เรียน ท่านอาจารย์ด้วยความเคารพ
รูปนี้ดูแล้วสะท้อนใจดี เพราะหลายๆ ที่ "คนไม่ค่อยมีใจช่วยกัน (ทำ)" คนที่พูด ที่ออกความเห็นมีมาก แต่หาคนทำค่อนข้างยาก
ที่ท่านอาจารย์ "ภูฟ้า" กล่าวไว้ ผมว่า "ใช่เลยครับ" แต่ก็รอฟังอีกว่า ใครจะมีคำอธิบายอะไรแบบอื่นบ้างไหม? . . .
เห็นด้วยกับอาจารย์อย่างยิ่งค่ะ คำว่าปฏิบัติธรรมคือให้เรารู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไร ไม่ใช่ให้ทำใจและทนกับสิ่งนั้น จะเห็นว่ามีคนเข้าใจผิดอยู่เยอะมากกับคำว่าปฏิบัติธรรม
. . หรือว่าการ (ฝึก) ปฏิบัติธรรม ต้องให้ผู้ที่ฝึกปฏิบัติ ผ่านกระบวนการที่ยากลำบาก (คือต้องให้เห็นทุกข์ก่อน จึงจะเห็นธรรมได้) . . ซึ่งหากต้องเป็นเช่นนั้น แสดงว่าผมน่าจะเข้าใจอะไรผิดพลาดไป !
คำว่าปฏิบัติ mislead หรือเปล่าคะอาจารย์ น่าจะใช้คำว่า ฝึกสติแทนคำว่าปฏิบัติธรรม
เท่าที่ตัวเอง(ผู้รู้น้อยมากๆเรื่องนี้)เข้าใจคือ เป็นการฝึกรู้กาย หรือ ใจ ณ ปัจจุบันขณะ ไม่ใช่การเข้าไปทำอะไร(ปฏิบัติ)กับกาย กับใจ
ถ้าเข้าไปบังคับกาย ใจ โดยบังคับเขามาก กระบวนการฝึกปฏิบัตินั้นๆจะขัดกับหลักการเดินสายกลาง นะคะ
เข้าใจถูกไหม คะ
ดิฉันได้อ่านบทความข้างต้นและเห็นว่ามีประโยชน์มาก
ที่มีประโยชน์ที่สุด ก็เห็นจะเป็นเพราะผู้หลักผู้ใหญ่อย่างท่านเจ้าของกระทู้ เป็นผู้ที่เข้าใจปัญหาของผู้ใต้บังคับบัญชา ว่าการที่เรายิ่งไปสอน อาจจะทำให้เขาตีความกันไปอีกแบบว่าเรากำลังบอกเขากลายๆ ว่าให้ทนต่อไป ตรงนี้ดิฉันเห็นใจคนที่ได้รู้ได้เห็นธรรมและพยายามจะเอา่ิสิ่งดีๆ เหล่านั้นไปบอกต่อคนอื่นๆ เพราะมันไม่ง่ายเลยคะ (จากองค์ประกอบหลายๆ ประการ เช่นว่า เราเองยังดีไม่พอให้เขานับถือ เรายังไม่อยู่ในฐานะที่จะสอนเขาได้ หรือ คนรับฟังไม่เปิดใจรับฟัง )
ดิฉันเองเจอปัญหาแล้วก็เอามาเป็นตัวทดสอบสติตัวเองเสมอคะ เลยเข้าใจส่ิงที่ท่านเจ้าของกระทู้พูดถึงเป็นอย่างดี
ดิฉันข้อเพิ่มความเห็นว่า การจะให้คนๆ หนึ่ง ( หรือพนักงานผู้ใต้บังคับบัญชา ) เข้าใจเรื่องเหล่านี้ จะได้ผลดดีกว่าหากคนสอน
เป็นบุคคลที่สามคะ คือไม่ใ่่ช่คนในองค์กร อาจจะเป็นพระ หรือวิทยากรท่านอื่นๆ เรื่องแบบนี้มันต้องฝึกเองรู้เอง หากคนที่เขารู้สึก
ต่อต้าน(หรือเขารู้สึกว่าผู้บังคับบัญชาเป็นต้นตอของปัญหา ไปสอนเขา (คุณอาจจะไม่ได้เป็นปัญหา แต่เขาคิดว่าคุณเป็นปัญหา ) ) เขาก็จะยิ่งปิด และไม่รับฟังคำสอนที่มีประโยชน์เหล่านั้น ยกเว้นเสียแต่ว่าคนเหล่านั้นมีฐานการปฏิับัติหรือมีทัศนคติการมองโลกให้แง่บวกอยู่ก่อนแล้วคะ