ปาฐกถา บทบาทผู้มีการศึกษาในยุคบรรษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ครอบครองโลก โดยวิทยากรเชียงกูล


อ่านแล้วรู้สึกดีจึงขอนำมาแบ่งปัน
เพื่อการศึกษาตลอดชีวิต และสังคม
การเรียนรู้ตลอดชีวิต

สถานการณ์โลก

โลกในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด หลังจากที่การทดลอง สร้างสังคมนิยมของหลายประเทศเช่น โซเวียตรุสเซีย ยุโรปตะวันออกล้มเหลว โลกได้ก้าวสู่ยุคหลังสงครามเย็นซึ่งเป็นโลกยุคเผด็จการทุนนิยมที่ซ่อนรูปและ หลอกลวงได้แนบเนียนยิ่งกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา

โลกทุนนิยมสมัยใหม่เป็นเผด็จการในแง่ของการผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจ และทางสื่อสารมวลชนของบรรษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ และประเทศทุนนิยมศูนย์กลางเพียงไม่กี่บรรษัท บรรษัทข้ามชาติหลายแห่งมียอดขายสินค้าและบริการสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทยด้วยซ้ำ

 

บรรษัทข้ามชาติมีทั้งอำนาจ ผลประโยชน์ และมนต์ขลังที่ทำให้รัฐบาลประเทศส่วนใหญ่ในโลกโดยเฉพาะรัฐบาลไทย ต้องเปิดเสรีด้านการลงทุนและการค้าให้บรรษัทข้ามชาติเข้ามกอบโกยล้างผลาญทรัพยากรครอบงำวิถีชีวิต หรือแม้แต่การคิดของคนไทย โดยที่คนไทยซึ่งมองฝรั่งในแง่ดีเพราะไม่เคยเป็นเมืองขึ้น มักไม่รู้ตัว และคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายได้ประโยชน์จากการเปิดการลงทุนและการค้าเสรีในแง่ที่ว่าทำให้ประชาชนได้มีโอกาสบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ อย่างหลากหลายและตื่นตาตื่นใจในราคาที่คนฐานะปานกลางโดยทั่วไปสามารถซื้อหาได้

ประชาชนส่วนใหญ่ถูกนักการเมือง นักวิชาการ และสื่อบอกเล่าซ้ำซากทำให้เชื่อว่าเรากำลังอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์ หรือโลกของความก้าวหน้าสมัยใหม่ที่ทำให้พวกเรามีสิทธิเสรีภาพที่จะได้บริโภคสินค้าและบริการด้วยความสะดวกสบายรวดเร็ว อย่างชนิดที่คนรุ่นพ่อแม่ของเราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ขณะที่คนงานที่มาจากชนบทตื่นเต้นกับห้างสรรพสินค้า และสถานบันเทิงต่างๆในเมืองใหญ่ คนชั้นกลางก็คิดว่าเราช่างโชคดี ที่สามารถกดปุ่มเพื่อชมข่าวสารจาก CNN ดูหนังจาก HBO ซีนีแมกซ์ วอเนอร์บราเธอร์ และอื่นๆ  รวมทั้งอ่านหนังสือพิมพ์ TIME FORTUNE และอื่นๆ ได้อย่างหลากหลายและสะดวกสบายมาก โดยที่เราไม่ค่อยรู้ตัวว่าในบรรดาชื่อทั้งหมดนี้ และยังมีสื่อชื่ออื่นๆอีก ล้วนเป็นทรัพย์สินของบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงบริษัทเดียว คือ TIME WARNER

 เมื่อพิจารณาถึงสื่อของโลกทั้งโลกในปัจจุบัน เราจะพบว่าบริการสื่อสารมวลชน 70% ของทั้งโลกเป็นเจ้าของและบริหารโดยบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ เพียง 8 บริษัทเท่านั้น ( คือ TIME WARNER, DISNEY, FOX NEWS, VIACOM, JEAGRAM, GENERAL, ELECTIC, SONY และ BERTELJMANN) สื่อที่เราได้ฟังและได้เห็นร้อยพันสื่อที่ดูหลากหลายนั้นแท้จริงเป็นแค่ภาพลวงตา

