"งานวันแม่ไร้สัญชาติ : จากใจลูก (ลูกกิตติพงศ์) เพื่อแม่ไร้สัญชาติ (แม่วิภา)"


นับตั้งแต่พ่อของผมเสีย แม่ก็ต้องทำงานหนักอยู่เพียงคนเดียว แต่ถึงแม่จะเหนื่อยจากการทำงานเพียงไหน แม่ก็ไม่เคยบ่นให้ผมได้ยิน อีกทั้งยังส่งเสียผมจนจบปริญญาตรี “ผมคิดว่าแม่ของผมทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบแล้ว”

อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแม่อีกครั้ง ภาพที่เราจะเห็นเป็นประจำก็คือ ความสุขระหว่างแม่และลูก แม่ของผมก็เช่นกัน แต่ท่านก็มีความสุขได้เพียงชั่วคราว และภาพต่อมาที่ผมมักจะสังเกตเห็นก็คือ การถอดหายใจของแม่เหมือนท่านคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา และก็จะมีคำถามที่ได้ยินบ่อยๆ คือ เรื่องของเราไปถึงไหนแล้ว จะทำได้หรือเปล่า ที่แม่ถามคำถามนี้บ่อยๆ เพราะว่า ครอบครัวของเราตกอยู่ในสภาพไร้รัฐ         

ครอบครัวของผมมีทั้งหมด 3 คน คือ ผมชื่อนายกิตติพงศ์  ศิลปวงศ์เจริญ, น้องชายชื่อนายธนายุทธ  ศิลปวงศ์เจริญ และแม่ของผมชื่อนางวิภา แซ่จู แม่ของผมเป็นคนเชื้อชาติจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศลาว แม่เกิดที่เมืองปากเซ เมื่อแม่อายุได้ประมาณ 9-10 ปี (ราวปี พ.ศ. 2497) ได้ย้ายตามตากับยายไปที่นครเวียงจันทร์ และทำการค้าขายอยู่ที่นั้น จนเมื่อแม่อายุได้ประมาณ 27 ปี (ราวปี พ.ศ.2514) ก็ได้เจอกับพ่อ คือนายอื่ออิม  แซ่เบ๊ ซึ่งเป็นคนจีนเชื้อสายจีนที่ครอบครัวได้อพยพมาจากประเทศจีนมาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยมีอาชีพเป็นช่างตีทอง และได้ติดต่อค้าขาย โดยเดินทางไปมา ระหว่างประเทศไทย กับประเทศลาว ทางจังหวัดหนองคายและนครเวียงจันทร์อยู่เป็นประจำ เมื่อแม่ได้อยู่กับพ่อก็ได้ช่วยกันประกอบอาชีพค้าขายอยู่ที่นครเวียงจันทร์ และได้มีการเดินทางไป-มา ระหว่างประเทศไทย และประเทศลาวอยู่เป็นประจำ เมื่ออยู่กับพ่อได้ประมาณ 4 ปี (ประมาณปี พ.ศ. 2518) ก็ได้เกิดเหตุการณ์จลาจลวุ่นวายในประเทศลาว ซึ่งครอบครัวของแม่เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศลาวอยู่ในสภาวะอันตราย ครอบครัวของแม่จึงได้ตัดสินใจย้ายออกจากประเทศลาว และได้แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปที่ต่างๆ เช่น ศูนย์อพยพในประเทศไทยและประเทศฮ่องกง ส่วนตัวแม่นั้นไม่ได้ย้ายตามครอบครัวไปด้วย เนื่องจากพ่อต้องการอยู่ในประเทศไทย เพราะพ่อมีญาติพี่น้องอยู่ในประเทศไทย เมื่อแม่ตัดสินใจอยู่กับพ่อก็ได้ช่วยพ่อค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ที่จังหวัดหนองคาย และในปี พ.ศ. 2520 แม่ก็ได้ย้ายตามพ่อมาอยู่กับญาติพี่น้องของพ่อในกรุงเทพฯ แถวบางกะปิ พ่ออาศัยอยู่กับญาติได้ ปี ถึง 2 ปี ก็ได้พาครอบครัวย้ายไปอยู่แถวคลองสาน และได้เปิดร้านขายของชำ จนปี พ.ศ. 2534 พ่อก็ได้เสียชีวิต         

เหตุการณ์ต่อมาที่ทำให้แม่เป็นทุกข์มากยิ่งขึ้นจนถึงปัจจุบันก็คือ ทางอำเภอคลองสานได้จำหน่ายชื่อแม่ออกจากทะเบียนราษฎร และหลังจากนั้นทางอำเภอก็จำหน่ายชื่อผม และน้องออกจากทะเบียนราษฎรตามแม่ด้วย ซึ่งตอนนั้นแม่ และผมก็ยังไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร จนผมจะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แต่ผมและน้องไม่มีชื่อในการใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งนั้น จึงสอบถามไปทางอำเภอ แม่จึงรู้ว่าครอบครัวของเราไม่มีสัญชาติไทย เมื่อแม่รู้แม่ก็ได้พาผมไปติดต่อตามหน่วยราชการต่างๆ ที่แม่ได้ยินมาว่าสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่เป็นผล          

นับตั้งแต่พ่อของผมเสีย แม่ก็ต้องทำงานหนักอยู่เพียงคนเดียว แต่ถึงแม่จะเหนื่อยจากการทำงานเพียงไหน แม่ก็ไม่เคยบ่นให้ผมได้ยิน อีกทั้งยังส่งเสียผมจนจบปริญญาตรี ผมคิดว่าแม่ของผมทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบแล้ว และผมจะทำตามคำที่แม่คอยบอกเสมอว่าให้ทำตัวดีๆ เพื่อให้แม่ได้ภูมิใจในตัวลูกของแม่          

ปัจจุบันแม่ของผมอายุ 61 ปี  ร่างกายของแม่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก เพราะแม่จะนั่งคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเรื่องที่ครอบครัวเราไม่มีสัญชาติจะทำอย่างไร และจะแก้ไขได้หรือไม่ จนทำให้แม่เครียดอยู่ตลอดเวลา บางครั้งแม่คิดถึงยาย หรือญาติพี่น้องของแม่ และอยากไปเยี่ยมยายที่ประเทศฮ่องกงก็ทำไม่ได้ ได้แต่คุยกันทางโทรศัพท์ เนื่องจากแม่ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้

และในวันแม่ปีนี้ของผม ผมได้ทำอะไรพิเศษเพื่อแม่อีก 1 ชิ้น คือ ผมได้เขียนเล่าถึงเรื่องราวของแม่ และความทุกข์ที่แม่ต้องรับมายาวนานให้สังคมได้รู้ และผมหวังว่าความทุกข์ของแม่ และครอบครัวของผมจะได้รับการแก้ไขโดยเร็ว เพื่อเป็นของขวัญสำหรับแม่ 

กิตติพงศ์

หมายเลขบันทึก: 42903เขียนเมื่อ 6 สิงหาคม 2006 00:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม 2013 22:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
อ่านแล้วรู้สึกทุกข์จัง ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร หวังว่า ความพยายามของเราครั้งนี้ จะช่วยพวกเขาได้บ้างนะ
อยากให้ความหวังของคุณกิตติพงศ์เป็นจริงครับ ขอเป็นแรงใจเล๋กๆให้อีกคนหนึ่ง
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท