อ.ผัก
อาจารย์ พท. ศุภฤกษ์ ภมรรัตนปัญญา

คุณย่ายิ้ม หญิงชราตัวคนเดี่ยวที่โดดเดี่ยวกลางป่าเขา


คุณย่ายิ้ม หญิงชราตัวคนเดี่ยวที่โดดเดี่ยวกลางป่าเขา

คุณย่ายิ้ม  หญิงชราตัวคนเดี่ยวที่โดดเดี่ยวกลางป่าเขา

   

 

            ลำพังคนหนุ่มสาว จะให้เดินขึ้นลงเขาสัก 7-8 กิโลเมตร ยังเล่นเอาเหงื่อตก หอบแฮ่ก ๆ ๆ ถ้าไม่ใช่ทริปท่องเที่ยว หรือเหตุจำเป็นจริง ๆ ล่ะก็...คงส่ายหน้าหนีกันเป็นแถวแต่สำหรับ "ย่ายิ้ม" หญิงชราวัยใกล้ร้อย การกระทำข้างต้นถือเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวันพระ จนชาวบ้านท่าหนอง จ.พิษณุโลก รู้กันดีว่า หากเห็น ย่ายิ้ม เดินลงจากบ้านกลางป่าเขาวันไหน วันนั้นแหละ คือวันพระ เพราะไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ย่าก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด 
ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่อง ขรุขระ ไม่ได้เป็นอุปสรรค หรือส่งผลต่อใบหน้าเปื้อนยิ้มของหญิงชราผู้มีอารมณ์ดีอยู่เป็นนิตย์ โดยทุกวันพระ ย่ายิ้ม จะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด แต่อย่าถามเลยว่ากี่โมง เพราะบ้านของแก ไม่มีทั้งนาฬิกา และปฎิทิน แกรู้เพียง มืดก็นอน สว่างก็ตื่น ตะวันตรงหัวก็เที่ยง และเมื่อกลับจากวัด แกก็จะมานับวันหลังจากนั้นไปถึงวันโกนวันพระอีกที ซึ่งไม่เคยพลาดหรือคลาดเคลื่อน ทุกวันนี้แม้วัยจะล่วงเลยมาถึง 83 ปี แต่ ย่ายิ้ม ยืนยันว่า ร่างกายยังแข็งแรงดี และก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรนักกับการที่ต้องอยู่ในบ้านกลางป่าเพียงลำพัง 

          หลายครั้ง ลูกชาย 2 คนที่ยังคอยดูแลแม่คนนี้อยู่ห่าง ๆ  พยายามรบเร้าให้แกไปอยู่ด้วย แต่ก็ดูเหมือนจะเอาชนะใจแม่ได้ยากยิ่ง ย่ายิ้ม ยืนกรานจะปักหลักบั้นปลายชีวิตอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน ด้วยเหตุว่า บ้านกลางป่าของแก ทำให้ชีวิตไม่วุ่นวายจนเกินไปนัก เพียงแค่เก็บหน่อไม้มาดองกินกับมะพร้าวคั่วหอม ๆ ก็นับเป็นอาหารรสดีที่ช่วยให้อิ่มท้องและประทังชีวิตได้แล้ว   "ความเจริญอยู่ที่ไหน มันก็ทุกข์ยากที่นั่น อยู่บนเขานี้ ไม่มีเงินย่าก็ยังอยู่ได้ แต่ถ้าอยู่ในตัวเมือง ไม่มีเงินอยู่ไม่ได้เลยหนา ต้องซื้อเอาทุกอย่าง ไปอยู่ก็จะเดือดร้อนเขา"

          ถึงอย่างนั้น วิถีบ้านป่าแบบ ย่ายิ้ม ก็ใช่จะสบายอย่างปากว่า ในช่วงฤดูฝน ดูจะโหดร้ายเป็นที่สุด เพราะหนทางในป่านั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ หากมีน้ำหลากลงจากเขา จนข้ามห้วยไม่ได้ ย่ายิ้มก็จะไม่ออกจากบ้าน ซึ่งช่วงที่ไม่ได้ลงเขาหลายวัน ข้าวสารก็มักจะไม่มีเหลือให้หุงให้กิน ครั้นจะแจ้งบอกข่าวฝากไปถึงใครก็ไม่มี   
  "ก็ต้องอดเอามั่ง บางทีเกือบ ๆ อาทิตย์ไม่ได้กินข้าวเลย กินแต่หัวกลอยป่าเอามานึ่งกับมะพร้าวคั่ว"

          นอกจากจะเก็บหน่อไม้ไปแลกข้าวกับคนในชุมชนแล้ว ย่ายิ้มยังมีรายได้ประจำตัวคือ เบี้ยสงเคราะห์คนชราเดือนละ 500 บาท ทว่าเงินจำนวนนี้ ก็มักจะหมดไปกับการทำบุญเสียทุกคราวที่ไปวัด รวมไปถึงเงินที่ลูกหลานแบ่งไว้ให้ใช้ยามมาเยี่ยม ก็ร่อยหรอไปกับกิจกรรมในทางธรรมเช่นกัน ด้วยความเป็นคนจริงเรื่องการทำบุญ และรอยยิ้มที่ไม่เคยหายจากใบหน้าสมชื่อ ย่ายิ้ม ทำให้แกได้รับมิตรภาพดี ๆ จากคนในชุมชนบ้านไร่เชิงเขา ... บ่อยครั้ง ย่ายิ้ม ได้รับอาหาร ของฝาก รวมทั้งความเป็นห่วงเป็นใยจากคนที่ไม่ใช่ญาติ   ความเป็นห่วงเป็นใยปนสงสัยว่า หญิงแก่อยู่คนเดียวกลางป่าได้อย่างไรเป็นเวลาหลายปี หากนับถึงวันนี้ก็ 27 ปีเข้าไปแล้ว ในช่วงแรก ๆ จึงเคยมีข่าวลือต่าง ๆ นานา บ้างว่า ย่ายิ้มเลี้ยงผี บ้างว่าเลี้ยงโจร ส่งยาบ้า ถึงขนาดเคยมีเจ้าหน้าที่มาล้อมบ้านย่ายิ้ม และจุดไฟเผาหญ้ารอบบริเวณบ้าน เพื่อหวังให้โจรออกมา แต่เผาไปแล้วก็ไม่มีใครออกมาสักคน หลัง ๆ ข่าวลือจึงเริ่มซา และหายไปในที่สุด    เฒ่า-ศรศักดิ์ มากมา ลูกชายคนที่ยังอยู่ใน อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก เป็นคนที่คอยมาดูแลแม่บ่อยที่สุด เขาจะขับรถอีแต๋นมารับย่ายิ้มก่อนวันพระใหญ่ เพื่อพาไปทำบุญ นุ่งขาวห่มขาวค้างวัด ถือศีลอุโบสถที่วัดหลวงพ่อใหญ่พระพุทธชินราช เป็นประจำสม่ำเสมอ เสร็จจากงาน ไอ้เฒ่าของแม่ ก็จะขับรถมาส่งพร้อมด้วยเสบียง ข้างสาร มะพร้าว และของแห้ง    "แม่เขาจะบอกว่าไม่ต้องเอามาให้มากนะ ในชีวิตเขา แม่เขาไม่เคยอยากได้อะไรเลย เคยถามเขาก็บอกว่า เขาพอแล้ว สมัยยังเด็กบ้านเราจนกันมาก พ่อก็ตายตอนที่เรายังเล็ก ๆ แต่แม่คนเดียวก็หาเลี้ยงลูกได้ มานึกดูแกต้องทำงานหนักมาก แม่ถึงเน้นสอนให้เข้มแข็ง หนักเอาเบาสู้ไม่เลือกงาน"  ความจริงแล้ว ย่ายิ้ม มีลูกทั้งหมด 5 คน 2 คนแรก เกิดกับสามีคนแรก ที่มาด่วนเสียชีวิตไปก่อน ย่ายิ้มจึงต้องเลี้ยงลูกสาวลูกชายตัวคนเดียวมาหลายปี ก่อนจะมาผูกสมัครรักใคร่กับสามีคนที่ 2 (ก็มาตายจากไปอีก) และมีลูกอีก 3 คน แต่คนที่ย่ายิ้ม ยังพูดถึงอยู่เสมอก็มีเพียงแค่ 2 คน คือ ไอ้เฒ่า และพ่อทูล น้องคนเล็ก ที่สร้างบ้านไม้กลางป่าอยู่กับแก ก่อนจะตัดสินใจหอบลูกพาเมียไปหางานทำในกรุงเทพฯ 

          ตลอดหลายปีกับชีวิตกลางป่าเขาเพียงลำพัง ย่ายิ้ม สารภาพว่า เมื่อไหร่ที่ลูกขึ้นมาหาและมานอนด้วย แกก็ดีใจทุกครั้ง แต่พอกลับกันไป แค่เห็นเดินคล้อยหลังก็นั่งใจละห้อยแล้ว...แต่ถึงอย่างไร แกก็ยังยืนหยัดว่าจะขออยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ไปจนตาย และคำขอสุดท้ายที่ฝากไว้กับลูกคือ...ถ้าแม่ตาย ก็ให้เผาให้ฝังไว้ที่ไร่บนเขานี้   "ย่าไม่อยากตายหรอกหนา แต่ไม่เคยกลัว ถึงเวลาจะต้องละแล้ว ก็ต้องไป..."

          เรื่องราวของ ย่ายิ้ม อาจเป็นเรื่องธรรมดาๆ ของหญิงชราคนหนึ่ง แต่เมื่อรับรู้รับทราบแล้ว ก็อดนึกถึงปู่ย่าตายายของตัวเองเสียไม่ได้ ...บางที "ยิ้มของย่า" ก็ทำให้รู้สึกดี ๆ ได้เหมือนกัน
   

 

 

 

    

                                                                  คุณหลวงเวชการ

                                                                     02 / 11 /53

คำสำคัญ (Tags): #ย่ายิ้ม
หมายเลขบันทึก: 405925เขียนเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2010 05:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 10:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

ยิ้มสยาม ยิ้มแห่งความสันโดษ...ชั่งมีความหมายลึกซึ้งจริงๆ ครับอาจารย์

ขอบคุณครับ

เป็นความสุขที่หัวใจของท่าน

ลูกหลานก็อาจเป็นห่วง..นะคะ

สวัสครับอาจารย์นุ

      เมื่อเราแก่ตัวมาเเล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความสุขนี้แหละครับ ขนาดคุณย่ายิ้ม แกต้องเดินทางจากบนเข้าเพื่อมาเข้าวัด เเทนที่แกจะเหนื่อยกับมีความสุขกับางที่ได้ทำ ในบั้นปลายชีวิตนะครับ   ขอบคุณ อ.นุมากครับที่มาเยี่ยมเเต่เช้าเชียว วันนี้คุณหลวงต้องตามเสด็จ เลยต้องตื่นเช้าครับ  ดูเเลสุขภาพด้วยนะครับ อากาสหนาวเเล้ว

สวัสดีครับพี่ครูป.๑

       ความสุขของแกคือการใช้ชีวิต เเบบที่ไม่ต้องให้ใครลำบากด้วย ไม่ต้องยุ่งยากใคร เข้าวัด ฟังธรรม  ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ เพือหาความสุขให้ตัวเเกเองก็พอเเล้วครับ  เเต่ก็ยังไม่ขัดที่จะรับการดูเเลจากลูกหลานบ้างเล็กน้อย เพื่อให้ลูกหลานได้ตอบเเทบบุญคุณครับ

อึ้ง ทึ่ง กับคุณย่ายิ้ม ชีวิตสันโดษที่มหัศจรรย์ .. แค่ยังยิ้มได้ ชีวิตก็มีความหวัง ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับคุณปู

     เเค่เราเห็นรอยยิ้มของคุณย่า เรายังมีความสุขเลยครับ  อิอิ

คุณยายอยู่ได้ด้วยความเชื่อและความศรัทธาซึ่งทำให้กิดความหวังและความเคยชิน

ขอชื่นชมที่นำเรื่องดีดีของชีวิตหนึ่งที่ทำให้เกิดแรงบรรดาลใจกับอีกหลายชีวิตให้สู้ต่อไปคะ

สวัสดีครับคุณจิต

     ขอบคุณมากครับที่มาเยี่ยมเเต่เช้า   คุณย่าท่านมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ครับ ไม่ทะเยอทะยาน  สบายๆๆ  ไม่ต้องคิดไรมาก ครับ

  • สวัสดีครับ
  • คนรุ่นคุณย่าคุณยายเรามักจะเห็นท่านใช้ชีวิตแบบพอเพียง มีความสุขอย่างพอเพียง สมัยนี้หลายอย่างเปลี่ยนไป มีความเจริญทางวัตุถุเข้ามา คนเราไปยึดติดมากเกินไป ต้องมีนั่น มีนี่ ต้องมียี่ห้อ จึงจะภูมิใจในความสุขที่ปนทุกข์จากการเป็นหนี้ เพราะเกินฐานะและความจำเป็น

สวัสดีครับคุณพี่ชำนาญ

                        ใช้เเล้วครับ การเป็นสุขที่เเท้จริงคือ  การพึงตนเอง ได้ อยุ๋อย่างพอเพียง ไร้หนี้สิ้น  ครับ

มาชม

เห็นคุณยายแข็งแรง...สุขภาพดีจังเลยนะ...ชื่นชมในการดำเนินชีวิต...

สวัสดีครับอาจารย์อุทัย

คุณยายเเข็งเเรงกว่าผมอีกครับ อาจารย์ ฮ่าๆๆ

สวัสดีค่ะ...คุณหลวง...

  • คุณย่าอยู่อำเภออะไรค่ะ...มีเขาแบบนี้ น่าจะ อ.เนินมะปราง อ.นครไทย อ.ชาติตระการค่ะ...เพราะอำเภออื่น ๆ ไม่เห็นมีภูเขาแล้วนะค่ะ ใน จ.พิษณุโลก...
  • พี่เข้าใจย่าดีน่ะ ว่าท่านคงใช้ชีวิตแบบนี้มานาน ก็เลยชินกับสภาพที่เป็นอยู่
  • แต่ชอบรอยยิ้มของท่านค่ะ...ว่าเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง ๆ ค่ะ...
  • ทำให้ได้ข้อคิดนะค่ะว่า...ทำไมคนเราจึงต้องดิ้นรนกันไปถึงไหน?...อำนาจ + ยศถาบรรดาศักดิ์  ไขว่คว้ากันไปทำไมหนอ...
  • คุณหลวงคะ ขอบคุณจริงๆค่ะสำหรับข้อมูลของคุณย่า ที่นำมาให้คนอยู่พิษณุโลกอย่างพี่ได้อ่าน...
  • เป็นความคุ้นชิน กับการใช้ชีวิตเรียบง่าย สงบ แต่ก็น่าห่วงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย...
  • ชอบทุกภาพของย่า มองแล้วได้คิดนะคะ

สวัสดีครับพี่บุษ

        คุณย่ายังเเข็งเเรงมากครับ   ไม่รูผมจะได้ครึ่งหนึ่งของท่านรึเปล่า อิอิ

สวัสดีครับพี่กาญ

         ขอบคุรมากครับที่มาชม   บ้างทีผมก็คิดนะครับ ว่าแก่เเล้วคงจะต้องอยู๋แบบคุณย่าเหมอืนกัน อิอิ

อ่านบทความแล้ว รู้สึก สุข ปรื้ม ปนเศร้านิด นิด ครับ สุขที่เห็นรอยยิ้มครับ ปลื้ม มาก ที่เห็นความมั่นคง และความเข้มแข็ง ของหญิงคนหนึ่ง เศร้า นิด นิด ตรงเห็นความไม่เที่ยงของชีวิตนะครับ เวลาเดิน เวลาผ่าน เวลาเปลี่ยน ทุกสิ่งเปลี่ยน

สวัสดีครับคุณวินัย

     ขอบคุรมากครับทีมาเยี่ยมชมครับ   ดูเเลสุขภาพด้วยนะครับ  อากาศเริ่มหนาวเเล้ว

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท