วันนี้มีโอกาสได้เข้าอบรมเกี่ยวกับการใช้เวบ Gotoknow อย่างเป็นทางการ แม้จะเข้าในฐานะผู้ช่วยวิทยากร แต่ก็ถือว่าเป็นการได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเพิ่มเติมทีเดียว
ทำให้เราได้ค้นพบว่า.. ถ้าเราจะเรียนรู้อะไรก็ตาม.. หากเรามีโอกาสได้สอนคนอื่นๆในสิ่งๆนั้น มันจะทำให้เรายิ่งบังเกิดความรู้ที่ชัดขึ้นและลึกขึ้นในใจของเรา
โดยเฉพาะ.. มันจะเป็นโอกาสให้เราได้รู้ ในสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเรา "ไม่รู้" จากสิ่งที่คนอื่นถาม แล้วได้มีโอกาสที่จะค้นหาคำตอบ เพื่อที่จะรู้ในสิ่งนั้น !
หลายวัน (หรือหลายสัปดาห์) มานี้ เข้ามาเป็นสมาชิกของ Gotoknow แบบครึ่งตัวอยู่ กล่าวคือ ยังผลุบๆโผล่ๆ เหมือนครึ่งสมาชิกครึ่งผู้เยี่ยมชม การเขียนบันทึกก็ยังเขียนแบบสะเปะสะปะ เขียนเพื่อมุ่งศึกษาการใช้งานระบบ ว่าระบบของที่นี่เขาใช้งานอย่างไร มีอะไรบ้าง และคนอื่นเขาเขียนอะไรกันอย่างไร มากกว่าที่จะเขียนเพื่อจัดระบบข้อมูลการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ผลจากการลองผิดลองถูกไปเรื่อย จนได้บันทึกมาหลายบันทึก ยิ่งเขียนก็ยิ่งพบเจอเทคนิค การใช้งานต่างๆเพิ่มเติม จนรู้สึกชื่นชมผู้พัฒนาเวบไซต์ Gotoknow ว่าทำออกมาได้ยอดเยี่ยมน่าใช้งาน มีลูกเล่นต่างๆน่าใช้งานมาก
หากเปรียบกับนิยายจีนกำลังภายใน ก็ต้องขอใช้คำว่า "เป็นสุดยอดวิชาที่ลึกล้ำพิสดาร..เลื่อมใสๆ" จริงๆ
แต่คนเรา..บางทีความต้องการมันไม่ค่อยมีที่สิ้นสุดเนอะ มีของดีแล้วก็ยังอดคิดต่อยอดอยากจะมีเพิ่มอีกไม่ได้ คือนึกอยู่ในใจนะ (หวังว่าคงไม่มีใครได้ยิน).. .ถ้ามีระบบส่งข้อความส่วนตัวระหว่างสมาชิกด้วย ก็คงจะยิ่งวิเศษสุดยอดไปเลย แบบประมาณข้อความลับส่วนตัว ที่ส่งถึงกันโดยที่บุคคลที่สามไม่เห็นข้อความเหล่านั้น เพราะในบางครั้ง.. ก็อยากจะส่งข้อความทักทาย หรือถามคำถามที่ส่วนตัวๆ กับสมาชิกอีกคน แบบที่ ถ้าหากมีใครฝากข้อความ หรือคำทักทายอะไรไว้ พอล็อคอินเข้าระบบ มันก็จะมีป๊อบอัปดีดขึ้นมาว่า คุณมีข้อความส่วนตัวส่งมาหาเก็บไว้อยู่ใน inbox กี่ข้อความ จากนั้นเราก็สามารถคลิกเข้าไปอ่าน ว่าใครส่งมาให้ เป็นต้น
( เอ่อ.. พอก่อนดีกว่า รู้สึกว่าชักอยากได้มากไปแล้ว เดี๋ยวอาจารย์จันทวรรณจะค้อนเอา ^^')
มาพูดถึงการอบรมในวันนี้ก่อนดีกว่า ^______^
หลังจากได้ลองผิดลองถูก หัดอ่าน หัดเขียนบันทึกเพื่อเข้าไปฝึกการใช้งานระบบของเวบ Gotoknow ในตอนแรกก็ยังรู้สึกงงๆหลายส่วน คิดว่าสิ่งที่ทำให้งงที่สุด คงเป็นคำศัพท์ภาษาของเวบ Gotoknow ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ป้าย คำว่า แพลนเนต แผงควบคุม ศูนย์รวมข้อมูล ฯลฯ เพราะมันเป็นศัพท์ที่ไม่ค่อยเจอในเวบอื่นๆ เมื่อยังงงกับชื่อ จึงทำให้หาอะไรไม่ค่อยเจอ ว่าเมื่อจะทำอะไร จะต้องเข้าไปในเมนูไหน
แต่สุดท้าย.. ความงงก็ได้รับการบรรเทารักษา.. เมื่อเรามีโอกาสได้สอนคนอื่น เกี่ยวกับการใช้บล็อกใน Gotoknow เป็นการสอนแบบไม่ได้ตั้งตัวเลย ไม่ได้เตรียมข้อมูล เช่น เมื่อไปช่วยดูเครื่องคอมที่บ้านพักให้พี่ที่วอร์ดคนหนึ่ง เนื่องจากเข้าอินเตอร์เนตไม่ได้ แล้วพี่อีกคน (ก็แฟนของพี่คนนั้น) ก็ขอให้ช่วยแนะนำการเข้าไปสร้างบันทึก การใส่รูป การตบแต่งบล็อก
ในบางเรื่องที่เขาถาม เขาขอให้ช่วยสอน เราเองก็ยังไม่เคยรู้มาก่อน หรือไม่ก็ยังไม่มีความชำนาญนัก แต่แล้วคำถามของผู้ขอเรียน เปรียบเหมือนจุดหมาย หรือเป้าหมาย ที่จะกระตุ้นให้เราต้องก้าวไปให้ถึง ต้องค้นหาหนทาง เปิดประตูสู่คำตอบนั้นๆให้ได้ แล้วสิ่งนี้เอง..ที่ทำให้เรา เกิดการค้นพบ เกิดแสงสว่างขึ้นในใจ จุดการเรียนรู้ในสิ่งนั้นๆให้ขึ้นในตัวเรา
เมื่อได้สอนคนที่หนึ่ง..คนที่สอง.. คนที่สาม.. กระบวนการความคิดของเราจะเกิดการพัฒนาขึ้น ว่าจะสอน จะเปรียบเทียบ จะพูดอย่างไร ให้อีกฝ่ายฟังเข้าใจง่ายขึ้น เพราะระหว่างเราสอน..กระบวนการคิดของเราจะเกิดการพัฒนา ให้เราเข้าใจได้เข้าใจสิ่งนั้นยิ่งขึ้น และทำให้ในใจของเรายิ่งบังเกิดภาพของสิ่งๆนั้นชัดขึ้น เมื่อเราเข้าใจมันชัดขึ้น เราก็จะถ่ายทอดให้คนอื่นได้ง่ายขึ้น
อย่างเช่นในวันนี้..หลังจากผ่านการอบรม มีพี่ทำมาเข้าอบรม ถามคำถามหลายคำถามที่เราเคยงงๆมาก่อนช่วงที่เข้าเวบ Gotoknow ใหม่ๆ เช่น
- ป้ายคืออะไร ?
- ป้ายเนี่ยมันต่างกับชื่อบล็อกอย่างไร ?
- แพลนเนตคืออะไร ?
- แล้วแพลนเนตมันต่างกับบันทึกตรงไหน ?
เมื่อเราได้รับคำถาม ในสมองเราก็ต้องใช้ความคิดอย่างรวดเร็วว่า เราจะใช้คำพูดอย่างไรที่ง่ายที่สุด ที่ทำให้เขาเข้าใจและเห็นภาพในคำตอบนั้น .. อย่างน้อยๆ ก็เข้าใจอย่างที่เราเข้าใจ เห็นภาพอย่างที่เรากำลังมีอยู่ในใจ
ในวันนี้เราจึงใช้คำพูดที่เปรียบเทียบแนะนำเขาไปอย่างนี้ (คราวนี้ก็คงได้ทราบกันล่ะนะ ว่าสิ่งที่เราเข้าใจนั้นถูกต้องหรือเปล่า).. ถ้าหากว่าตรงไหนผิดพลาด พี่โอ๋ ขา พี่เม่ย ขา (หากว่าได้เข้ามาอ่านนะ.. หรือท่านอื่นๆก็ได้) ...