จริง ๆแล้วประชากรส่วนใหญ่ของโลก ในประเทศที่รัฐบาลเปิดเสรีการลงทุนและการค้า ล้วนถูกครอบงำโดยคนตะวันตกเพียงกลุ่มเดียว พวกเขามีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว คือ ทำอย่างไรจะหากำไรจากผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้ป้อนข้อมูลข่าวสาร ศิลปวัฒนธรรมให้ประชาชนทั่วโลกทางโทรทัศน์ การโฆษณาสินค้าและสื่ออื่นๆ เท่านั้น พวกเขายังเป็นผู้กำหนดว่า เราควรจะคิด ควรมีค่านิยมอย่างไรด้วย

ประเด็นสำคัญที่พวกเขาทำให้พวกเราคิดและเชื่อตามวัฒนธรรมของพวกบรรษัทยักษ์ใหญ่โดยไม่รู้ตัว คือ การที่พวกเขากล่อมเกลาให้พวกเราคิดและมีค่านิยมว่า คุณค่าที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือ การหาเงินมาเพื่อจับจ่าย ได้บริโภคสินค้าและบริการตามแบบตะวันตกให้ได้มากที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะทำได้ ใครที่ทำไม่ได้หรือทำได้น้อย เป็นพวกที่ล้มเหลวหรือล้าหลัง

ทั้งที่ความเป็นจริง โลกทุนนิยมกวาดต้อนให้ประชาชนยุคปัจจุบันต้องทำงานหนัก มีความเครียด  และมีความทุกข์มากกว่าคนรุ่นปู่ย่าตาทวดของเรา เราถูกหลอกให้เชื่อว่า ถ้าเราหาเงินได้มากขึ้น เราจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ สื่อสมัยใหม่โดยเฉพาะภาพยนตร์ที่เคลื่อนไหวได้มีมนต์สะกดที่ทำให้เราคิดว่าเรากำลังเสพข่าวสารความบันเทิงแบบบริสุทธิ์ สนุกสนาน โดยที่เราไม่ทันรู้ตัวว่าเรากำลังถูกครอบงำล้างสมองทีละน้อย

และเนื่องจากคนส่วนใหญ่ทั้งโลกหรือทั้งประเทศคิดและทำเหมือนๆกัน เราจึงมักเชื่อว่าสิ่งที่เราถูกกล่อมเกลาชักนำให้คิดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกมากกว่าจะตั้งข้อสงสัย ทั้งๆที่ธรรมชาติ สภาพแวดล้อม วัฒนธรรมดั้งเดิมของเราถูกทำลายให้เห็นๆ โลกร้อนขึ้น น้ำท่วม ภัยแล้ง ภัยพิบัติทางธรรมชาติเพิ่มขึ้น อากาศ น้ำ อาหาร เป็นพิษมากขึ้น วัฒนธรรมเอื้อเฟื้ออยู่ร่วมกันอย่างเป็นสันติ เปลี่ยนเป็นการแก่งแย่งแข่งขัน การเอาเปรียบ การฉ้อโกงอาชญากรรมและความรุนแรงรูปแบบต่างๆมากขึ้น และชีวิตเราเคร่งเครียด ซึมเศร้า หดหู่มากขึ้น

ในยุคปัจจุบันที่สื่อในประเทศของเราถูกครอบงำโดยบริษัทขนาดใหญ่และโดยรัฐบาล ที่คิดแบบเดียวกับพวกนายทุนข้ามชาติ ประเทศเราต้องการผู้มีการศึกษาและผู้นำที่มีจิตใจรักความถูกต้องและความยุติธรรม ผู้สนใจติดตามวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจการเมืองที่ซับซ้อนได้วิพากษ์วิจารณ์และมีจิตสำนึกที่หาทางออกเพื่อส่วนรวม เราจึงจะสามารถฝ่าฟันแหวกวงล้อม หรือกับดักของบริษัทนายทุนข้ามชาติยักษ์ใหญ่ ที่เข้ามาครอบงำประชาชนส่วนใหญ่อย่างแนบเนียนโดยใส่หน้ากากสวยๆว่า โลกาภิวัตน์บ้าง ความเจริญเติบโตเศรษฐกิจบ้าง ความก้าวหน้าทันสมัยบ้าง

หากผู้มีการศึกษาและผู้นำทางสังคม เช่น นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักวิชาการ นักวิชาชีพ ในยุคปัจจุบันไม่ได้ยึดกุมหลักการของผู้มีจรรยาบรรณ ในการแสวงหาและเผยแพร่ความจริงและความงามที่แท้ไว้ให้มันเหมือนอย่างศรีบูรพาและคณะของพวกเขา นักเขียน นักหนังสือพิมพ์และชนชั้นกลางผู้มีการศึกษาอื่นๆ ในยุคปัจจุบันก็จะกลายเป็นเพียงพนักงานโฆษณาชวนเชื่อของบรรษัทนายทุนข้ามชาติโดยไม่รู้ตัว

สถานการณ์ในประเทศ

ในทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยเป็นประเทศทุนนิยมผูกขาดที่ด้อยพัฒนาและเป็นบริวารของประเทศทุนนิยมอุตสาหกรรม บวกกับการที่รัฐบาลทุกรัฐบาลมีนโยบายพัฒนาประเทศแบบส่งเสริมให้ทุนต่างชาติและทุนขนาดใหญ่ได้ลงทุน และทำการค้าเสรี ทำให้มีการพัฒนาประเทศระบบเพื่อการส่งออก มีการถลุงทรัพยากร กดขี่แรงงาน เศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะอุตสาหกรรม การค้าและบริการเติบโต แต่กระจายถึงประชาชนกลุ่มต่างๆอย่างไม่เป็นธรรม ธรรมชาติสภาพแวดล้อมถูกทำลายอย่างมากและอย่างรวดเร็ว ประชาชนยากจน เป็นหนี้ และพึ่งพาระบบนายทุนแบบเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาโดยตลอดมากขึ้น

ในทางการเมือง โครงสร้างและวัฒนธรรมการเมืองของประเทศไทยเป็นแบบอำนาจนิยม เจ้าขุนมูลนาย และระบบอุปถัมภ์ และระบบการศึกษาเป็นแบบอำนาจนิยมและสอนให้ผู้เรียนท่องจำอย่างล้าหลัง ทำให้ไม่มีประชาธิปไตยในครอบครัว สถาบันการศึกษา ที่ทำงาน และชุมชน และมีการพัฒนาประชาธิปไตยทางการเมืองแค่รูปแบบ เช่น การเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนและองค์กรบริหารท้องถิ่น แต่ไม่มีการพัฒนาประชาธิปไตยในแง่เนื้อหาสาระ เช่นการที่ประชาชนตระหนักและมีโอกาสเข้าถึงสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ สังคม สามารถตรวจสอบดูแลถอดถอนผู้แทน เสนอแก้ไขกฎหมายได้ ฯลฯ ที่เป็นหลักการของประชาธิปไตย  หรือการปกครองโดยประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง

รัฐบาลทักษิณที่เป็นตัวแทนนายทุนใหญ่ ที่เก่งในเรื่องการตลาด การหมุนเงิน รวมทั้งการรวบรวมเครือข่ายนักธุรกิจการเมืองประเภทเจ้าพ่อผู้อุปถัมภ์ในท้องถิ่น สามารถสร้างความนิยมในหมู่คนยากจนได้มาก และพาประเทศไปสู่การพัฒนาแบบทุนนิยมเพื่อบริโภคอย่างสุดโต่ง ทุจริตและหาผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างมหาศาล จนผู้มีการศึกษาและประชาชนผู้ตื่นตัวพากันประท้วง และคณะนายทหารฝ่ายอำนาจนิยม/จารีตนิยม ๆได้ถือโอกาสยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลระบอบทักษิณลง

แต่กลุ่มผู้ปกครองใหม่ที่มาจากทหาร/ขุนนาง ก็ขาดสติปัญญาความรู้ความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมที่รัฐบาลชุดก่อนๆก่อเอาไว้ และไม่สามารถแม้แต่จะวางพื้นฐานเพื่อการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริง ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขา (รวมทั้งข้าราชการชั้นสูง ซึ่งอยู่ในอำนาจมาตลอดไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล) อยู่ในชนชั้นที่ได้เปรียบ มีชีวิตที่สะดวกสบายกับระบบเดิม มีทัศนะค่านิยมที่สอดคล้องหรือไม่ ขัดแย้งกับแนวทางการพัฒนาแบบทุนนิยมอุตสาหกรรม พวกเขามองเห็นปัญหาในยุคทักษิณแบบแยกส่วนว่าเป็นปัญหาแค่ตัวบุคคล มากกว่าจะเห็นปัญหาในเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบองค์รวมทั้งหมด

เราจะไปทางไหนกัน

ในสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ปกครอง/นายทุน/ขุนนางส่วนน้อยมีอำนาจครอบงำทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน ได้รับการศึกษาและข้อมูลข่าวสารที่มีคุณภาพต่ำ เป็นหน้าที่ของผู้มีการศึกษาที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารเชิงวิพากษ์และตื่นตัวทางการเมือง ที่จะต้องช่วยกันศึกษาและเผยแพร่ความรู้ที่แท้จริงให้เกิดการปฏิรูปการเมือง ซึ่งควรรวมทั้งการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ  สังคมที่จะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งแนวทางการพัฒนาแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมผูกขาด และการฝากความหวังไว้กับชนชั้นสูง กลุ่มอำนาจนิยม/จารีตนิยมนั้น ไม่อาจทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีสิทธิประชาธิปไตยและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาได้

ประชาชนต้องแสวงหาความรู้จักตั้งองค์กรเพื่อสร้างแนวทางเลือกใหม่ที่มุ่งพัฒนาประชาธิปไตยทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมด้วยตัวเอง ไม่อาจหวังพึ่งอัศวินม้าดำหรือม้าขาวที่ไหนได้

แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นประชาธิปไตย คือ ต้องสร้างระบบสหกรณ์ทุกรูปแบบอย่างกว้างขวางมาแทนที่ระบบทุนนิยมผูกขาด สหกรณ์ในที่นี้ใช้ในความหมายกว้าง หมายถึง องค์กรทางเศรษฐกิจสังคมแบบช่วยเหลือกันและกันของประชาชนกลุ่มต่างๆที่อาจใช้ชื่ออื่น เช่น กลุ่มออมทรัพย์ เครดิตยูเนียน ธนาคารข้าว ธนาคารควาย ฯลฯ ไม่ใช่แค่สหกรณ์ 6 ประเภทตามกฎหมายสหกรณ์ที่อยู่ภายใต้กระทรวงเกษตรฯ นี้เท่านั้น

สหกรณ์เป็นองค์กรที่จัดตั้งทางเศรษฐกิจแบบประชาชนกลุ่มหนึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหารที่ตัดพ่อค้าคนกลางออกไป ทำให้ผู้ผลิตผู้บริโภคเป็นเจ้าของร่วมกัน ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ขบวนการสหกรณ์มีการพัฒนาเจริญเติบโตทั้งในสหรัฐฯ แคนาดา ยุโรป ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ หลายประเทศในละตินอเมริกาและที่อื่นๆ  จนมีสัดส่วนที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ มีทั้งสหกรณ์ผู้ผลิตหรือสหกรณ์ที่คนงานเป็นเจ้าของในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม สหกรณ์ออมทรัพย์ซึ่งพัฒนาเป็นธนาคาร สหกรณ์การประกันภัย การขน ส่ง สหกรณ์ผู้บริโภคหรือการค้าส่งและค้าปลีก สหกรณ์การบริการต่างๆ รวมทั้งสหกรณ์สาธารณูปโภค เช่น การประปา ไฟฟ้า

สหกรณ์เหล่านี้หลายแห่งพัฒนาเป็นชุมชนสหกรณ์ ขนาดหนึ่งในร้อยของบรรษัทที่ยอดขายสูงที่สุดในโลก ที่มีเครือข่ายกว้างขวางและเป็นองค์กรธุรกิจที่เป็นอิสระและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง สหกรณ์ขนาดกลางขนาดย่อมหลายแห่งในหลายประเทศทำได้ดีกว่าทั้งรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจแบบเดียวกัน

สหกรณ์นอกจากจะลดการเอาเปรียบของระบบนายทุน พ่อค้าคนกลางแล้ว ยังเป็นประชาธิปไตยมากกว่าระบบทุนนิยมในแง่ที่ว่า สมาชิกทุกคนมีหนึ่งเสียงเท่ากัน ไม่ใช่ว่าใครถือหุ้นมากออกเสียงได้มากแบบทุนนิยม  ถ้าเราส่งเสริมสหกรณ์ให้เติบโตได้ในทุกสาขาเศรษฐกิจ สหกรณ์จะเป็นระบบประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบทุนนิยมและสังคมนิยมแบบวางแผนจากส่วนกลาง ระบบสหกรณ์จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำต่ำสูงและปัญหาเศรษฐกิจ สังคม อื่นๆ ได้อย่างถึงรากโคนมากกว่าระบบทุนนิยม

แนวทางพัฒนาทางสังคมให้เป็นประชาธิปไตย คือ ต้องปฏิรูปการจัดการศึกษา สื่อมวลชนในด้านเนื้อหาวิธีการในการให้ความรู้ ข้อมูลข่าวสารในเชิงวิเคราะห์ ที่จะทำให้นักเรียน นักศึกษา ประชาชน รู้จักคิดเป็นตัวของตัวเอง ให้รู้เท่าทันชนชั้นปกครองและปฏิรูปเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี ฉลาด การสาธารณสุข การประกันสังคม และสวัสดิการสังคมให้ประชาชนรับบริการอย่างทั่วถึง และส่งเสริมจัดตั้งองค์กรประชาชนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกิจกรรมทางสังคมด้วยตนเองมากขึ้น

แนวทางการพัฒนาการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย คือ ต้องผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญที่ก้าวหน้า การปฏิรูปโครงสร้างการเมืองและสังคมที่จะเอื้อให้ประชาชนมีสิทธิและอำนาจทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติมากขึ้น เช่น มีสภาหมู่บ้าน สภาชุมชน สภาประชาชนระดับประเทศ องค์กรประชาชนและองค์กรอิสระเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชนในด้านต่างๆ เช่น สิทธิป่าชุมชน และการจัดการทรัพยากรของชุมชน สิทธิผู้บริโภค สิทธิการจัดตั้งสหภาพแรงงานและสหกรณ์โดยเป็นอิสระจากหน่วยงานรัฐ ประชาชนมีสิทธิในการคัดค้านถอดถอนผู้แทน เสนอเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายต่างๆ รวมทั้งรัฐธรรมนูญโดยตรง

เราควรทำอะไร

นักข่าวหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งถามผมว่า ในยุคที่ประเทศไทยของเรา ถูกครอบงำโดยระบอบทักษิณและกลุ่มคนที่คิดไม่ต่างจากทักษิณ พวกเขาที่เป็นคนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงและเป็นเพียงลูกจ้างบริษัทนายทุนจะทำอะไรได้บ้าง ผมคิดว่าการที่พวกเราหลายคนมักจะมองว่าเราเป็นคนเล็กๆ ที่ทำอะไรไม่ได้ในโลกที่ครอบงำโดยบรรษัทยักษ์ใหญ่ คือ การแบ่งแยกและปกครองของระบบทุนนิยมโลกที่พยายามกล่อมเกลาให้พวกเราคิดคล้อยตามแบบยอมจำนนไปอย่างไม่รู้ตัว

เมื่อเรากลับไปอ่านประวัติศาสตร์ เรามักคิดว่า ศรีบูรพาและเพื่อนๆของเขาคือคนที่ยิ่งใหญ่ที่มีพลังที่มหาศาลกว่าคนอย่างพวกเรามาก ในยุคที่ศรีบูรพาและคณะยังเป็นคนหนุ่มสาวนั้น พวกเขาก็คือนักเขียน นักหนังสือพิมพ์เล็กๆ ซึ่งเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยที่กำลังต่อสู้กับสิ่งที่ใหญ่โตกว่าพวกเขามากเช่นเดียวกัน

สิ่งที่ทำให้ศรีบูรพาและเพื่อนๆของเขายิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพราะตอนนั้นพวกเขาเป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว เพราะสังคมไทยวิวัฒนาการมาจากระบอบอำนาจนิยมที่ไม่ค่อยยกย่องนักเขียน นักหนังสือพิมพ์มาแต่ไหนแต่ไร แต่สิ่งที่ทำให้ศรีบูรพายิ่งใหญ่ต่อมาในสายตาของคนรุ่นหลังอย่างพวกเรา ก็คือ การที่ศรีบูรพาและเพื่อนๆของเขากล้าคิด กล้าเผยแพร่ กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรมของพวกเขาต่างหาก

นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ปัญญาชน ผู้มีการศึกษาในยุคปัจจุบันมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือ จะเลือกทำตัวตามกระแสของทุนนิยมโลก เป็นพนักงานธุรการ พนักงานโฆษณาชวนเชื่อที่ดีของบรรษัทและปรับตัวให้เข้ากับระบบทุนนิยมผูกขาดที่โหดร้าย หรือจะเลือกเป็นคนที่ต้องการรักษาศักดิ์ศรีต้องการแสวงหาความหมายในชีวิตและสังคม ยิ่งกว่าการเป็นผู้เสพติดการบริโภคสินค้าและบริการของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม หลังจากการทดลองสังคมนิยมล้มเหลว นักการเมืองและนักวิชาการของโลกทุนนิยมพยายามป่าวร้องว่า เราไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่อีกแล้ว นอกจากต้องเดินไปตามกระแสทุนนิยมโลก ถ้าไม่เปิดเสรีเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกับคนอื่น เราก็จะถูกทิ้งให้ล้าหลัง

แต่ความจริงก็คือ ประชาชนในหลายประเทศเลือกการพัฒนาทางอื่น เช่น ระบบสหกรณ์ สังคมนิยมประชาธิปไตย การพัฒนาแนวอนุรักษ์ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน การเน้นความสุขของประชาชนมากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม ทางเลือกเหล่านี้ ประชาชนฝ่ายก้าวหน้าทั้งในยุโรป ละตินอเมริกา เอเชีย และที่อื่นๆ ได้พัฒนาไปได้มากพอสมควร ในประเทศไทยก็มีกล่าวถึงเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพึ่งตนเอง พึ่งตลาดภายในประเทศเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้น เพียงแต่ยังเป็นการพูดลอยๆมากกว่า เรายังไม่ได้มีการวิเคราะห์และพัฒนาให้เป็นระบบเศรษฐกิจทางเลือกใหม่อย่างจริงจัง

คนหนุ่มสาวทั้งหลาย ความเป็นหนุ่มสาวไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับความคิดจิตใจด้วย ถ้าคุณเลือกอย่างแรก คือ เลือกอยู่กับพวกชนชั้นนำที่ยึดมั่นของเก่า ยึดมั่นกับกระแสหลักของสังคมที่ครอบงำโดยนายทุน บงการโดยนายทุนและผู้มีอำนาจ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงเพื่อชีวิตและโลกที่ดีกว่า พวกคุณก็จะแก่ตั้งแต่ยุยังน้อย แก่ในทางความคิดค่านิยมโดยที่ไม่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตเพื่อการต่อสู้อย่างแท้จริง ยิ่งกว่าคนที่อายุมากกว่าพวกคุณ แต่จิตใจของพวกเขายังหนุ่มสาว ยังไม่ยอมจำนน ยังต่อสู้แบบกัดไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมละทิ้งหลักการที่สำคัญ เช่น ประชาธิปไตย ความเป็นธรรม และความร่วมมือกันเป็นกลุ่มๆ

คนหนุ่มสาวทั้งหลาย อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันๆ และคุณต้องมาเสียใจภายหลังว่า คุณแทบไม่ได้ใช้ชีวิตอย่าแท้จริงเลย  เพราะชีวิตที่ไม่มีการต่อสู้เพื่อส่วนรวม ชีวิตที่มีแต่การประนีประนอม เอาตัวรอดส่วนตัวในระยะสั้นๆ  เป็นชีวิตที่ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่คุ้มกับการมีชีวิตในโลกที่มีพลังและมีโอกาสการเปลี่ยนแปลงที่มหาศาล

ผมจะขอจบปาฐกถานี้ด้วยการยกคำคมของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นการเตือนผู้มีการศึกษาทุกคน รวมทั้งคนแบบคุณทักษิณ คุณสมคิดและคนอื่นๆ ไว้อย่างน่าคิดให้ลึกดังนี้

“ใครที่ได้รับการศึกษาให้มีความรู้พิเศษ
จะต้องพัฒนาความตระหนักว่าอะไรสวยงาม
และอะไรดีในแง่ศีลธรรมอย่างกระตือรือร้นควบคู่กันไป
เพราะถ้าขาดความตระหนักใน 2 เรื่องนี้
เขาจะเป็นได้แค่หมาที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี
แทนที่จะเป็นมนุษย์ที่ได้รับการพัฒนา
อย่างประสานกลมกลืนไปกับโลก”
http://witayakornclub.wordpress.com/2010/11/21/w112010/

 

ตกลงทั้งคำถามและคำตอบต่าง ๆล้วนแต่ตอบอยู่ในบทความนี้หมดแล้ว

หมายเลขบันทึก: 414679เขียนเมื่อ 18 ธันวาคม 2010 21:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 17:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
  • มาอ่านบ้างค่ะ
  • แต่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น

"ฉันเยาว์ ฉันเหงา ฉันทึ่ง

ฉันจึง มาหา ความหมาย

ฉันหวัง เอาไว้ ตั้งมากมาย

สุดท้าย ให้กระดาษ ฉันแผ่นเดียว"

สามสิบกว่าปียังจำได้ดี ...วิทยากร เชียงกูร

ขอบคุณครูภาทิพ
- ผมว่าไม่สำคัญว่าท่านวิทยากรว่าอย่างไร ท่านภาทิพ ว่าอย่างไรนั่นแหละเป็นการเรียนรู้
ขอบคุณ วอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei 
- ผมว่าท่านวิทยากรก็เอาใบแผ่นเดียวนี่ไปสมัครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย คณบดี
สิ่งสำคัญคืองานที่ท่านทำที่เป็น post education มีคุณประโยชน์ต่อประเทศไทยมากเลยครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท