คู่อธิษฐาน (ตอน2): คู่ชีวิตที่ออกแบบเองได้


เรื่องนี้ตั้งใจเขียนเพื่อจะร่วมส่งในเทศกาลตามประกาศของคุณมะปรางเปรี้ยวแต่ส่งไม่ทันค่ะ แต่คิดว่าเรื่องนี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับคนรุ่นใหม่ หนุ่มสาวที่ยังไม่มีคู่ ในการใช้เป็นแนวทางบ้าง (อาจดูโบราณ)จะเลือกคู่ครองอย่างไร ให้ได้ดั่งใจไม่มีปัญหา ครองเรือนอย่างไรไม่รุ่มร้อน ใช้ชีวิตที่พอดี พอใจก็เป็นสุข

คู่อธิษฐาน (ตอน2): คู่ชีวิตที่ออกแบบเองได้

 

(ต่อ).. จนกระทั่งได้เข้าเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งสมัยก่อนคนเรียนปริญญาโทไม่มากนัก และมอ.เพิ่งเปิดปริญญาโทวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สาขาเดียว เขาต้องให้เรียนภาษาอังกฤษทุกคนก่อน ประมาณ 2-3 เดือนช่วง summer  เอาเป็นว่าวิศวะมาเรียนภาษาอังกฤษร่วมกันกับวิทยาศาสตร์ ก็เลยเจอผู้ชายเกือบหมดที่เรียนวิศวะ และส่วนมากที่เรียนวิทย์ก็เป็นผู้หญิงทั้งนั้น เวลามีกิจกรรมใดๆก็ตาม ที่ต้องใช้แรงก็ไปขอความช่วยเหลือจากหนุ่มวิศวะกัน ในที่สุดก็ได้รู้จักหนุ่มที่ภายหลังสาวๆในรุ่นตั้งชื่อให้ว่า เฒ่าทารก เพราะอายุเกือบมากกว่าเพื่อน แต่หน้าเด็กแถมหัวล้านเพราะเพิ่งสึกก่อนมาเรียน จนใครๆหลงเรียกว่าน้องตั้งนาน (และเป็นยุคกระบี่ไร้เทียมทาน จิวแป๊ะทง) เขาเป็นติวเตอร์ภาษาอังกฤษให้กับกลุ่มด้วยแต่ meepole ค่อนข้างไม่ชอบหน้าคนนี้นัก ขนาดบอกน้องกลุ่มวิทย์ว่าถ้าเขาไปเราก็ไม่ไป (ยังกะหนังน้ำเสียยุคนี้) ใช้เวลานานเป็นปี จึงค่อยๆรู้สึกดีเพราะครั้งหนึ่งช่วง summer ยังไม่มีใครกลับมา เราเลยต้องโทรเลขติดต่อว่ามีใครอยู่ให้ช่วยมารับที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ ปรากฎว่าเป็น เฒ่าทารกที่อุตส่าห์มารับ ก็เลยรู้สึกแปลกใจว่าทั้งๆที่โดนเราแสดงอาการไม่ชอบจนออกนอกหน้า เป็นคนมารับ ทำไมไม่โกรธ เลยเป็นที่มาของการเริ่มสังเกตนิสัยต่างๆ 

 

ปีสองก็เลยเริ่มพูดคุย และการทำงานวิจัยของ meepole เป็น lab อยู่ชั้น 3 ของตึกพรีคลินิก (ผู้หญิงคนเดียวที่เรียน ชีวเคมี) ที่ชั้นล่างของตึกเป็นห้องเก็บศพที่นศ.แพทย์ใช้เรียน anatomy ดังนั้นตึกพรีคลีนิคช่วงค่ำจึงวังเวงยิ่งนัก แม้กระทั่งยามก็ไม่นั่ง มีแต่โต๊ะยามให้เซ็นต์ชื่อเข้าออก เพราะตึกนี้มีเรื่องล่ำลือเยอะ (meepole เองก็เจอ แต่ไม่เล่าในที่นี้เพราะเดี๋ยวจะเป็นเรื่องขนหัวลุกแทนเรื่องโรแมนติก หุ หุ) 

