต่ไม่เคยล้ำหน้า พ่อจะปรึกษาแม่เสมอ...แต่แม่ก็ไม่เคยข่มพ่อ ท่านทั้งสองต่าง คือ แบบอย่างแห่งความศรัทธา..ต่อการมีครอบครัว..อย่างยิ่งสำหรับดิฉัน...”

คู่สนทนา 1 -  “อยากให้ครอบครัวยุคปัจจุบันได้มาเห็น Dr.Ka-Poom ในวัยเด็ก อยากให้ได้มาเห็นว่า ครอบครัวนี้ เลี้ยงลูกสาวคนนี้มาอย่างไร ถึงได้มีความผูกพันกับพ่อแม่มากถึงขนาดนี้ ”

นายบอน –  “แค่ความศรัทธาที่มีในหัวใจของ Dr.Ka-Poom ก็เหนือคำบรรยายแล้วล่ะครับ ศรัทธาของ Dr.Ka-Poom  เป็นแสงนำทางชีวิตที่มีคุณภาพทั้งความคิดและการกระทำ แค่ติดตามอ่านแต่ละบันทึกของ Dr.Ka-Poom ยังขนลุกอยู่บ่อยๆ บันทึกตอนนี้ นายบอนก็แงะหัวใจถ่ายทอดคำบรรยายในแบบที่ไม่ค่อยจะได้เห็นในบล็อกบ่อยๆนักละกัน”

Dr.Ka-Poom -  “พยายามถามตนเองนะว่า เรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร และในแต่วันนั้นเราดำเนินไปมีเป้าหมายอะไร สุดท้ายแล้วชีวิตนั้นต้องการอะไรกันแน่ และเมื่อตายแล้วเราหายไปไหน...ดิฉันเคยใช้เวลากับความคิดต่างๆ เหล่านี้นานพอควร และทุกวันนี้ความสงสัยและคำถามเหล่านี้ก็แวะเวียนมาอีกครั้ง ให้ต้องทบทวน ไม่ว่าจะพยายามถามตนอย่างไร คำตอบที่ได้ก็เป็นเพียงแค่คำตอบที่เราพยายามจะตอบตนเอง หารู้ไม่ว่าจะใช่คำตอบที่แท้จริงของชีวิตหรือไม่...”

คู่สนทนา 2 -  “ หลายคนมักจะมอง ติชมคนอื่น แต่ไม่เคยมองตัวเองเลย ถ้าหัดมองตัวเองบ่อยๆเหมือนส่องกระจกทุกเช้า ทุกคนคงทำให้สังคมน่าอยู่มากขึ้น

นายบอน –  “Dr.Ka-Poom มองตัวเองได้รอบด้านจริงๆ หยิบหลักศาสนา และหลักคิดของตัวเอง ทำให้ความคิดลุ่มลึก มีหลายแง่มุม คล้ายกับการเจอปัญหา ที่หลายคนมักจะมีข้อแก้ตัวไว้ก่อน แต่ Dr.Ka-Poom- ตั้งคำถามขึ้นมาเพื่อมองหาคำตอบ เหมือนกับการมองหาว่า ปัญหาอยู่ตรงไหน ฉันจะได้ลงมือแก้ไขมัน”


Dr.Ka-Poom – “อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีสิ่งมากระทบต่ออารมณ์และจิตใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ตนเองไม่เคยละเลย คือ หน้าที่ ที่ตนพึงกระทำต่อตนเองและความรับผิดชอบ นั่นอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถนำมาเป็นคำตอบแก่ตนเองได้ว่า เรามีชีวิตไปเพื่ออะไร "เพื่อทำหน้าที่ที่พึงทำแห่งการมีชีวิตอยู่" ก็อาจเป็นไปได้ว่าน่าจะใช่...เพราะเวลาทำงาน คือ เวลาที่ดิฉันรู้สึกมีความสุขและสบายใจที่สุด แม้จะพบปัญหาและอุปสรรคในงาน แต่ก็ไม่เคยที่จะรู้สึกทดท้อใจมากเท่าไร และก็สามารถผ่านไปได้”

คู่สนทนา 1-  “ความรู้สึกตัวเป็นสิ่งที่สำคัญมากจริงๆ เพราะหลายคนไม่รู้ตัวว่า สิ่งที่กำลังทำไปนั้นน่ะ ทำไปเพื่ออะไร ทำไปแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา บางคนก็ฟุ้งซ่านไปเลยก็เยอะ”

นายบอน –  “แม้จะมีสิ่งยั่วยวน ถ้ายึดหลักไว้มั่น  ไม่หวั่นไหว ย่อมทำอะไรได้สำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้ อย่างบันทึกชิ้นนี้ ที่เป็นเสวนาส้มตำนี่ ให้คำตอบแก่ตัวเองได้หรือยังว่า ทำไปเพื่ออะไร ”

คู่สนทนา 2 –  “เพื่อพัฒนาทักษะและกระบวนการคิด การวิเคราะห์ โดยหยิบจากบันทึกที่น่าสนใจจริงๆ โดยมุ่งไปที่บันทึกเป้าหมายนั้น และเรียนรู้จากบันทึกให้มากที่สุด อย่างน้อยให้ได้มากกว่า คนที่เขียนข้อคิดเห็นต่อท้ายบันทึกในบล็อกนั้น”

คู่สนทนา 1  -  “ยังไงก็มากกว่าอยู่แล้ว เพราะเอามาวิเคราะห์บรรทัดต่อบรรทัด แตกประเด็นมากกว่าเจ้าของบันทึกซะอีก Knowledge is power จริงๆ”


Dr.Ka-Poom – “ณ วันนี้สิ่งที่ตนพยายามทำ เมื่อรู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างที่ก่อให้เราเกิดความรู้สึกว่า...ไม่สบายใจ คือ การใช้ความนิ่งและเผชิญต่อความรู้สึกนั้น อย่างสงบ หากจะปวดก็ปวด...หากเจ็บก็รับรู้ว่าเจ็บ...ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในตัว เกิดอยู่กับเราไม่นานสักพักก็จะหายไป แม้บางครั้งจะกลับมาอีกเราก็เตรียมให้พร้อมที่จะเผชิญกับความรู้สึกนั้นให้ ได้...”

คู่สนทนา 2 -  “Dr.Ka-Poom ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองมากๆ นี่สิคนจริง”


นายบอน –  “การอยู่กับปัจจุบันถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน เราทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดแล้วหรือยัง แล้วดีมากแค่ไหน ความรู้สึกที่ย่ำแย่ เราสามารถแก้ไขจุดนั้นให้ดีขึ้นได้หรือไม่ หรือปล่อยให้มันทำลายศักยภาพในตัวเองไปทีละนิด จนสิ่งเหล่านั้นทำให้เกิดผลเสียหลายอย่าง”

คู่สนทนา 1 –  “เหมือนเวลาทำงานชิ้นหนึ่ง ต้องหมั่นตรวจสอบคุณภาพของเนื้องานให้ดี ถ้าพบข้อบกพร่อง ก็สมควรที่จะแก้ไขทันที อยากให้เกิดผลเสียหายในอนาคตได้”

Dr.Ka-Poom – “ เป็นที่น่าแปลกใจว่า ทำไมคนเราต้องมีกฏเกณฑ์มากมายแก่ชีวิต ว่าต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้... ทำไมไม่พยายามปล่อยทุกอย่างดำเนินและเป็นไปอย่างธรรมชาติ ไม่ต้องบีบรัดตนเองด้วยกฏเกณฑ์ของสังคม... ในส่วนตน ดิฉันมองว่าไม่เคยได้คาดหวังอะไรกับตนเอง ไม่เคยได้คิดมาก่อนว่าจะต้องเรียนอะไร จบอะไร และต้องทำอย่างไร หากแต่ปล่อยไปตามช่วงจังหวะและโอกาสแห่งชีวิต และเมื่อมองดูที่ผ่านมาก็มักเป็นโอกาสที่ตนรีบคว้าไว้เพื่อเข้าไปเรียน รู้... เมื่อได้ทำจึงจะบอกตัวเองว่าเราต้องทำได้ และทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ แต่หากพอทำไปแล้ว...ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ทำไปแล้ว...”

คู่สนทนา 2 -  “คนเรามักจะสร้างกรอบขึ้นมาครอบตัวเองมากกว่า เพราะคิดว่านั่นคือความเหมาะสมแล้ว แล้วก็ติดอยู่ในกรอบ ทุกข์ทรมานกับสิ่งที่ตนเองตั้งไว้ ทั้งๆที่เอากรอบที่ครอบหัวออกไปบ้างซักพัก แต่ไม่เคยคิดเลย”

คู่สนทนา 1 –  “ แต่กระแสสังคม วิถีชีวิตมันยากที่จะหลุดจากกรอบได้นี่นา ไม่งั้นเราก็อยู่ในสังคมนี้ไม่ได้ ต้องไปอยู่ในสังคมอื่น ซึ่งก็ไม่รู้อีกว่า ที่ไหนที่จะเหมาะสมกับตัวเรามากกว่ากัน”

นายบอน –  “มอง Dr.Ka-Poom แล้ว เค้าจะมีทางเลือกในการตัดสินใจนะ รู้จังหวะของชีวิตด้วยว่า ช่วงเวลาไหนควรจะผ่อนหรือตึง จะคิดยังไงถึงจะรู้สึกไม่เครียดในสถานการณ์ที่เครียด ถ้าเราฝืนธรรมชาติมากเกินไป ย่อมจะรู้สึกอึดอัดโดยอัตโนมัติ ถ้าเป็นการขับรถ Dr.Ka-Poom เค้ารู้จักจังหวะ และเข้าเกียร์ได้ถูก ไม่ว่าจะเป็นทางเรียบ ทางชัน ทำให้รถไม่สะดุด แล่นไปถึงจุดหมายตามเวลาที่กำหนดไว้”

Dr.Ka-Poom- “ระหว่างที่นั่งเขียนบันทึกอยู่...ลมเย็นๆ พัดโชยกระทบโมบายที่ระเบียงหลังห้อง เมื่อหันไปมองเห็นต้นไม้เขียวยอดกิ่งก้านกระทบลม โยกย้ายส่ายไปมาตามแรงลมพริ้วเบา... แสงแดดอ่อน..ในยามรุ่งอรุณ ทำให้จิตใจที่เรารู้สึกว่าเหมือนจะเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งสัปดาห์... พลันกลับสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง และน่าจะมีพลังพร้อมเตรียมรับการออกเดินทาง..เพื่อให้รางวัลชีวิตแก่ตนอีก ครั้ง...”

คู่สนทนา 1 -  “ดูเหมือนว่า จังหวะชีวิตของ Dr.Ka-Poom จะลงตัวไปซะหมด มีทางเลือกที่ดี จังหวะก้าวเดินที่ดี มีโอกาสที่ดี ทำให้ได้รับแต่ในสิ่งที่เหมาะสมกับตัว Dr.Ka-Poom เอง และมีความสุขกับสิ่งรอบตัวได้อย่างไม่ยากเย็นนัก”

คู่สนทนา 2 -  “ ชีวิตจะเอาอะไรมากมายนัก แต่บรรยากาศสบายส่วนตัวๆที่ระเบียงหลังห้องในตอนเช้า แค่นี้ก็เป็นรางวัลที่มีคุณค่าแก่ชีวิตซะแล้ว”

นายบอน –  “Dr.Ka-Poom ได้รางวัลชีวิตไปแล้ว เรา 2 คนก็น่าจะได้รางวัลชีวิตในตอนนี้เหมือนกัน เสวนาที่ใช้ต้นทุนต่ำที่สุดในประเทศไทยในตอนนี้ให้สาระที่มีคุณค่าจริงๆ อย่างน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ กับมุมมองที่สะท้อนออกมา คงทำให้ได้รู้จักตัวเอง เรียนรู้ตัวเองจากมุมมองของคนอื่นมากขึ้น ถือว่าคุ้มเกินคุ้มทีเดียวนะ เพราะคนอื่นอ่านบันทึกของ Dr.Ka-Poom แล้ว ได้เรียนรู้แง่มุมชีวิตขอ Dr.Ka-Poom เพื่อเอามาใช้กับคนอ่าน แต่นี่ เรา 2 คน ทั้งเรียนรู้ในแบบที่เหมือนคนอื่น แล้วยังได้เรียนรู้จากตัวเอง คิดวิเคราะห์บันทึกของ Dr.Ka-Poom มากกว่าคนอื่นๆ ยังไงก็คุ้มมากกว่าคนอื่นๆตั้งหลายเท่าเลยแหละ”

และนี่คือ เสวนาจานส้มตำในแบบกอบโกยความรู้ครับ……..

หมายเลขบันทึก: 42960เขียนเมื่อ 6 สิงหาคม 2006 12:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:33 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท