บทที่ ๒ หาอาหารหน้าแล้ง
หมาสองตัวนี้พ่อของคุณรักมันมาก นอกจากจะไล่กัดพังพอนเก่งแล้ว กลางคืนเดือนหงายมันยังไปไล่อีเห็นบ่อย ๆ อย่างน้อยได้ ๑ ตัวกลับมาทุกที แม่แล่เนื้อแบ่งกันกับชาวบ้านที่ไปด้วยกัน พอแกงอ่อมได้หม้อใหญ่
คูนเคยขอหมาสีดำและหมาสีดำปนขาวมาให้พ่อดูแต่พ่อไม่เอา พ่อบอกว่า หมาดำกับหมาด่างใจไม่สู้ แพ้หมาสีน้ำตาลกับสีหม่น เวลาหมาสีดำและหมาสีขาวดำไปล่าอีเห็นกลางคืน จะทำให้อีเห็นมองเห็นแต่ไกล
พ่อสอนเอาใบกระโดนอ่อน ๆ ห่อจักจั่นแล้วจิ้มกับแจ่วส่งเข้าปาก ... หัวจักจั่นมีรสมัน ใบกระโดนมีรสฝาด และแจ่วทั้งเผ็ดทั้งเค็มเข้ากันพอเหมาะ
ไอ้แดงหลอกล่องูเห่าอยู่ข้างหน้า ส่วนไอ้มอมรี่เข้าคาบหางงูฟาดกับสะโกของมันซ้ายขวาเสียงปั๊วะ ๆ พ่อบอกว่า ไปหายิงนกดีกว่างูตัวนี้กินไม่ได้ หากเป็นงูสิงก็จะเอาไปต้มส้ม
แทนที่พ่อจะยิงนก กลับไปยิงบ่างตัวขนาดกำปั้น เวลาบินเหมือนนกพิราบ หน้าตาคล้ายนกเค้าแมว แต่หัวเล้ก ปากและจมูกสั้น มีปากเหมือนค้างคาว มีขนปุกปุยสีน้ำตาล พ่อชี้ให้ดูบนยอดยาง
เมื่อถึงทุ่งนาพ่อบอกว่า งูสิงชอบลงมาจากเฟือยไม้ต้นข่อยข้างจอมปลวก มาตากแดดตอนเช้าตรู่และตอนเย็นแสงแดดอ่อน ๆ ... เห็นท้องงูเป็นแสงสีขาวปนแดงเปล่งรัศมีออกมา.... ถ้าเป็นงูเห่าหมาจะไม่กระโจนเข้าคาบหางงูทันที
นกขุ้มมันอยู่นาเฉพาะตอนข้าวออกรวง แต่หน้าแล้งมันขึ้นไปอยู่ป่าละเมาะ.. เวลาลาบนกขุ้มต้องใส่ก้านกล้วยเข้าไปด้วย เพื่อให้อร่อยและมีลาบมาก ๆ
การล่าพังพอนจะต้องใช้หมาหลายตัวรวมกับของคนอื่น บางทีจะมีงูเห่าหรืองูจงอางวิ่งเพ่นพ่าน...บางทีมันจะคาบหางพังพอนแล้วลากออกมาให้อีกตัวขบหัวอีกทีหนึ่ง
โตขึ้นคูนได้ไปกับพ่อแน่ ๆ แต่ต้องเรียนหนังสือเก่ง ๆ
บทที่ ๓ ลาบปลาร้า
ให้พ่อมีเกวียนเทียมวัวเสียก่อน ผมอยากขี่เกวียนของพ่อ
กล้วยดิบน่ะพ่อผู้ใหญ่ให้ไปทำไม....มันจะสุกตามทางไปเรื่อย ๆ
ลุงคนนี้แหละที่เคยเป่าโรคตาแดงให้ลูกตอนเล็ก ๆ
แม่เอื้อมมือไปจับฝาเปิดปากไหปลาร้าที่ทำด้วยเศษผ้าห่อขี้เถ้า ... แมลงวันมันเกลียดและกลัวขี้เถ้า
พอปลาร้าละเอียดแม่จึงหยิบตะไคร้กับหัวข่าอ่อนที่ฝานไว้ใส่ลงไปให้คูนสับต่อ หยิบหัวหอมและพริกสดโรยลงไป...แล้วตักข้าวคั่วโรยลงไปอีก...พ่อของลูกชอบเอามดแดงมาจิ้มลาบปลาร้าเวลากิน...แจ่วบ้องก็ทำแบบนี้แหละแต่ใส่พริกแห้งปิ้งและหัวหอมเผาไฟ...เขาใส่ในบ้องไม้ไผ่เวลาเดินทางไกล จึงเรียกแจ่วบ้อง
บทที่ ๔ ญวนเข้ามาบุกจีนในถิ่นเรา
ผู้หญิงญวนหรืออิสานเขาต้องกินหมากให้ฟันดำหมดจึงจะสวย
หญิงญวนส่งธนบัตรใบละ ๑ บาทให้แม่..."ฉันไม่มีทอน" แม่หดมือ
นั่นมันบ่วงอะไรนะแม่..."บ่วงสังกะสี" นั่นแหละ
ทำไมแม่ไม่ซื้อไปใช้บ้างที่เรือนเราใช้แต่เปลือกหอยกาบทำบ่วง..."เออมีสะตางค์แล้วจะซื้อไปใช้"
ทิดฮาดอุ้มนางแมวเดินโซเซว่ากลอนเซิ้งนางแมวขอฝนมาคนเดียว พอมาถึงบันไดเรือนก็มาขอเหล้าพ่อกินเสียอีก
ญวนพวกนี้เก่งมากนะพ่อ มันจะปลูกผักหลังบ้าน... เมียลุงญวนบอกว่าอยากกินงูสิงและพังพอน ...ในร้านของมันมีของหลายอย่างและกางเกงไหมสีดำเป็นมันเยิบ ๆ
ทั้งสองบทแทบจะไม่น่าตัดตอนแม้แต่ตัวอักษรเดียวหรือคำเดียว แต่ได้เลือกเฉพาะส่วนที่มีถ้อยคำที่คาดว่าจะสูญหาย เด็กรุ่นหลังอาจไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ และไม่เคยเห็น แม้แต่ยายคิมจะอ่านมาหลายเที่ยว ยังมีสิ่งที่ไม่ทราบและไม่เคยเห็นก็มีมาก และสำหรับความสำคัญของตัวสีแดง
ทำให้นึกถึง ครอบครัวหนึ่งที่รู้จักคุ้นเคย ที่สอนและฝึกให้ลูกพูดภาษากลางกับพ่อแม่และคนรอบข้าง ทำให้ลูกไม่เข้าใจภาษาอิสานพื้นถิ่น และไม่ทานอาหารอิสาน
เคยอ่านแล้วครับ..ผมจะกลับไปอ่านอีกรอบครับ..
ขอบคุณมากครับที่ช่วยเตือนความทรงจำ
ผมคนโคราช ลูกอิสานครับ...
สวัสดีค่ะอาจารย์ดร.ภิญโญ
ยายคิมอ่านเป็นครั้งที่ ๔ แล้วนะคะ แต่ละครั้งก็พบว่า "ต้องขอบคุณหนังสือและโอกาสที่ให้ได้อ่าน เพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่รู้อีกมากเลยค่ะ"
ครั้งนี้อ่านแบบช้า ๆ ค่อย ๆคิดตาม ปกติเป็นอ่านเร็ว ฉบับเล็ก ๆ แค่นี้อ่านประมาณ ๓ ชั่วโมงค่ะ
ขอขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ
สวัสดีครับพี่คิม...
อ่านบันทึกพี่คิมแล้วอยากย้อนกลับไปอ่านอีกคร้ัง...
สวัสดีค่ะหนานเกียรติ
ไม่ต้องซื้อนะคะ ยังเหลืออีก ๓ เล่ม จะเก็บไว้ ๑ เล่ม เพราะซื้อไปแจกลูกศิษย์ที่รักการอ่าน
อยากให้เด็กยุคใหม่ เป็นเด็กรักการอ่าน ใฝ่รู้ แบบยายคิมจังเลย
อยากถามว่าทำไมครูคิมถึงจำเรื่องลูกอีสานได้จ๊ะ
พูดถึงเปลือกหอยกาบแล้วขำค่ะ เพราะนึกถึงพี่คนหนึ่งที่โคราช พาลูกไปหาหมอที่ปวดท้องท้องเสีย หมอก็ถามว่าไปกินอะไรมา...แม่ก็ตอบว่าไปกินหอยกาบมา...หมอซึ่งไม่ใช่คนพื้นที่ก็งงงงงงงงงงว่า...ไอ้หอยกาบนี่มันสิเป็นแมงอิหยังน้อ???
แฟนพี่เขาก็สะกิดๆแล้วกระซิบว่า...คุณๆไอ้หอยกาบน่ะภาษาบ้านเรา เขาเรียกหอยแครงต่างหาก พี่เขาเลยรีบบอกหมอว่า...อ๋อ...คุณหมอค่ะไปกินหอยแครงลวกมาค่ะ
คุณหมอถึงได้หายงองูสองตัวแล้วถึงบางอ้อ..จ่ายยาถูกโรคค่ะ
hahahahaha นึกถึงแล้วยังขำไม่หายตอนพี่เขาเล่าให้ฟัง
เป็นซำใดน่อ คนอิซ่าน กิ๋นได้ทุ้กอย่างเลย
*** ทานอาหารอิสานได้ไม่กี่อย่างเองค่ะ... พี่คิม ***
สวัสดีครับพี่ครู
ชีวิตตอนเด็ก ๆ คล้าย ๆ อยู่ในหนังสือแหละครับ..^^
สวัสดีครับเกลอ
การสื่อสารขาดหายไปตั้งแต่ขึ้นบันทึกสุดท้ายครับ
ไฟฟ้ามาติดสักชั่วโมงที่ผ่านมา
จะไปส่งข่าวที่รพ. อินเตอร์เน็ตอัมพาตหมดเลยครับ
สวัสดีค่ะคุณนาง ละเอียด ศรีวรนันท์
ยินดีที่ได้รู้จัก และขอต้อนรับสู่บล็อกของยายคิมค่ะ หนังสือเรื่องลูกอิสานนี้ ยายคิมอ่านเป็นครั้งที่ ๔ แล้วค่ะ
ปกติหนังสือเล่มหนาขนาดนี้ อ่านเพียง ๓ ชั่วโมงก็จบแล้วนะคะ แต่ครั้งนี้ใช้เวลาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหน้าเดิม เพราะได้อรรถรสเพิ่มขึ้นค่ะ
การอ่านหนังสือโดยมีความรัก เป็นวัฒนธรรมที่ฝึกมาจากครอบครัวค่ะ เนื่องจากครอบครัวของยายคิมทุกคนมีหนังสือประจำตัวกันค่ะ
ขอขอบคุณที่มาแลกเปลี่ยนนะคะ
คนเขียนเป็ชาวยโสธรนะพี่
แต่ได้ดูหนังอยู่ครับ
กะปอมเคยกินก้อยบ่พี่
สวัสดีค่ะน้องkrugui Chutima
หอยกาบที่ว่านี้ยายคิมเคยเห็นค่ะ ไม่ใช่หอยแครงนะคะ แต่เขาอาจเรียกหอยแครงว่าหอยกาบใช่ไหมคะ กรณีที่น้องเล่า
อ่าน ๆ ไปก็มีเรื่องที่ไม่รู้อีกเยอะอีกเยอะเลย บางตอนก็ซาบซึ้ง บางตอนก็เศร้า บางตอนก็สนุก
ยังคิดว่าตอนต่อไปจะมีปัญญาย่อมาแบบนี้ไหมหนอ ต้องหาวิธีใหม่ก่อน จะได้บันทึกละหลาย ๆตอน
ใครอยากรู้เพิ่มไปอ่านเองเนอะ ดีไหมคะ
สวัสดีค่ะท่านโสภณ เปียสนิท
ยิ่งอ่านยิ่งมันค่ะ ปกติเป็นคนอ่านเร็ว แต่ครั้งนี้อ่านซ้ำ ๆ อยู่นั่นแหละ ทุกถ้อยคำสำนวนดูกลืนกันไปหมดเลยค่ะ
แบบนี้คนอิสานต้องบังคับให้ลูกหลานและเด็กน้อย ๆ อ่านแล้วนะคะ
สวัสดีค่ะน้องK.Pually
ยายคิมทานได้หลายอย่าง ยกเว้นเป็นบางอย่าง และเผ็ด และเนื้อสัตว์ค่ะ
นอกนั้นส่วนใหญ่เคยลองค่ะ
สวัสดีค่ะน้องเกษตร(อยู่)จังหวัด
เด็กน้อยสองคนนั้น เป็นเด็กสร้างสรรค์ มีความคิดเหมือนเด็กยุคใหม่เลยนะคะ ควรซื้อให้ลูกอ่านนะคะ
สวัสดีค่ะเกลอวอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei--
โทรหาแทบทุกคน แต่ติดที่น้องมะปรางเพียงคนเดียวค่ะ ตอนนี้ที่พัทลุงกำลังท่วมอยู่ใช่ไหม
แถวนั้นดูค่อนข้างเป็นที่สูง และอยู่ใกล้ทะเลสาป ไม่น่าท่วมถึงนะคะ
สวัสดีค่ะ ผอ.พรชัย
หนังสร้างได้เศษหนึ่งส่วนร้อยของหนังสือค่ะ ถ้ายายคิมมีเงินร้อยล้าน จะไปสร้างหนังเรื่องนี้ใหม่ สัก ๓ ภาค
เกณฑ์ให้เด็กและเยาวชนอิสานมาดูฟรีด้วย...ฮา ๆ ๆ ๆ
หวนคืน คิดฮอดบ้างจังเด้อครับ..
ดูแลสุขภาพนะครับพี่
สวัสดีค่ะน้องราชิต สุพร
ยิ่งอ่านก็ยิ่ง...คิดฮอดอิสานหลายเด้อค่ะ มือใด๋ว่าง ๆ จะไปเยี่ยมค่ะ อย่าลืมเด้อค่ะ ฝึกให้เด็กน้อยอ่านกันคัก ๆ เด้อค่ะ
เพิ่นเขียนดีอิหลี
อรุณสวัสดิ์พี่คิม...
•ลูกอิสาน(คนเล่าเรื่องน่ะ)... ทานสะตอเป็นด้วยหรือค่ะ ชาวปักษ์ใต้ปลื้มจริงๆ(ขอออกนอกเรื่องอิอิ..)
ขอบคุณค่ะ
พี่คิมค่ะ โห บันทึกทุกบทเลยนะคะเนี่ย .. ไปเจอหนังสือเก่า ในบันทึกนี้ http://gotoknow.org/blog/thaimedical/406387 ตั้งแต่ปี ๑๖ แน่ะคะ เลยนึกถึงพี่คิมอีก .. กำลังคิดว่า หนังสือที่มีอยู่ เล่มเก่าๆสุด นี่ปีไหน ของปู เป็นเล่ม เตลมา แต่จำปีแน่นอนไมได้
วันนี้ฝนไม่ตกค่ะ แต่ฟ้ายังครึ้มๆ .. ขอให้ฝนซา ฟ้าใส มาไวๆ ค่ะ
สวัสดีค่ะน้องธนิตย์ สุวรรณเจริญ
ยายคิมได้อ่านลูกอิสานครั้งแรกเมื่อเรียนอยู่ระดับชั้นมัธยมต้น อ่านจากนิตยสาร "ฟ้าเมืองไทย" รายสัปดาห์ เพราะหนังสือตระกูลฟ้าเป็นหนังสือประจำครอบครัว ได้แก่ฟ้าเมืองไทย ฟ้าเมืองทอง และฟ้าเมืองเด็ก ซึ่งฟ้าเมืองทองและฟ้าเมืองเด็กออกทีหลังฟ้าเมืองไทยตามลำดับ
อีกเรื่องที่ชอบเป็นรองคือ "ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด" และการ์ตูน "หนูหิ่น" ทุกภาค ของเอ๊าะ ค่ะ
ยายคิมยกให้เป็นหัวใจทองคำของคนอิสานเลยนะคะ อ่านแล้วอยากเป็นคนมีกะตังค์จะได้สร้างหนังให้ชาวอิสานดูฟรี ๆ รับรองกู้ชาติบ้านเมืองได้ไปภาคหนึ่ง แล้วภาคอื่น ๆ จะได้เอาอย่างไงคะ
สวัสดีค่ะน้องชำนาญ เขื่อนแก้ว
ยายคิมอ่านมาถึงเม้นท์แรก ก็ทราบว่าเป็นน้องชำนาญนะคะ เดาเก่งเหมือนทำข้อสอบเลย ฮา ๆ ๆ ๆ
ยายคิมเคยมาอยู่ขอนแก่นจนเว้าอิสาน กินอาหารอิสานแนวแซบ ๆ ได้หลายอย่าง
ภาษาอิสานในหนังสือนี้ จะหลงเหลือให้เด็กน้อยและเยาวชนคนอิสานได้รักษาไว้ได้นานแค่ไหน หากไม่ฟื้นฟูด้วยหนังสือนี้
แม้ว่าสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสังคมโหมกระหน่ำมา นับว่าโชคดีที่มีคนทำนวัตกรรมไว้ให้แล้ว ...ลูกอิสาน ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด และหนูหิ่นอินเตอร์ ไงคะ
โปรดหาการ์ตูนหนูหิ่น...ทุกตอนมาให้บักหำน้อยที่บ้านอ่านด้วยนะคะ สร้างสรรค์มาก ๆ รับรองต่อไปร้องแต่จะอ่านหนังสือ
สวัสดีค่ะน้องหนูรี
ที่พิษณุโลกก็มีการปลูกสะตอค่ะ ราคาก็แพงเหมือนกัน แต่ยายคิมทานสะตอของใต้ ราคาย่อมแพงกว่า เพราะรสชาติต่างกันค่ะ
ไม่ชอบเผ็ดแต่ก็ทานแกงไตปลาได้ ตักน้อย ๆ ทานผักเคียงเยอะ ๆ ไงคะ และน้ำพริกกุ้งเสียบ ต้องสั่งน้องที่อยู่พังงาซื้อส่งไปทางไปรษณีย์ค่ะ
ผักเหลียง ขนมจีนซาวน้ำ ต้มส้มปลากระบอก โปรดมากค่ะ ยกเว้นอาหารทะเลทานได้เป็นบางอย่างเท่านั้นค่ะ
สวัสดีค่ะพี่ครูคิม
เรื่องนี้เคยอ่านค่ะ อ่านเพลินน่าติดตามมาก ซื้อไว้เล่มหนึ่งค่ะ เห็นบันทึกพี่คิมแล้วอุ้มไปไปค้นมุมหนังสือดูไม่เจอแล้วค่ะเรื่องนี้ให้พี่ชายไปแล้วค่ะ เหลือแต่นิทานเวตาล ขุนช้างขุนแผน อ่านไม่เบื่อมีคุณค่าเสมอค่ะ
เคยดูหนังเรื่องนี้ด้วยค่ะฟังเสียงดนตรีอีสานไปด้วย สนุกดีค่ะ
สบายดีนะค่ะพี่คิม คิดถึงเสมอค่ะ
สวัสดีค่ะน้องpoo
ถึงแม้เราจะไม่ได้เกิดในภาคอิสาน แต่เราก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ยายคิมอ่านหนังสือ ๓ เล่มคือ ลูกอิสาน ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด และหนูหิ่นอินเตอร์
มีความภาคภูมิใจมากเพราะหนังสือทั้งามเล่มเป็นสุดยอดของทุกอย่างเหมือนเป็นหัวใจทองคำของชาวอิสานเลยทีเดียว
ส่วนหนังสือทางภาคใต้ ยายคิมสนใจเกี่ยวกับความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ และหนังสือแนวใหม่ค่ะ
สวัสดีค่ะน้องครูแป๋ม
ยายคิมได้อ่านลูกอิสานครั้งแรกเมื่อเรียนอยู่ระดับชั้นมัธยมต้น อ่านจากนิตยสาร "ฟ้าเมืองไทย" รายสัปดาห์ เพราะหนังสือตระกูลฟ้าเป็นหนังสือประจำครอบครัว ได้แก่ฟ้าเมืองไทย ฟ้าเมืองทอง และฟ้าเมืองเด็ก ซึ่งฟ้าเมืองทองและฟ้าเมืองเด็กออกทีหลังฟ้าเมืองไทยตามลำดับ
อีกเรื่องที่ชอบเป็นรองคือ "ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด" และการ์ตูน "หนูหิ่น" ทุกภาค ของเอ๊าะ ค่ะ เพราะมองเห็นหัวใจทองคำของอิสานค่ะ
ถ้ามีลูกมีหลานจะอ่านให้ฟังตั้งแต่พอรู้ความ และจะบังคับให้ลูกอ่านด้วยค่ะ หนังสร้างได้ไม่ถึงใจทุกเรื่องค่ะ
สวัสดีค่ะน้องถาวร
ตอนนี้พิมพ์ใหม่เป็น "ฉบับนักเรียน" ราคาถูกมากค่ะ โปรดไปหามาอ่านโดยเร็ว รับรองอ่านไปขนลุก น้ำตาไหล และยายคิมอยากจะถามว่า
"สามารถอธิบายบางถ้อยคำ สำนวน" ได้บ้างไหม
อย่าลืมอีก ๒ เรื่องคือผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด และหนูหิ่นอินเตอร์ นะคะ จะได้ภาคภูมิใจกับความเป็นหัวใจทองคำ
สวัสดีค่ะอาจารย์สัญชัย ฮามคำไพ
ยินดีที่ได้รู้จัก และขอขอบคุณที่มาเสริมเติมเต็ม ซึ่งตรงจุดประสงค์มากทีเดียวค่ะ ในการเขียนบันทึกนี้ โดยเฉพาะตัวสีแดง หลายอย่างยายคิมไม่รู้จัก และคาดว่าเด็กน้อยอิสานหลายคนก็อาจเหมือนกันค่ะ
จริงด้วยค่ะ ศาสนาเป็นสิ่งจรรโลงความยึดมั่นที่เหนียวแน่นมาก ตอนแรกที่ไปอยู่อิสานเมือปี ๒๕๓๔ พบคำว่า "บวร" ทุกบ้าน และมีความเข้าใจจากที่นั่นว่ามีการนำ ๓ สถาบันหลักของชุมชนมาเป็นหลักในการพัฒนา "บวร" ดังมาจากอิสานค่ะ
บุรอด เป็นตัวอย่างของความมานะ อดทน ขยันขันแข็ง แม้จะมีผัวฝรั่งแต่บุญรอดก็รักษาวัฒนธรรมและกุลสตรีไทย ที่ควรจะเป็น บุญรอดไม่งอมืองอเท้า และมีความกตัญญูค่ะ
ส่วนหนูหิ่น เป็นเอกลักษณ์ของความซื่อสัตย์ และการมีอารมณ์ครื้นเครงแบบฉบับของชาวอิสาน (เท่าที่ยายคิมเคยพบ) ค่ะ ไม่เหมาความคิดคนอื่นมากนะคะ
เด็กน้อยใน "ลูกอิสาน" สองคนคือคูนและจันดี สะท้อนให้เห็นความคิดสร้างสรรค์ และอยากให้ครูสมัยใหม่อ่านด้วยค่ะ
ตอนที่ให้นักเรียนวาดท้องนา "คูนวาดตามแบบของครู ส่วนจันดีวาดตามความจริงที่นาของของตนเองมีจอมโพนอยู่กลางนา กลับถูกลงโทษ"
หลวงพ่อ เป็นต้นตำรับของการมีจิตสาธารณะ โดยการสอนเด็กไม่มีค่าตอบแทน .... เยอะค่ะ อ่านเป็นรอบที่ ๔ อ่านอย่างช้า ๆ
ขอขอบพระคุณค่ะ อาจารย์ช่วยมาเติมเต็มในตอนต่อไปอีกนะคะ
สวัสดีค่ะอาจารย์สัญชัย ฮามคำไพ
ได้คุยกับอาจารย์ ทำให้ยายคิมเปิดโลกทัศน์ของความคิด ความอ่าน เพิ่มขึ้นค่ะ ตอนนี้ไม่มีอาชีพว่างงาน เติมเต็มให้กับการอ่านอย่างเดียว
จริงแหละค่ะ การเปลี่ยนแปลงและแรงผลักของเศรษฐกิจทำให้เกิดการเรียบเรียงที่มาที่ไปจากวิถีชีวิตของคน
ขอขอบพระคุณค่ะ
นั่นมันบ่วงอะไรนะแม่..."บ่วงสังกะสี" นั่นแหละ
ทำไมแม่ไม่ซื้อไปใช้บ้างที่เรือนเราใช้แต่เปลือกหอยกาบทำบ่วง..."เออมีสะตางค์แล้วจะซื้อไปใช้"
เสริมคำว่า บ่วง อันนี้เป็นภาษาลาวหรือภาษาอีสานโบราณ แปลว่า ช้อน นะครับ คนอายุรุ่น 60 ปีขึ้นไปจึงจะใช้คำๆนี้ในการเรียกสิ่งของที่ใช้ตักอาหารเข้าปาก แต่ในขณะเดียวกัน คนลาวแท้ยังคงใช้คำว่า บ่วง อยู่
หลายสัปดาห์ก่อนผมมีโอกาศได้ไปทำบุญวัดลาวในเท็กซัส ก็เสวนาภาษาอีสานกับภาษาลาว หลายๆคำใช้เหมือนๆกัน แต่บางคำคนลาวก็พูดไม่เหมือนคนอีสาน เช่น "เจ้าซอกหาอีหยัง" = คุณค้นหาอะไรเหรอคะ หรือ "เอาแซ่น้ำก้อนไปจังซี่นี่ล่ะ กว่าจะถึงบ้านมันก็เปื่อยหมด" = เอาแช่น้ำแข็งไปอย่างนี้นี่ล่ะ กว่าจะถึงบ้านมันก็ละลายพอดี
ผมขำในครั้งแรกว่าคนลาว เขาใช้คำว่า ซอก ขณะที่คนอีสาน ใช้คำว่า หา และน้ำก้อนลาว คือ น้ำแข็งไทยอีสาน ส่วนคำว่า เปื่อย เป็นศัพท์ที่เดาไม่ออกเลย ว่า กริยาที่น้ำแข้งละลาย คนลาวจะพูดว่า มันเปื่อย ฟังดูเหมือนของต้มมากเลยครับ อิอิอิ
ครูสัญชัย ลูกอีสาน-หลานลาว
ลุงคนนี้แหละที่เคยเป่าโรคตาแดงให้ลูกตอนเล็ก ๆ
การเป่ายังคงมีจริงๆในการแพทย์พื้นบ้านอีสาน หลายๆชุมชนในบ้านผมที่ร้อยเอ็ด คนเฒ่าประจำคุ้ม (หมู่บ้าน) ก็มักจะมีวิชาหมอโบราณไว้บำบัดรักษาโรคหรืออาหารเจ็บป่วยอยู่ มีพ่อเฒ่าหนึ่งแถวบ้านผมเค้าจะรับรักษาโดยทางจิตบำบัดกับอุบัติเหตุบางอาการ เช่น กระดูกหัก ก้างปลาติดคอ การไปหาก็ต้องแต่งขันธ์ห้า คือ ดอกไม้สีขาวหนึ่งคู่ใส่จานพร้อมดอกไม้ธูปเทียนไปด้วย และมีเงินค่ายกครูตามแต่กำหนดไว้ ไปถึงก็จะร่ายมนต์บริกรรมคาถาตามตำรา และเป่าน้ำมนต์พรวดๆลงบนที่ๆบาดเจ็บ หลังจากนั้นก็กลับบ้าน สักพักอาการเจ็บไข้ก็หายไปอย่างอัศจรรย์ครับ
หมอบ้านในอีสานยังคงทำหน้าที่อื่นด้วย เช่น หมอสูตร คือทำหน้าที่เป็นผู้สวดมนต์ในงานพิธีต่างๆ เช่น สู่ขวัญ ช้อนขวัญ และบางคนก็ยังมีความสามารถในการทำนายหาของหายได้ด้วยครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์สัญชัย ฮามคำไพ
ยายคิมเคยสอนที่โรงเรียนในอำเภอนครไทย ภาษาเขาก็คล้ายอิสานนะคะ เรียกอะไร ๆ เหมือนกันหลายอย่าง
เคยฟื้นฟูในฐานะครูภาษา ให้นักเรียนทำหนังสือภาษาถิ่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ทำให้เด็กหันมาสนใจภาษาของเขาได้ระดับหนึ่งค่ะ
บ่วงสังกะสี...ทำให้นึกถึงลูกของครูคนหนึ่ง ไม่ยอมใช้ช้อนสังกะสีทานข้าว ตอนไปทำบุญวัด บอกว่า "เป็นช้อนของคนจน" เหตุเกิดที่อิสานนะคะ
ซอก...ใกล้เคียงภาษาไทยนะคะ ค้นหา ซอกแซก
ยายคิมไปเมืองลาว คนลาวบอกว่า "ยายคิมนั่งแจม ๆ หน่อย" ทำให้ยายคิมนึกถึงความหมายของฝรั่ง งงละหวา..ไปพักหนึ่ง ดีที่ยายคิมเป็นคนนรักภาษา ทำให้สื่อเข้าใจง่ายค่ะ
การเป่า...ตอนยายคิมมาอยู่อิสาน โดนหมากัด พ่อใหญ่มาขอเป่าให้ ก็ดีค่ะ เป็นภูมิปัญญาไม่ควรลบหลู่นะคะ
ตอนแรกสนใจที่จะไปเรียนสาขาไทยคดีศึกษาที่สารคาม แต่ย้ายกลับบ้านเสียก่อน ไม่งั้นเข้าใจอะไร ๆ ลึกซึ้งกว่านี้แน่ค่ะ
ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่มาเติมเต็มค่ะ
ตอนที่ให้นักเรียนวาดท้องนา "คูนวาดตามแบบของครู ส่วนจันดีวาดตามความจริงที่นาของของตนเองมีจอมโพนอยู่กลางนา กลับถูกลงโทษ"
การเรียนการสอนในยุคนั้น ยังเป็นเรื่องของการกำหนดรูปแบบมาตรฐาน ครูคิมเคยคิดไหมครับว่า ทำไมคนรุ่นเก่าถึงต้องท่องบทอาขยานเป็นบทๆให้ได้ เพราะว่าระบบการปกครองมันก็มีส่วนครอบงำระบบการเรียนการสอนนะครับ อาจจะย้อยไปในสมัยจอมพลป. จอมพลสฤทธิ์ พลเอกเกรียงศักดิ์ พลเอกเปรม เป็นต้นมา การศึกษาคล้ายๆว่าจะได้รับอิทธิพลมาจากระบบทหารบ้างในบางส่วน แล้วมันมาคลายออกในสมัยหลังๆ
ผมไม่ได้มองว่าการท่องจำคือสิ่งไม่เหมาะไม่ดีนะครับ มองอีกด้านหนึ่ง การท่องทำให้จำได้ ต่อมาทำให้รู้จริงตามตัวบทและสามารถพัฒนาไปสู่ระดับสูงๆได้ ในการเรียนไม่ว่ายุคสมัยใด รูปแบบยังมีความสำคัญอยู่นิรันดร เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเสียหายถ้าหากท่องได้
กลับมาที่วรรณกรรมย่อหน้านี้ ทำไมจันดีถูกครูทำโทษ เหตุผลขั้นต้น คือ ผิดจากมาตรฐานของครู จึงต้องทำการตะล่อมเข้ากรอบโดยการทำโทษ และครูก็มีอำนาจอาญาสิทธิ์โดยชอบธรรมในการใช้กำลังข่มเหงเด็ก ผมอาจจะพูดแรงนะครับ ขออภัยนิดหนึ่ง แต่โดยความเป็นจริงของยุคสมัยนั้น ไม้เรียวคืออาวุธของครู เสมือนดาบของทหาร และสมัยนั้นสังคมก็อยู่ในภาวะกำหราบปราบปราม โดยเฉพาะเรื่องของระบอบการปกครอง ถ้าพูดคำว่า คอมมิวนิสต์ในช่วงสมัยลูกอีสาน ผมคิดว่าคงถูกยิงเป้าเอาได้ โรงเรียนก็เสมือนโรงอบรมนิสัยพลเมืองตามระบอบประเพณี ดังนั้น กรอบที่ชัดเจนจึงจำเป็นในการสอนเด็กในยุคนั้น
หันมาเสริมที่วงการศึกษาด้านการสอนวิชาภาษาอังกฤษของอเมริกาบ้างครับ นักวิชาการสายหนึ่งก็มีการสรุปออกมาแล้วว่า วิชาการเขียนเรียงความของนักเรียนอเมริกัน ครูควรแยกแยะเกณฑ์ประเมินออกเป็นสองกลุ่ม คือ เกณฑ์พื้นฐานภาษา และเกณฑ์สาระสำคัญ อันแรกก็จะพูดเรื่องไวยากรณ์ การสะกด วรรคตอน โดยเป็นรูปแบบของภาษา อันหลังอยู่เหนือกว่า โดยมองที่แนวคิดในการสร้างใจความ การสื่อสารวาทการของภาษา และความมสัมพันธ์ขององค์ประกอบ เลยสนับสนุนว่า ครูภาษาอย่าบ้ารูปแบบกันเกินไป เอาสาระสำคัญเป็นหัวใจหลักเถอะ
อิอิ ผมว่ามันทิ่มโดนวงการศึกษาไทยบ้างเหมือนกันนะ รูปแบบ VS สาระ
ครูสัญชัย
สวัสดีค่ะ
การท่องอาขยาน บทกลอน หรือบทเพลงต่าง ๆ ก็มีส่วนดี เพราะความจำเป็นส่วนหนึ่งในการนำสิ่งที่จำไปทำให้เกิดความรู้ใหม่ หรือการนำไปใช้
แต่บางวิชาเมื่อขาดการฝึกฝน ก็อาจล้มเหลวเช่นวิชาภาษา หากขาดการฝึกก็จะไม่เกิดทักษะ
กระบวนการฝึกขึ้นอยู่กับการนำทฤษฏีมาประยุกต์ใช้ ยายคิมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ติดรูปแบบ ไม่ว่าวิชาใด ๆ จึงกลายเป็นคนอยู่ไม่ได้ ในระบบราชการที่มีเขานิยมกรอบ มีตัวชี้วัดที่ไม่โปร่งใส
ครูดี ๆ ที่เขาลาออกไปก็เยอะ เพราะเขาทนกับกรอบไม่ได้ค่ะ ขอขอบคุณอาจารย์มากค่ะ ที่มาคุยและเติมเต็มให้กับยายคิม
เป็นหนังสือที่อ่านแล้วมีความสุขไปกับตัวละครทำให้นึกว่าตัวเองอยู่ในหนังสือเลยค่ะ