 

ดังนั้นตอนเย็นที่มาทำ lab จนดึกก็จะมีเฒ่าทารกมารับส่งเป็นเพื่อนบ้าง ในที่สุดก็กลายเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิท (ยังไม่เป็นแฟนกัน บังเอิญเหมือนคำตอบของดารายุคนี้) จนกระทั่งปีที่สองไกล้จะจบ ก็พาไปบ้านเพื่อให้ที่บ้านได้ลองพิจารณาว่าโหงวเฮ้งเข้าตาไหม ก่อนจะคบเป็นแฟน(ผ่านหลายด่าน) ปรากฎว่ามีเรื่องทำให้หงุดหงิดทั้งสองฝ่ายคือ meepole และม่าม้า(แม่) เพราะวันที่เราเข้าบ้านก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินสวนออกจากบ้าน แต่เรานึกว่าเขามาซื้อของ(ที่บ้านขายเครื่องเหล็ก ว้สดุก่อสร้าง) พอเข้าบ้านพาไปแนะนำว่าเป็นเพื่อนเรียนด้วยกัน ที่บ้านคงสงสัยทั้งปีทั้งชาติไม่เคยพาใครมาบ้าน แต่ยังไม่พูดอะไร จัดให้เขาพักที่โรงแรมตรงข้ามบ้าน

 

ค่ำนั้นม่าม้าจัดการซักฟอกทันทีว่าคบกันนานหรือยัง ลูกใคร ที่บ้านทำอะไร พ่อแม่เป็นใคร พี่น้องกี่คน ทำงานที่ใหน คบเป็นแฟนหรือยัง ฯลฯ แบบกรอกสำมะโนครัวเลย meepole เองก็แปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับการพาคนมาให้รู้จัก แต่พอม่าม้าถามว่าเราเห็นผู้ชายที่สวนออกไปเมื่อตอนที่เราเข้าบ้านมาไหม และก็บอกว่านั่นเป็นลูกของเพื่อนสนิทมากของแม่และที่บ้านเรามีธุรกิจสวนยางร่วมกัน พ่อเขากับม่าม้าคุยกันว่าจะขอเราไปเป็นสะไภ้ วัยรุ่นอย่าง meepole เวลานั้นหงุดหงิดมาก  เลยถามม่าม้าว่า นายคนนั้นเรียนจบอะไร ทำงานอะไร ถามทุกอย่างที่แม่ถามเราเช่นกัน เมื่อได้คำตอบครบเราก็บอกแม่ว่า ไม่แต่งด้วยแน่นอนเพราะความรู้แตกต่างและเชื่อว่าความคิดหลายอย่างตลอดจนความสนใจคงแตกต่างมาก (มีหลายเหตุผลที่ไม่อาจเขียนในที่นี้ได้เพราะอาจเกิดความเข้าใจที่ไม่ดี และอาจกระทบกระเทือน เพราะบางเรื่องต้องรู้จักและเข้าใจกันจึงเล่าได้)

  meepole เชื่อว่าความแตกต่างของหลายสิ่งในระดับพื้นฐานที่มากไป จะนำมาซึ่งปัญหา และควรต้องวางเป้าประสงค์ของการมีคู่ว่าคืออะไร สำหรับ meepole คือการมีเพื่อนที่สนิท เพื่อนที่ปลอดภัย ไว้ใจได้มากเพิ่มเข้ามาแทน  meepole ไม่ได้เอาฐานะของครอบครัวเป็นตัววัด แต่แม่ดูครบ และ meepole ไม่เคยเชื่อว่าคนรวยแล้วจะไม่โลภ ไม่โกง

  meepole จึงได้ตอบแม่อย่างตรงไปตรงมาว่าเรื่องอื่นๆในชีวิตที่บ้านจัดการให้เกือบหมดในที่ผ่านมา และเราก็ได้ยอมมาหลายเรื่องแล้ว ขอเรื่องคู่ครองเถอะ ขอเลือกเอง ทดสอบเองเพราะเป็นคนที่เราจะใช้ชีวิตด้วยต่อไป ถูกผิดจะรับผิดชอบเอง และให้ที่บ้านเชื่อในกุศลกรรมที่ทุกคนทำมาดีแล้วและสิ่งที่ได้อบรมและสั่งสอนเรามาตลอด จะทำให้เราสามารถเลือกคนที่ดี เข้ามาในครอบครัวเล็กๆของเรา มาสืบทอดกิจการงาน ไม่ทำให้ที่บ้านผิดหวัง ทุกคน OK ยกเว้นแม่ที่ไม่ยอมรับนัก แต่ก็ฟังก๋ง ยาย เลยยังไม่บังคับ (ถึงตรงนี้ที่บ้านรู้ว่าเราตั้งคุณสมบัติคู่ครองเอาไว้ แต่บางส่วนแม่ไม่เห็นด้วย)  จากเรื่องนี้ทำให้ meepole ตัดสินใจ เริ่มตรวจคุณสมบัติของเฒ่าทารกอย่างจริงจังว่าเป็นแฟนได้ไหมจะได้ไม่ต้องถูกชักนำให้รู้จักใครต่อใครให้หงุดหงิดอีก

 จนเรียนจบ ต่างคนแยกย้ายไปทำงาน เขาก็ยังคงติดต่อมาทางโทรศัพท์บ้าน และจดหมายทุกสัปดาห์อย่างสม่ำเสมอ (สมัยก่อนสื่อสารได้เท่านี้) ในที่สุดก็ได้หมั้นและแต่งหลังจากจบแล้วเกือบ 2 ปี (ก๋งและยายพอใจ แม่ยังคงไม่ 100% ตลอดมาเพราะคิดว่าลูกเพื่อนดีกว่า และฐานะเสมอกัน) แต่เราคิดว่าหากเวลาผ่านไปเมื่อแม่เห็นชีวิตเราอยู่อย่างเป็นสุข แม่คงเข้าใจ เพียงเพราะเราไม่ต้องการความร่ำรวย ไม่ต้องการการเข้าสังคมหรูหราในสังคมที่วุ่นวาย ไม่ต้องการการอยู่ในครอบครัวที่ใหญ่หรือมีชื่อเสียงมาก และเราเป็นพุทธมามกะ จึงขอเลือกครอบครัวของคู่ครองที่มีลักษณะสมถะเช่นกัน (ตรงนี้ก่อนจะตกลงเป็นแฟนขอไปบ้านเขาที่กทม.เพราะมีความคิดว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ถ้าครอบครัวเขาอบอุ่น มีชีวิตเรียบง่าย ซื่อตรง ลูกทุกคนดี เขาย่อมดีด้วยเพราะอยู่ในที่บ่มเพาะที่ครบถ้วน ไม่ว่าฐานะจะเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับครอบครัวเรา ก็ย่อมไม่สำคัญ) ฐานะสร้างกันเองได้ แต่คุณธรรม มโนธรรม จิตใจที่ดี อ่อนโยนต้องมีพื้นฐานจากครอบครัวที่ดีจริงๆ และต้องค่อยๆปลูกฝังบ่มเพาะ จะมาสร้างกันภายหลังย่อมเป็นไปได้ยาก เสแสร้งก็ได้ไม่นาน ประเภทเมื่อแรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน อีกไม่นานน้ำตาลก็ไหม้

 

จนบัดนี้เราแต่งงานกันมาได้ครบ 20 ปี ไม่เคยมีปัญหาอะไรให้ผิดหวังเลย แม้ว่าเราไปเรียนต่างประเทศหลายปี ข้ออธิษฐาน 8 ข้ออยู่ในตัวเขาครบ ( เขาจบวิศวะไฟฟ้าคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม เขาเคยอยู่วงดุริยางค์วัดสุทธิฯสมัยเรียนมัธยม เคยเข้าไปเล่นถวายทั้งวงในสวนจิตรลดา และขณะเรียนที่ธรรมศาสตร์ ส่วนเรื่องถ่ายภาพเราเคยประกวดภาพถ่ายของม.สงขลานครินทร์ ชนะได้รางวัล และทางหน่วยงานในมอ.ขอซื้อภาพถ่ายของมหาวิทยาลัยไป 6 ภาพตอนเรียนป.โท) หลังแต่งงานกัน มีความคิดที่แตกต่างบ้างแต่ไม่เคยแตกแยก ปรับด้วยเหตุผล (สมัยเรียนเคยโกรธกันครั้งหนึ่ง แต่เขามาพูดอธิบายว่าโกรธกันทำไม เพราะโกรธแล้วไม่สบายใจ ไม่มีประโยชน์เพราะในที่สุดต้องมาคืนดีกัน ดังนั้นความไม่สบายใจในระหว่างนั้นเกิดไปก็ไม่มีประโยชน์ บั่นทอนตัวเองเปล่าๆ ทำให้คิดได้ แต่ได้ตกลงกันว่าหากมีการไม่เข้าใจกันเกิดขึ้นไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิดให้เขามาขอโทษก่อนเสมอ และหากเรารู้ตัวว่าผิดเราจะขอโทษกลับเอง แต่ส่วนมากเราจะเป็นฝ่ายผิดเสียเองมากกว่าเพราะเอาแต่ใจตัวเอง ปัจจุบันนานมากแล้วไม่มีการงอนเกิดขึ้นเพราะเข้าใจกันแล้วว่า อะไรเป็นเหตุ ดับที่เหตุ จึงไม่เกิดเป็นผลที่มาติดอารมณ์ จนไม่มีอะไรจะต้องงอนกันอีก)  ตอนนี้เริ่มแก่แล้วเลยว่ากันตามเหตุปัจจัย คนไหนงัดเหตุผลมาโน้มน้าว ได้มากกว่าก็ได้ไปในยกนั้น ลับสมองประลองเชาวน์กันตลอด (บอกว่ากลัวเป็นอัลซายเมอร์) อยู่ด้วยความเป็นเพื่อนที่ดี มีธรรมะที่เสมอกัน ครองเรือนด้วยสมชีวิตาธรรม ใช้ชีวิตสมถะอยู่ในสังคมได้แบบไม่ต้องมีตัวตน แต่ทำทุกอย่างให้สังคม ส่วนรวมเท่าที่ทำได้ โดยไม่ต้องแสดงตัวตนให้ต้องวุ่นวาย (การดำรงตนแบบนี้ดี จะได้คนดี ไม่มีเปลือกมาเป็นมิตร ไปใหนก็อิสระสบาย  คนชอบเปลือกจะไม่เข้ามาวุ่นวายเลย แถมอาจจะกลัวเราไปเข้าไกล้เขาด้วยซ้ำ หุ  หุ)

 

เราทั้งคู่ได้ขอบริจาคร่างกายให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่เรารัก และไม่รับกระดูกกลับมาอีก เพราะทุกอย่างอยู่ที่ใจทั้งสิ้น ตายไปเราจะได้ไปเป็นอาจารย์ใหญ่ตั้ง1 ปึ (เพราะชาติมนุษย์ไม่ได้เป็น หุ หุ) เป็นประโยช์ทางการศึกษาต่อไป (ชีวิตเราทุกคนเท่าเทียมกัน ก็เท่านี้เอง แล้วทำไมไม่ช่วยกันเร่งสร้างสมความดี มัวโลภ แก่งแย่ง หลงยึดติดกันไปทำไมนักหนา วางบ้าง จะเบาลง)

 แต่กระนั้นก็มีข้อคิดฝากว่า หากเราได้คนดีเข้ามาในชีวิตแล้ว เราต้องทะนุบำรุงรักษาให้ดี และทำตัวเองให้ดี ให้เหมาะด้วย เพราะสิริย่อมอยู่กับผู้ที่มีสิริเท่านั้น และจิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว จะนำสิ่งที่ดีมาให้เสมอ

  

ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านประสบพบแต่ความสุขในการครองเรือน ตามอัตภาพอันพึงมี ดำเนินชีวิตด้วยการยังประโยชน์และความสุขให้แก่สมาชิกครอบครัว เผื่อแผ่ไปยังสังคมรอบตัวด้วย แล้วชีวิตจะพบสุขที่สงบ และวันหนึ่งอาจไปสู่สุขที่เหนือสุขได้

 

หมายเลขบันทึก: 428248เขียนเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2011 21:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

สวัสดีค่ะ

ครบตามสเปค...อ่านจบด้วยความสุขค่ะ 

สวัสดีค่ะครูคิม

ดีใจจัง เวลาใครอ่านเรื่องราวที่เราเขียน แล้วมีประโยชน์

  • สามารถนำไปใช้ได้/ถ่ายทอดให้เกิดประโยชน์
  • เกิดแนวคิด/มุมมองต่างๆ   และเหนืออื่นใด
  • มีความสุขจากการอ่านเรื่องที่เราบรรจง/พยายามเขียน

meepole ได้เรียนรู้และเปิดมุมมองกว้างออกไปจากเรื่องราวที่ครูคิมเขียน แต่ยังซึมซับได้ไม่หมด แต่จะพยายามค่ะ

 

 

 

ได้อ่านจนจบก็สุขแล้ว  ขอรับพรด้วยความยินดีค่ะ

  • สวัสดีค่ะ
  • อ่านแล้วหวลคิดถึงตังเอง
  • ความรักคือการให้ค่ะ ให้ความรัก ความไว้ใจ ให้ได้แม้ชีวิต
  • เพียงเพื่อเราได้อยู่ดูแลซึ่งกันค่ะ

สวัสดีค่ะ

คุณครูอัมพร

คุณลำดวน

ขอบคุณที่แวะมาค่ะ ไช่ค่ะ รักแท้คือการให้ และจะรู้สึกสุขที่ได้ให้

ให้ไปแล้วไม่ต้องยึดติด เพราะไม่มีรูปธรรมใดที่จะเป็นของเราอย่างแท้จริง

 

สวัสดีค่ะ  คุณยาย

เตรียมสุขสันต์วันอาทิตย์ต่อเลยค่ะ ข้อสอบกองให้ตรวจอยู่ค่ะ

 

สวัสดีครับ อาจารย์ meepole

โรแมนติกสุด ๆ และแทรกคติดี ๆ อีกด้วย ขอบพระคุณสำหรับเรื่องเล่าดี ๆ นะครับ

สวัสดีค่ะ คุณวศิน  โรแมนติกแบบคนโบราณค่ะ :)

คงสอบ final เสร็จแล้วนะคะ

อ่านจบแล้วค่ะพี่หมี

คิดถึงจัง

เขียนได้ดีมากค่ะ  รูปภาพประกอบน่ารักมาก

สวัสดีจ๊ะ Ico48หมี

แค่ได้ทักทายก็ดีใจแล้วจ๊ะ พักผ่อนบ้างนะ

 

สวัสดีค่ะ

Ico48
ขอบคุณที่แวะมาอ่าน ทักทาย เรื่องโรแมนติกยุคโบราณของคนไกล้แก่ค่ะ :)  :)
 
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ

 

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท