อ่านเรื่องเล่าของ คุณวราภรณ์ ต่อนะครับ ยังคงอยู่ที่ตัวปัญหาของวิธีการเดิมๆ
"แทบทุกเวทีจะเป็นแบบนี้ หลังจากจบเวทีมาสรุปบทเรียนด้วยกัน ทุกคนต่างรู้หลักการทั้งนั้น พวกเขาบอกว่ามันเกิดจากความเคยชินที่ต้องเป็นผู้ตอบข้อมูลมากกว่าเป็นผู้ถาม และทนเห็นเวทีเงียบไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นผู้เล่าเอง แต่ในส่วนของทีมงานสรุปว่า จริงๆ แล้วส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากวิธีคิดและความเชื่อพื้นฐานที่ไม่เชื่อมั่นกับความรู้และศักยภาพของคนในท้องถิ่น ขาดแนวคิดในการพึ่งตนเอง และไม่เห็นประโยชน์ของการมีส่วนร่วม
อุปสรรคในการเรียนรู้ของผู้นำเหล่านี้ยังมีอีก เช่น การสวมหมวกหลายใบทำให้ไม่มีเวลา ผ่านเวทีอบรมมามากเกิดอาการ ชาล้นถ้วย ติดรูปแบบการพัฒนาแบบเป็นผู้รับ มุ่งหวังงบประมาณ
นอกจากนี้แล้วในช่วงนั้นเป็นยุคเริ่มต้นกองทุนหมู่บ้าน และ OTOP ทำให้เราต้องหยุดคิดทบทวนปัญหาทั้งที่เกิดจากเราเองที่ใช้เครื่องมือไม่เหมาะสมกับชาวบ้านในช่วงนั้น และตัวชาวบ้านเองที่ผ่านกระแสพัฒนาทั้งจากรัฐและเอกชนมามาก รวมถึงระบบบริโภคที่โถมซัดเข้ามาอย่างที่ชาวบ้านตั้งตัวไม่ทันจนถูกพัดไปตามกระแส อีกทั้งการเมืองระดับท้องถิ่นเพิ่มความรุนแรงล้อตามการเมืองระดับชาติ ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ เพราะมันมีทั้งระบบเครือญาติและพระเดชพระคุณที่ใกล้ตัวมาก ที่เราเรียกกันว่าเป็น ระบบอุปถัมภ์ ซึ่งมีอยู่ในสังคมไทยมานาน
หลังจากนั้น พวกเราได้ปรับกระบวนการใหม่ ตั้งแต่การขยายจำนวนวิทยากร เปลี่ยนจากให้คนภายนอกเลือกมาเป็นคนภายในเลือกกันเอง คือ วิทยากรกระบวนการไปเลือกคนในชุมชนของเขาเอง เมื่อวิทยากรกระบวนการผ่านกระบวนการเรียนรู้ระดับหนึ่งแล้วทำให้เข้าใจคุณลักษณะของวิทยากรกระบวนการ การคัดเลือกของเขาจึงค่อนข้างที่จะสอดคล้องกับเป้าหมายของพวกเขาเอง"
ผมตีความว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ ภายในท้องถิ่น ดำเนินการเลือกคนที่จะมาฝึกเป็น 'คุณอำนวย' กันเอง เป็นการตัดสินใจกันเองภายในชุมชน ไม่ใช่ให้คนภายนอกมาทำให้ และมีการฝึกคิดใหม่ ฝึกกระบวนการทำงานทำงานใหม่ ฝึกทักษะใหม่
วิจารณ์ พานิช
๒๕ กค. ๔๙
ไม่มีความเห็น