ได้โปรดช่วยชี้แนะแก้ไขให้ด้วยนะคะ
เราอยากเปรียบบล็อก เหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง หรือสมุดไดอารี่ หรือสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง
แล้วก็เช่นเดียวกัน ...รายละเอียดของแพลนเนต คือคำอธิบาย หรือคำจำกัดความสั้นๆ ที่เราเขียนแปะไว้ข้างตู้ ว่านั่นคือตู้หนังสือ เก็บหนังสือแนวไหนบ้าง ขณะเดียวกัน เราก็ต้องสร้างป้าย หรือ keyword ของแพลนเนต เพื่อที่จะใช้เป็นคำดัชนี สำหรับใช้ค้นหา หรือชี้ทางนำทางให้คนอื่นเดินมาหามายังตู้หนังสือของเราได้ง่ายขึ้น
ทีนี้ไปตรงพวกหัวข้อใช้งานต่างๆบ้าง การรู้จักว่ามันคืออะไร จะทำให้เรารู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ถ้าอยากจะจัดการอะไรในบันทึก เราต้องคลิกเข้าตรงไหน
ด้านบนสุดหน้าเวบเพจ (เมื่อเราเข้าสู่ระบบ) เราก็จะเห็นหัวข้อดังนี้คือ... ประวัติ ศูนย์รวมข้อมูล แผงควบคุม ออกจากระบบ ค้นหา หน้าหลัก
( พอมาถึงศัพท์คำว่า นำไฟล์ขึ้น ทำให้เราแอบแว่บขำขึ้นในใจว่า แปลกดีนะ gotoknow ใช้ศัพท์ว่า นำไฟล์ขึ้น แทนคำว่า อัปโหลด แต่ในหน้าไฟล์อัลบั้ม ข้างๆรูปต่างๆ กลับใช้ศัพท์ ดาวน์โหลด... ความจริงเพื่อความเสมอภาคทางภาษา น่าจะใช้คำ นำไฟล์ลง นะคะ (คิกคิก).. )
เขียนมายืดยาว...พอแค่นี้ดีกว่า เดี๋ยวโดนพี่โอ๋ แซวเอาอีกว่า เราเขียนทีไร ชอบเขียน ย้าว..ยาวทุกที (แหะๆ)
มาถึงท้ายบันทึกที่จะขอสรุปเสียที....
สรุปก็คือ... การเข้ามาเล่น มาร่ำร้อง มาลองใช้ (แล้วกำลังจะใช้จริง) ในเวบ gotoknow ก็ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ เรื่องหลักการที่จะเรียนรู้อะไรต่างๆให้เกิดความเข้าใจนั้น จะมีกระบวนการดังนี้
1. ต้องเข้าไปศึกษาเรียนรู้ถึงหลักการ การใช้สิ่งๆนั้นก่อน : การศึกษาหลักการ อาจจะได้มาจาก การเข้าไปดูคนอื่นเขาเขียนเขาทำ การอ่านหนังสือหรือคู่มือ การให้ผู้รู้ช่วยสอนช่วยแนะนำ เมื่อจะเรียนจะศึกษา ให้จำมาแค่หลักการการทำ การใช้ มาก็พอ เพราะเราคงไม่สามารถจำอะไรทั้งหมดได้ แต่เราสามารถที่จะจับเอาแนวทางของมันได้
2. ต้องนำมาศึกษาด้วยตนเอง แล้วลองผิดลองถูกทำเอง ...ถ้าลองแล้วผิด ก็ลองไปเรื่อยๆ จนถูก หากผิดอยู่เรื่อย ก็แสดงว่าเราจับเอาหลักการมาไม่ถูก ก็ให้ไปถามผู้รู้ใหม่ แล้วมาลองใหม่ สำหรับตัวเรา..ชอบตรงนี้มาก เพราะรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่สนุกและท้าทาย มันเหมือนเป็นการค้นหาคำตอบปริศนาที่น่าเล่นมากๆ การทำโดยการลองผิดลองถูก จะทำให้เราค้นพบเคล็ดวิชาของสิ่งๆนั้นด้วยตัวของเราเอง เราจะพบเส้นทางง่ายๆด้วยวิธีของเรา ที่จะทำสิ่งใดก็ตามขึ้นมา
อย่างเช่นเราเขียนเวบไซต์ของเรา ก็มาจากลองผิดลองถูกเหมือนกัน ถ้าทำไม่เป็นก็ให้ขลุกอยู่กับมัน เจอปัญหา ก็หาทางแก้ปัญหา เพื่อทำให้ได้ในสิ่งที่เราต้องการ แล้วเมื่อเราทำสำเร็จ เราจะจำได้นาน.. นานกว่าให้เราอื่นมาชี้แนะขั้นตอนให้เราทำไปตามคนอื่นบอก
3. หาโอกาสที่จะสอนคนอื่นในสิ่งๆนั้น : การมีความรู้สิ่งใดก็ตาม แล้วเก็บไว้กับตัว เหมือนกับเราเอาเมล็ดพันธุ์พืชมาเก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ดีแค่ไหน ถ้ายังเก็บไว้เป็นเมล็ด มันก็จะไม่มีการเจริญงอกเงยเป็นต้นขึ้นมาได้ การนำความรู้ที่เรามีไปสอนไปถ่ายทอดคนอื่น ก็เหมือนเอาเมล็ดพันธุ์นั้นไปปลูก ยิ่งสอนหลายๆครั้ง ก็เหมือนการรดน้ำใส่ปุ๋ย เพราะทุกครั้งที่เราพูดเราสอนเขา ความคิดของเราจะเกิดการแตกยอด เมล็ดพันธุ์นั้นจะยิ่งเติบโตงอกงามขึ้น
ดังนั้น..เมื่อได้รับความรู้เรื่องใดมา ให้รับมาเพียงหลักการของสิ่งๆนั้น แล้วนำมาเพาะให้เกิดเป็นความรู้ความจำขึ้น โดยการศึกษาค้นคว้าลองผิดลองถูกกับมัน จนเกิดข้อสรุปออกมาเป็น "เคล็ดวิชา" ในตัวของเรา จากนั้นให้หาโอกาสสอน ถ่ายทอดสู่คนอื่น... เพื่อให้ความรู้นั้นเกิดการแตกยอดของความคิด.. เกิดเป็นความรู้ที่ลึกล้ำและไพศาลออกไป
จากนั้น..อย่าลืมเอามาเก็บบันทึกไว้ เพื่อให้คนอื่นได้อ่าน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ กันนะคะ
^________________^
ขอขอบคุณภาพประกอบอีโมติคอนจากบันทึก การแสดงอารมณ์ ด้วยการ์ตูน Emoticons ของ "คนเขียนข่าว" ค่ะ
ใช่เลย เหมือนที่ k-jira พูดไว้ ต้องลองผิดลองถูก เพราะพี่อ่านแล้ว พี่ก็ต้องมาลองทำ ครั้งแรกก็อาจจะทำไม่ได้ ก็ต้องลองใหม่..ลอง..ลองๆ จนในที่สุด ก็ได้... จากนั้น เราจึงจะเกิดการเรียนรู้ ทำเป็น
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำเอง หรือ ที่เรียกว่า learning by doing นั่นเอง
เขียนรวบรวมสิ่งสำคัญๆได้ครบถ้วนดีจังค่ะ แถมสวยงามผ่อนคลายอีกต่างหาก
ถึงจะยาว แต่ก็อ่านได้ไม่อยากหยุด ทำได้ไง...ทำได้ไง....
คุณ k-jira เป็นคนที่ลุ่มลึกและน่าสนใจมากเลยนะคะ ขอชื่นชม (พี่หมายความว่าเป็นคนมีหลายมิติน่ะค่ะ น่าทึ่งมาก) พอรู้จักเป็นส่วนตัวแล้ว ยิ่งทำให้พี่เกิดความรู้สึกว่าเป็นคนน่าศึกษาค่ะ (นานๆจะเจอคนที่ทำให้รู้สึกแบบนี้น่ะค่ะ มันเกิดขึ้นมาเอง)