นักวิชาการพึงเป็นอาจารย์สอน "ตนเอง..."


นักวิชาการที่จะรับใช้ท้องถิ่นได้นั้นจักต้องศรัทธาต่อความรู้และ “ปัญญา” ของท้องถิ่นเสียก่อน
หากนักวิชาการยังศรัทธาต่อตำราอยู่ ก็จะยังไม่สามารถศรัทธาต่อปัญญาของท้องถิ่นได้


ดังนั้นเมื่อลงไปท้องถิ่น สายตาสั้น ๆ ที่เคยปรับระยะแค่หนึ่งฟุต คือ ระหว่างสายตากับตำรานั้น จะต้องปรับให้ใช้เป็น “สายตายาว” คือต้องแหงนหน้ามองท้องฟ้า และเหยียดสายตาเพื่อมองท้องทุ่งนาที่เขียวขจี

การเชื่อมโยงทฤษฎีจากตำราสู่การปฏิบัติจักเกิดคุณค่าได้หากเรามีศรัทธาต่อสิ่งที่พบเห็น
การทำตนเป็นบุคคลที่มีน้ำชาล้นถ้วยอยู่ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับการได้ชื่อว่าเป็นนักวิชาการเพื่อท้องถิ่น นักวิชาการสายรับใช้สังคมไทย

ตามทัศนะส่วนตัวของข้าพเจ้า (ซึ่งอาจจะผิด) นักวิชาการน้อยคนมากที่ลงไปชุมชนแล้วมีความศรัทธาต่อองค์ความรู้ในชุมชน
นักวิชาการรุ่นใหม่ ๆ ส่วนมาก ลงไปชุมชนเพื่อ “ผลประโยชน์”
ไม่ว่าจะเป็นทุนวิจัย การทดลองทฤษฎี เพื่อนำมาเขียนเอกสาร เขียนตำรา หรือขอผลงานทางวิชาการ

Trend การวิจัยปัจจุบันที่นิยมรับใช้ชุมชน แต่ความเป็นจริงไม่ใช้การรับใช้ แต่เป็นการ “แสวงหา” ผลประโยชน์จากชุมชน
นำความรู้จากตำราเข้าไปเหยียบย่ำภูมิปัญญาของ “ชาวบ้าน”

แค่เราลงไปในชุมชนแล้วเรียกผู้คนเหล่านั้นว่า “ชาวบ้าน” แค่นี้เราก็เป็นการเหยียบหัวเขา ลงไปประกาศศักดาทางวิชาการของเราบนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเขา

เมื่อเรายังคิดว่าเรา “เจ๋ง” กว่าชุมชนอยู่ การทำงานกับชุมชนก็เท่ากับว่ามีแต่ “เจ๊ง” กับ “เจ๊ง...”

คนที่ “เจ๋ง” จริง เขาเดินลงไปชุมชนด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า เป็นถ้วยชาที่พร้อมจะรองรับความรู้จากทุกอณูที่ได้สัมผัส

เรา (นักวิชาการ) ที่ลงไปชุมชนจะไม่มีค่าเลยถ้าหากเรานำความรู้ของเขาไปเผยแพร่ให้เขาแม้เพียงน้อยนิด

ความรู้จากหนอนหนังสือ (Explicit knowledge) ฤาจะสู้ความรู้จากผู้ปฏิบัติ (Tacit knowledge)
ถ้าเรามีหัวใจเป็นนักจัดการความรู้จริง เราต้องแคร์และให้คุณค่าต่อ Tacit knowledge ให้จงหนัก
ไอ้ความรู้จากห้องเรียน ห้องสัมมนาของเรา มันเป็นความรู้ปรุงแต่ง พูดแต่งแต้มด้วยความฉลาดทางการพูดของผู้ที่ถูกฝึกฝนมาโดยเฉพาะ

พึงทำตนเป็นผู้ปฏิบัติ หน้าที่ของนักวิชาการต่อชุมชนคือผู้ลงไปปฏิบัติดีต่อชุมชน
การปฏิบัติดีคือเป็นข้อต่อของชุมชนต่อบุคคคลภายนอก
ข้อต่อที่จะนำสิ่งที่ดี ๆ ความรู้ที่ “เจ๋ง ๆ” ภูมิปัญญาที่ล้ำลึกออกมานำเสนอ เผยแพร่ ด้วยความรู้ในการเขียนเอกสารที่เก่งกาจของเรา ความรู้ในการพูดที่ช่ำชองของเรา
ประกาศให้คนทั่วทั้งโลกรู้ว่า ภูมิปัญญาของเรานั้นสุดยอดแค่ไหน ปราชญ์ชุมชนของเรานั้นเก่งกาจแค่ไหน
หน้าที่ของนักวิชาการไทยควรพึงมีแค่นั้นเป็นลำดับต้น

ถ้าหากจะให้กระบวนการเรียนรู้เป็นไปอย่างธรรมชาติโดยแท้จริงไม่ เราไม่ควรแทรกแซงด้วยการ “ชี้นำ”
การชี้นำก็คือ การคิดว่าความรู้ใดดี ก็คิดว่าจะ “เหมาะสม” สำหรับเขา
คนเรานั้นยังมีความแตกต่างอย่างหลากหลาย ไฉนเลยกับชุมชน ที่ทั้งแตกต่างกับสภาพภูมิศาสตร์ ภูมิสังคม ภูมิคน ภูมิรู้ ภูมิจิต ภูมิใจ

นักวิชาการมีหน้าที่ทำงานเพื่อเก็บข้อมูล นำเสนอ สกัด วิเคราะห์ สังเคราะห์ก็ทำไป
สุดท้ายใครต่อเขาที่เขาได้มาพบมาเห็น เขาพิจารณาแล้วเห็นว่าดี ว่างาม พอที่จะนำไปปรับใช้ในบ้านของเขา ในชุมชนของเขา เขาก็นำไปลงทดลอง ไปทำ

ถ้าดี นักวิชาการก็ลงไปช่วยเก็บข้อมูลมานำเสนอต่อ
ถ้าผิดพลาด นักวิชาการก็ลงไปช่วยเก็บข้อมูลความผิดพลาดนั้นมาเป็นครู เป็นอาจารย์

นักวิชาการไม่ใช่อาจารย์ของเขา เราต้องเป็นอาจารย์ของตัวเรา
อาจารย์ที่สอนตนเองเสมอว่า เราไม่ใช่บุคคลที่จะไปสอนใครในชุมชนนั้น เราเป็นผู้ที่เข้าไปใช้ประสาทหู ตา จมูก ลิ้น กาย ที่ประเทศไทยได้ใช้เงินภาษีของประชาชนส่งเราไปฝึกไปฝนมาให้คม ให้เฉียบแหลม

ทักษะ ความสามารถในการวิจัย การเก็บข้อมูล การนำเสนอ ก็พึงเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ถ้าอยากสอน อยากบรรยาย ก็ให้นำมาใช้กับนักเรียน นักศึกษา หรือนักวิชาการด้วยกันให้เต็มที่

เราจะเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนหรือ…?
จะเอาตำราไปทับถมคุณค่าจากการปฏิบัติหรือ...?

ขอให้เรามีหัวใจศรัทธาต่อคุณค่าของความรู้จากการปฏิบัติ จะสามารถทำให้เราเข้าใจปัญญาที่จริงแท้ของชุมชน...

ที่มาจากบันทึก

เรียนรู้ที่จะศรัทธาต่อ Tacit knowledge ของชุมชน

หมายเลขบันทึก: 410587เขียนเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2010 08:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 17:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ขอเพิ่มหลักสูตรการเรียนรู้ในชุมชนเพิ่มครับ

จาก "แปลงนาข้าวสู่การพัฒนาประเทศ" ครับ ...ตามประสาคนคิดมาก

ญี่ปุ่นเป็นประเทศอุตสาหกรรม และการเกษตรที่ก้าวหน้า ส่วนหนึ่งก็คือการพัฒนามาจาก ความมีระเบียบวินัย ของคนในชาติ ที่ฝึกฝนกันตั้งแต่เด็กครับ

รวมถึงการจัดระเบียบการปลูกข้าว...เค้าสอน เด็กๆ กันตั้งแต่ในเเปลงนา

ประเทศไทย ทุกคนเติบโตกันมาด้วยข้าว แต่เด็กรุ่นใหม่ ทำนา ไม่เป็น แต่กินเป็น  ไร้ระเบียบกันตั้งแต่เเปลงนา โตขึ้นมา จะมาจัดระเบียบก็ไม่ทัน ครับ

เรามีพื้นที่การเรียนรู้ ในนาข้าว "ถึง 60 ล้านไร่" เรามาสร้างพื้นที่การเรียนรู้ให้เด็กๆ ร่วมกันดี มั๊ย ครับ ดีกว่าโตมาแต่ตำรา แต่ปลูกข้าวไม่ได้ เข้าแถวไม่เป็น

      "สร้างเด็กรุ่นใหม่ พร้อมกับสร้างคุณค่าข้าวไทยควบคู่กัน"

คนแก่ขึ้บ่น ครับ จากต้นกล้า ...

คนญี่ปุ่นเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองสูงมาก ถ้าคนไทยมีระเบียบวินัยในตนเองได้เท่ากับคนญี่ปุ่นประเทศของเราคงจะเป็นประเทศที่มีพัฒนาการทางเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับประเทศของเขา

แต่ทว่า... ด้วยความเป็นไทยนั้น เป็นความอุดมสมบูรณ์ทางจิตทางใจ ประเทศไทยเป็น "ปฏิรูประเทศ" คือประเทศที่สมบูรณ์พร้อมด้วยทรัพย์ในดิน สินในน้ำ มีประชาชนที่มั่นคงในบวรพุทธศาสนา มีธรรมชาติที่เลอค่ากว่าประเทศใด ๆ

ถ้าหากจะมุ่งสู่ความเป็น Nics ก็ขอจัดระเบียบคนไทยให้ได้อย่างคนญี่ปุ่น เพื่อที่จะนำพาประเทศไปสู่ประเทศอุตสาหกรรมที่มักวัดกันด้วย "ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) 

แต่ถามในทางกลับกันว่า คนในประเทศญี่ปุ่นมีความสุขไหม ชีวิตที่มีระเบียบวินัยแบบนั้นมีความสุขไหม...?

ทำอะไรตามใจคือ "ไทยแท้" เราเป็นคนไทยหาใช่คนญี่ปุ่น

ถ้าหากชีวิตเราเห็นว่าความมีระเบียบวินัยอันจะนำพามาซึ่งความเจริญ ความก้าวหน้า อันจะนำมาซึ่ง "ความสุข" ก็ขอให้เดินตามญี่ปุ่นไป เดินตามสหรัฐอเมริกาไป

แต่ถ้าเราจะหาความสุขใจอันจะก่อเกิดและรวมตัวกันเป็นมวลรวมความสุขของประเทศ (Gross Domestic Happiness : GDH) ก็ขอให้เรามีระเบียบ มีวินัย ตั้งมั่นในคุณพระศรีรัตนตรัย มีศีล มีธรรม มีพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่งเถิด

ประเทศไทย เป็นประเทศที่ใกล้กับ "ความสุขแท้" มากที่สุดในโลก

ความสุขแท้คือความสงบ

ขอให้เชื่อมั่นและศรัทธาใน "ความเป็นไทย" 

ความเป็นไทยนี้แลคือความสุข ความสงบแห่ง "จิตใจ..." 

เมื่อเราคือคนไทย เราก็มี "เมืองไทย" เป็น "บ้าน..."

ขอให้เราภูมิใจในบ้านของเรา

ขอให้เราศรัทธาต่อภูมิปัญญาของคนในบ้านของเรา

คนนอกบ้านไม่ศรัทธาความรู้ ไม่เชื่อมั่นในปัญญาคนในบ้านของเราไม่เป็นไร

แต่ถ้าเราเกิดเป็นคนไทยแล้วไซร้ เราก็ควรเชื่อมั่นและศรัทธาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ บุพการีชน บุคคลอันเป็นที่รัก ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่ล่วงลับไปแล้ว

ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีที่สุด มีแต่เพียงสิ่งที่ "เหมาะสม" ที่สุดเท่านั้น

ไม่มีใครรู้สภาพบ้านของเราเท่ากับพ่อกับแม่ของเรา

เพราะท่านเป็นคนปลูกบ้าน สร้างเรือน เลี้ยงดูเรามา ป้อนข้าว ป้อนน้ำ

เราไม่ควรดูถูกว่าท่านโง่ แล้วไปยกย่องภูมิปัญญาของคนบ้านอื่น

เหล็กนั้นจะเสียหายได้ก็เนื่องด้วยสนิมที่เกิดในตัวของเหล็กเอง

แค่นักธุรกิจในบ้านเราที่จ้องจะหาผลประโยชน์จากคนในบ้านตัวเองก็มีมากมายพอแล้ว

ขายปุ๋ย ขายยา ขายเครื่องไถ ขายเครื่องเกี่ยวข้าว ชาวนาบ้านเราก็ไม่เหลืออะไรไว้ให้กินแล้ว

ได้เงินมาก็ถูกพ่อค้าเก็บดอกเบี้ยพร้อมหักค่าใช้จ่ายที่กู้หนี้ยืมสินมา

เหลือนิด เหลือหน่อย ก็ต้องไปดาวน์มอเตอร์ไซด์ ไปถอยรถกระบะ เพราะพ่ายแพ้ต่อกิเลสที่มาจากทางสื่อสารมวลชนนานาชนิด

ไก่ทอดชิ้นละห้าบาทสิบบาทเริ่มไม่อร่อย พอมีเงินหน่อยก็ต้องคอยไปกิน KFC

 

ถ้าคนเราไม่รู้จักคำว่า "พอ" ต่อให้เรานำเทคโนโลยีการผลิตที่ดีเลิศประเสริฐศรีขนาดไหนเข้ามา ก็ "หมด" ไม่มีเหลือ

ลองหันไปมองดูคนรวย ๆ มีเงินพันล้าน หมื่นล้าน เขามีความสุขไหม

เขามีความสุขเท่าปู่ ย่า ตา ยาย ที่เก็บผัก เก็บหญ้า จิ้มน้ำพริก กินอาหารสด ๆ อยู่ริมทุ่งนาได้ไหม

ถ้าชีวิตของเรามี "ความพอใจ" เราก็มีความสุข

เจ้าใหญ่ นายโต ที่กินข้าวด้วยช้อนทองคำ ถ้าไม่มีความพอใจเท่ากับชาวนาที่ขยำข้าวด้วยมือ

จงพอใจกับความเป็นไทย เพื่อให้ลูกหลานใจพอใจกับเรา ผู้ที่ได้ชื่อว่า "คนไทย..." 

ร่วมแลกเปลี่ยนครับ

"การแก้ปัญหา ย่อมต้องหาจุดเริ่มต้นก่อนเสมอ"

 ผมเองไม่ได้ปฏิเสธภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษสร้างมา มีหลายอย่างถูก มีหลายอย่างต้องปรับ

" ต้องเรียนรู้เทคโนโลยีที่เหมาะสมควบคู่ไปด้วย 

 ที่อธิบาย ด้วยหลักการพื้นฐาน อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ว่าทำเพื่ออะไร ทำแล้วใครเดือดร้อน  ครับ 

 โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่เห็นด้วย กับ "การทำอะไร ตามใจคือไทยแท้" ครับ

"ความสุขที่ได้มา ย่อมมีต้นทุนแอบเเฝงอยู่เสอม ครับ ...

 

ตัวอย่าง ในเเปลงนาข้าว ...

เราคิดถึงตัวเอง มากกว่าที่จะคิดถึงสิ่งเเวดล้อมหรือไม่ ?

เราคิดถึงความสะดวกของตัวเอง จนทำร้ายตัวเอง และเพื่อนร่วมโลกหรือไม่?

 

 ภาพทุ่งนา ณ. 15 พ.ย.53  ต.วังบัว อ.คลองคลุง

จริงๆก็เห็นอยู่ได้ทั่วไป ... อย่างนี้ เพราะตามใจ คือไทยแท้ หรือไม่ ???

ง่าย สะดวก สบาย ...คนกินตาย คนปลูก ก็ค่อยๆ ตาย ครับ

 แลกเปลี่ยน เรียนรู้ครับ ...

นักวิชาการไทยก็ไม่ต่างอะไรกับ "เสือกระดาษ" จะคิด จะพูด จะทำอะไรก็มีแต่ Positive Thinking

แต่เป็น Positive thinking แบบ Double Standard

นักการเมือง ทำเลว ทำชั่ว แทบจะหาดีไม่ได้ก็กลายเป็นบวกได้เพราะนักวิชาการ Positive thinking

พอเกษตรกรทำอะไรผิด หา Positive thinking ไม่เคยเจอ

เกษตรกรโง่ ความรู้น้อย ต้องหางบเข้าไปช่วย เข้าไปส่งเสริม

แต่ข้าราชการคอรัปชั่นไม่เป็นไร มี positive thinking ก็ช่วยให้เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ แล้วจะไปนาไปไร่กันทำไม ก็ไม่เคยมองว่าเกษตรกรไทยเป็นคนดี

คนไทยแท้ ๆ ทำอะไรตามใจก็เพราะคนไทยนั้น "ใจดี"

คนไทยใจดีเพราะมี "พุทธศาสนา"

แต่เดี๋ยวนี้หาคนไทยแท้ ๆ ยาก เพราะมีแต่คนถือสาก ปากถือศีล

บัตรประชาชนเขียนว่านับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ไม่เคยปฏิบัติตามศีลตามธรรมของพุทธ ไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่มีวินัย

อยู่ในเมืองหาคนไทยแท้ ๆ ยาก ต้องเข้าไปหาตามป่า ตามเขา ยิ่งแถวภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่คนทั่วประเทศมักมองว่าเป็นผู้ยากไร้ แต่คนภาคอีสานไม่เคยแล้งแค้นน้ำใจ เพราะยังเหลือความจริงแท้ของไทยคือเป็นคนที่ "ใจดี"

ถ้าหากเราเป็นคนไทยแท้ ๆ คงจะดีกันมิใช่น้อย

ปากก็ว่าตัวเองเป็นคนพุทธ แต่เอาเรื่องโชค เรื่องลาง เรื่องผี เรื่องสาง มาเหยียบย่ำพระพุทธศาสนา

คนไทยแท้เป็นคนมีศาสนา ทุกศาสนาสอนคนให้เป็นคนดี คนที่มีศาสนาจึงเป็นคนที่มี "ใจดี"

นักธุรกิจปัจจุบันหากินกับศาสนาเยอะ

นำเกร็ดความเชื่อของศาสนาเล็ก ๆ น้อย ๆ มาหาผลประโยชน์เข้าตัว เข้าพก เข้าห่อกัน

ใจคนเราถึงบิดเบี้ยว

ถ้าใจเราตรง เราก็ไม่จำเป็นต้องมีกฏหมาย ไม่ต้องมีระเบียบอะไร ๆ ต่ออะไรมาบังคับ

คนที่บังคับใจของตนเองได้นั้นเป็นคนที่มีความสุข

ใครจะมีความสุขเล่าเราเขาคนนั้นต้องคอยอยู่แต่ในกฏ ในระเบียบ

กฏระเบียบ กฏหมาย กฏหมู่ อะไรต่ออะไร ออกมาจากคนที่เห็นประโยชน์ตนและประโยชน์พวกพ้องนั้นเยอะ และยิ่งเยอะขึ้น

พึงพัฒนาใจของตนเองให้ดี พึงพัฒนาใจของตนเองให้เข้มแข็ง แล้วจะเข้าใจธรรมชาติของหัวใจ ความสุขใจที่ไร้ "พันธนาการ..."

รูปภาพที่เห็นถ้ามองอย่างผิวเผินก็จะดูเหมือนเป็นพงหญ้าที่ถูกไฟไหม้ธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาก็เพราะว่าเกิดจากคนที่รับเงิน รับงบมาเพื่อถางหญ้า ดายหญ้า แต่กลับมาซื้อไม้ขีดกล่องเดียวแล้วจุดไฟเผา...

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าคนแถวนั้นเขารู้กันหมด แต่รู้แล้วทำอะไรได้ไหม ไม่ได้ก็เพราะใครก็ไม่อยากตาย ไม่อยากโดนยิงหัว

ชาวนา ชาวไร่ ต่อให้จุดไร่ จุดสวนหมดทั้งประเทศ ก็ไม่เท่ากับ "โจรใส่สูท" ที่ตั้งหน้า ตั้งตา เข้ามา "ปล้น" ประเทศกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เผาบ้าน เผาเมือง เผาเซ็นทรัลเวิล์ด... 

โจรเหล่านี้ทำเลวอย่าง "ถูกกฎหมาย" แต่ชาวไร่ ชาวนาไทยทำอะไรก็ผิดไปหมด

ถ้าหากเรียงลำดับความสำคัญ ก็ขอให้ไปจัดการพวกโจรใส่สูทนั้นก่อน

ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ ที่จ้องแต่จะมาคอรัปชั่น คอยตั้งก๊กตั้งเหล่ามาเผาประเทศด้วย "น้ำแรงจากน้ำลาย..."

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท