กลุ่มนี้อยู่ที่ตำบลวังยาว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี มีเกษตรกรรวมกันทำสิบกว่าราย ได้มีการจัดกระบวนการเรียนรู้เกษตรอินทรีย์เป็นเวลานาน โดยมีโครงการในเรื่องการบ่มเพาะนวัตกรรม ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช โดย อาจารย์บำเพ็ญ เขียวหวาน และคณะ และมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเลขานุการศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล คือ คุณยุทธศิลป์ ทวีสุข เป็นชุดของการทำงานในลักษณะนี้
ซึ่งถ้าวิเคราะห์ตัวกลุ่มแล้วในขณะนี้ก็จะเป็นในเรื่องของการกำหนด ตัวชนิดสินค้าที่จะทำงานเพื่อให้เกิดตัวรายได้ การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับเกษตรกรในเรื่องที่จะพัฒนาเกษตรกรให้รู้จักการคิด ทดสอบในการปฏิบัติ จนถึงขั้นของการค้นหาตัวความรู้ในการทำงาน สิ่งที่พบก็คือ เกษตรกรในกลุ่มนี้ได้พัฒนาจิตสำนึก ได้พัฒนาความคิดความมั่นใจมั่นคงในเรื่องของเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างจะสูงมาก โดยยอมรับและเชื่อมั่นว่า “เกษตรอินทรีย์เป็นวิถีทางที่จะทำให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้” โดยมีคำพูดของเกษตรกรบางคนน่าคิดและน่าตัดสินใจมากว่า “ในอดีตเคยทำในเรื่องเคมีมา...ทำอย่างเต็มที่...ทำอย่างเชิงปริมาณค่อนข้างมาก แต่สิ่งที่พบก็คือว่า...ไม่รวย...แต่ในขณะเดียวกันก็ได้กลับมาทำเกษตรอินทรีย์...ทำอย่างเต็มที่ สิ่งที่ค้นพบมาก็คือว่า...ยังไม่รวย” ฉะนั้น ทั้งเกษตรอินทรีย์และเกษตรเคมี เกษตรกรคนนี้ก็ตอบว่า “ก็ยังไม่รวยอยู่ดี”
ฉะนั้น จึงชวนเขามามองอีกมิติหนึ่งว่า “แล้วเกษตรเคมีนอกจากเราไม่รวยแล้ว...ทำอะไรอีก?...เป็นอะไรอีก?” ก็พบว่า “เขายังมีหนี้อีก” แต่เกษตรอินทรีย์ เมื่อมาคิด มาวิเคราะห์แล้วเขาบอกว่า “หนี้มันไม่มี...หนี้มันน้อยลงอีก” นี่คือมิติที่สอง ส่วนมิติที่สาม นั้นเป็นเรื่องสุขภาพ เขาก็พบว่า “สุขภาพเขาดีขึ้น” อันนี้คือสิ่งที่เป็น “กรอบคิดใหม่ของเกษตรกร" ที่ได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้ว่า...การทำงานในเรื่องเกษตรอินทรีย์นั้น ประการที่ ๑ คือ เรื่องสุขภาพ ๆ เขาจะดีขึ้น ประการที่ ๒ ในเรื่องค่าใช้จ่าย เขาจะมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินในการลงทุนน้อยลง และบทสรุปของกลุ่มก็คือว่า...ในขณะนี้...เขาก็ไม่มีรายได้พอที่จะใช้เพื่อการอย่างอื่น มิได้ใช้เพื่อการยังชีพ เช่น การส่งลูกเรียนก็ตาม การสร้างบ้านพักก็ตาม พูดง่าย ๆ ก็คือ “ไม่มีเงินสด”
ทีนี้ก็มาลองวิเคราะห์ว่า “ตัวสินค้าที่กลุ่มเขาทำอยู่เนี่ย...ซึ่งพยายามทำอินทรีย์ให้ได้...มันเกิดจากอะไร?” ปรากฎว่า...มันก็เกิดมาจากคำว่า “ตลาด” โดยตลาดนำเข้ามาว่า “ตลาดต้องการกินผักคะน้าที่เป็นผักอินทรีย์...ต้องการกินมะเขือที่เป็นอินทรีย์...ต้องการกินผักหลาย ๆ ตัวที่เป็นอินทรีย์” แต่ในขณะเดียวกัน เกษตรกรในขณะนั้นก็ไม่ได้คิดว่า...สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้น...ไม่ว่า...ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า หรือผักอะไรก็ตาม...มันเป็นผักที่ถูกผลิตขึ้นมา หรือถูกค้นหาพันธุ์ขึ้นมา หรือถูกพัฒนาขึ้นมา โดยภายใต้วิธีคิดในเชิงของเกษตรเคมี ฉะนั้น เมื่อมาปรับผักเหล่านั้นให้เป็นเกษตรอินทรีย์...มันจึงเป็นสิ่งที่ยากมาก ทำอย่างไรก็ยาก ยิ่งในระยะเริ่มต้นนั้น...ดินของเราก็ขาดความอุดมสมบูรณ์แล้ว...จะทำให้ผักคะน้ามีความอุดมสมบูรณ์ งดงามเหมือนปลูกในเชิงเคมียิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ฉะนั้น จึงตั้งคำถามกับเกษตรกรใหม่ว่า “ถ้ามันเป็นอย่างนั้นนะ...เราก็อยู่ไม่รอด เพราะเราก็รู้อยู่ว่า...ผักพวกนี้ปลูกในเชิงลักษณะอินทรีย์...อย่างน้อยที่สุดมันก็พยายามเติบโตไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่มีความต้านทานเรื่องโรคแมลง” เลยถามเขาว่า “มันมีผักในบ้านเรามั้ย? ที่เรารู้จักกิน...แต่คนอื่นยังไม่รู้จักกิน...แต่มันสามารถอยู่รอดในระบบธรรมชาติได้?” เกษตรกรก็ตอบว่า “มันมี...มีเยอะด้วย” ซึ่งถ้าจัดอยู่ร่วมกับโครงการการเลี้ยงสัตว์ในเกษตรอินทรีย์ ในบ้านเรามีผักที่จะกินได้อยู่ร่วมกว่า ๕๐ – ๖๐ ชนิด ฉะนั้น จึงบอกว่า “ถ้ามันมีอยู่แล้ว...มีข้อมูลอยู่แล้ว...ลองคิดซิ...มีสักตัวใดตัวหนึ่งมั้ย? ที่เราจะยกขึ้นมาเป็นพืชเศรษฐกิจของบ้านเราว่า...คนทั่วไปกินได้” เราสามารถดึงออกมาจากธรรมชาติ...แล้วก็มาทำในเชิงของการเพาะปลูกได้...ชาวบ้านคนหนึ่งก็ยกตัวอย่างเช่น “ผักกูด...บ้านเรามีเยอะมาก” แล้วก็ถามเขาต่อว่า “เอ๊ะ...แล้วทำไมเราไม่เอาผักกูด...มาเป็นตัวสินค้าเราละ? เพราะมันมีอยู่แล้วในธรรมชาติ” คำตอบก็คือว่า “ผักกูดมันมีแค่ประมาณ ๒ เดือน...หลังจากเมื่อน้ำในลำธารแห้ง...ผักกูดก็จะหายลง ก็จะหายไปเพราะการเจริญเติบโตไม่ได้” ก็ถามต่อว่า “แล้วผักกูดที่ว่า...มันอยู่ในลำธารนั้น...มีคนบ้านเรา...เอามาปลูกที่บ้านเพื่อกินบ้างมั้ย?” คำตอบก็คือ “มี...เพื่อปลูกไว้กิน” ฉะนั้น ก็ถามต่อว่า “งั้น...สรุปแล้ว...ไอ้ผักกูดนี้...นอกจากมันขึ้นในธรรมชาติแล้ว...เราสามารถเอาเข้ามาสู่ระบบการจัดการทางด้านการเกษตรได้มั้ย? อย่างเช่น เรามาปลูกซะ...เรามาดูแลรักษาซะ...เป็นไปได้มั้ย?” คำตอบก็คือ “เป็นไปได้” แล้วจึงถามต่อว่า “แล้วมันยากกว่าผักจีนมั้ย?” ก็บอกว่า “มันง่ายกว่า” ถามว่า “มันง่ายกว่ายังงัย?” ก็ตอบว่า “ผักกูดตัวนี้...ถ้าเกิดว่า...สามารถให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ การให้อินทรีย์วัตถุที่มีความเหมาะสมสมบูรณ์...มันก็ไม่ต้องฉีดยา มันก็จะเจริญเติบโต...สามารถเก็บเกี่ยวได้ทุกวัน” เราก็บอก “สรุปว่า...ผักตัวนี้เป็นไปได้มั้ย? ที่จะเหมาะจะเป็นผักเศรษฐกิจ” คนกินเป็นมั้ย? ก็บอกว่า...คนกินเป็น แล้วก็มีคนอีกคนหนึ่งก็ตอบว่า “มันมีผักอีกตัวหนึ่ง...ผมเป็นคนใต้แถวบ้านผมเรียกว่า...ผักกาดนกเขา...เป็นผักที่คนใต้นิยมกินกันมาก เป็นผักที่ค่อนข้างแพง กิโลหนึ่งประมาณเกือบจะร้อย ๆ บาท...ผักชนิดนี้มันมากลายเป็นวัชพืชในแปลงหน่อไม้ฝรั่ง” แล้วก็ถามว่า “อย่างนี้มันใช่มั้ย? ถ้าเกิดผักที่มันขึ้นอยู่ที่นี่...มันก็ใช่”
ฉะนั้น เราก็จะเห็นได้ว่า “ผักบ้านเรา ๆ เราก็สามารถทำเป็นผักในลักษณะเกษตรอินทรีย์ได้” คนอีกคนก็ถามว่า “แล้วเราจะเอาไปขายที่ไหนกันละ? เพราะผักพวกนี้คนไม่รู้จักว่า...เป็นผักอะไร” คนอีกคนก็ตอบว่า “คนกรุงเทพฯ จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ...คนกรุงเทพฯ มาจากภาคเหนือก็มี มาจากภาคใต้ก็มี มาจากภาคอีสานก็มี...ฉะนั้น ความรู้หรือประสบการณ์ในการกินผักเขาย่อมรู้จักมาจากพื้นที่ เพียงแต่ว่า...ในขณะนี้ในกรุงเทพฯ ไม่มีกินเท่านั้นเอง” สรุปแล้ว กลุ่มนี้ก็เลยตัดสินใจว่า...ฉะนั้น เรามาช่วยกันค้นหาผักพื้นบ้านบ้านเราดีกว่า...แล้วก็มองดูว่า...ผักตัวไหนที่สามารถยกระดับขึ้นมาเป็นผักแบบเศรษฐกิจ แล้วก็สามารถสร้างเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเราว่า...ผักบ้านเรานั้นจะประกอบไปด้วย...ผักกูดนะ ผักนั้นนะ ๆ ๆ ๆ แล้วก็ไปนำขึ้นขายในตลาดในกรุงเทพฯ เพื่อพัฒนาเกษตรอินทรีย์ โดยใช้สิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติกลับมาสู่การเชื่อมด้วยระบบวิธีคิดในเชิงของเศรษฐกิจ...ออกมาเป็น “สินค้าหลัก” ของตำบลวังยาว.
ไม่มีความเห็น