Desire not to desire : กับความปรารถนาที่จะเป็น "ผู้ไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกต่อไป "


ข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาจากงานภาวนาที่นครนายก กับหลวงปู่ติช นัท ฮันห์  นี่เป็นครั้งที่ 2 ในรอบสามสิบกว่าปีที่ท่านมาเยือนประเทศไทย   เมื่อ 3 ปีก่อนนั้น มีงานภาวนาที่เชียงใหม่ นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้พบเห็นตัวจริงของท่าน  เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันมากทีเดียว  ครั้งนั้นข้าพเจ้าตื่นเต้นที่จะได้พบกับหลวงปู่ในฐานะนักเขียนที่เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่ข้าพเจ้าอ่านแล้วประทับใจมาก  นั่นคือหนังสือที่ชื่อว่า “ปาฎิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ”   หนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้าผ่านทุกข์หนักจากการงานอันมากมายและกลับมาดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะและมีความสุขจากการทำงานมากขึ้น  เพราะว่าหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้และนำวิธีการที่ท่านเขียนแนะนำในหนังสือมาใช้ในชีวิตประจำวัน  ข้าพเจ้าก็พบว่าบางสิ่งบางอย่างในชีวิตได้เปลี่ยนแปลงไป  และได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ในการใช้ชีวิตขึ้น

 

สามปีผ่านไปหลังจากเข้าสู่หนทางแห่งการภาวนา   กับการได้พบครูบาอาจารย์มากมายหลายสายการปฎิบัติ  ทั้งที่ไกลและใกล้ ทั้งที่ได้เคยพบตัวจริงและไม่เคยได้พบตัวจริง   ได้ทำให้ข้าพเจ้าเข้าสู่ความมุ่งหวังตั้งใจอย่างแท้จริงในการใช้ชิวิตในทางโลกต่อไปและภาวนาไปด้วย  ข้าพเจ้ายังไม่ได้หนีจากชีวิตอันวุ่นวายในทางโลกไปไหน แต่ยังดำรงอยู่ในความวุ่นวายสับสนของผู้คน สังคมโลกไปตามปกติ   แต่ความวุ่นวายภายนอกนั้นไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าวุ่นวายข้างในมากมายอย่างแต่ก่อน  แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้บรรลุธรรมสูงสุดอันใด แต่การภาวนาได้เปลี่ยนวิถีทางในการใช้ชีวิตของข้าพเจ้าไปมากมายหลายอย่าง  ข้าพเจ้าเริ่มตระหนักรู้ถึงความมุ่งหมายบางอย่างของชีวิต และเริ่มพบว่าบางสิ่งบางอย่างในชีวิตนั้นไม่มีความจำเป็นใดๆ   เราเป็นได้อยู่ได้  มีความสุขได้ตามแต่ที่พอจะมีและจะเป็นเท่านั้น  ความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่และไม่แสวงหาสิ่งใดมาเพิ่มเติมชีวิตเริ่มก่อเกิดขึ้นในใจ  ข้าพเจ้าเริ่มหยุดแสวงหาสิ่งภายนอกมาต่อเติมชีวิต  และใช้ชีวิตที่ช้าลง ไม่ร้อนรนวุ่นวายในการแสวงหาสิ่งต่างๆ   อยู่ๆข้าพเจ้าก็พบว่า  ชีวิตเป็นสุขได้ง่ายๆ  เพียงแค่ดำรงอยู่ในขณะปัจจุบัน แถมความสุขสามารถก่อเกิดได้ง่ายๆ จากสิ่งเล็กๆน้อยๆ  ที่พบเจอในชีวิตประจำวันนี่เอง 

ข้าพเจ้าพบว่า  สิ่งที่ได้พบเจอในแต่ละขณะๆในชีวิตนั้นมีคุณค่ามีความหมายอย่างมาก แค่รอยยิ้มของเด็กสักคนหนึ่ง หรือรอยยิ้มทักทายจากใครสักคนที่เราพบเจอก็ทำให้เรารู้สึกดีๆ ได้   การได้เห็นท้องฟ้าสีฟ้าใส  หรือการมองเห็นสายฝนที่โปรยปรายในยามบ่ายๆ  ก็ทำให้เรามีความสุข  ขณะเดียวกันในช่วงเวลาที่วุ่นวายกับการงานอันหนักหนาสาหัส  หรือในวันที่ท้องฟ้าไม่สดใส  มีแต่ความทุกข์ความเศร้าข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกว่าตนเองก็ยังดำรงอยู่ได้โดยไม่ทุกข์มากมายอย่างแต่ก่อน  ข้าพเจ้ารับรู้อารมณ์ความรู้สึกที่ปรากฏแล้วยอมรับมันอย่างเข้าใจ เลิกตำหนิตนเอง แล้วปล่อยวางมันลงได้ง่ายขึ้น  แม้บางเรื่องจะยากลำบากกับการเข้าใจและทำให้ทุกข์ใจอย่างมาก แต่ข้าพเจ้าก็ยังอยู่กับมันได้และทำความเข้าใจมันอย่างสงบ  และก็ไม่ได้กดข่มความทุกข์ไว้  ยอมรับในความทุกข์นั้น ยอมรับในความรู้สึกแย่ๆนั้น  แล้วก็หวังว่าข้าพเจ้าจะเข้าใจมันมากขึ้น และยอมวางมันลงได้จริงๆ ในสักวันหนึ่ง

บนเส้นทางที่ข้าพเจ้าเดินมานั้น เป็นเส้นทางที่อาจะแตกต่างจากใครอีกหลายคน  มีหลายคนต่างคิดเห็นว่า ข้าพเจ้าคงยังมุ่งหวังแสวงหาครูบาอาจารย์ไปเรื่อยเปื่อย  ทำประดุจผู้ชอบวิ่งช้อบปิ้งทางจิตวิญญาน  ไม่มีหลักไม่มีการอะไรเลย  สายนั้นก็สนใจ  สายนี้ก็ไปภาวนากับเขาได้ด้วย  ไม่รู้ว่าเป็นพวกเถรวาท มหายาน หรือวัชรยานกันแน่  ดูออกจะสับสนพิกล  หลายท่านถึงกับออกปากว่า  ถึงเวลา  ต้องเลือกแล้วล่ะว่าจะไปทางไหน  ข้าพเจ้าก็ได้แต่ยิ้มๆ  แล้วบอกว่า  ข้าพเจ้าได้เลือกแล้ว  ในวิถีที่เป็นอยู่  ในแนวทางที่เป็นอยู่   และข้าพเจ้าไม่ได้เลือกวิถีเส้นทางของครูบาอาจารย์ท่านไหน  แถมไม่คิดที่จะเดินตามรอยเท้าท่านด้วยซ้ำ  เพราะเส้นทางของท่านยอมแตกต่างจากเราทั้งหลาย ควรหรือที่เราจะไปก้าวเท้าตามท่าน  หรือเลียนแบบท่าน  

ครูบาอาจารย์คือแรงบันดาลใจ  แต่ท่านไม่อาจจะช่วยให้เราเข้าใจความจริงสูงสุดของพระพุทธองค์ได้หรอกถ้าเราไม่ทำอะไรเองเลย  แล้วมัวแต่เดินตามรอยเท้าท่านไปเท่านั้น  ดังนั้นการพบครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าก็เพื่อแสวงหาแรงบันดาลใจและคำชี้แนะบางสิ่งบางอย่าง  เพราะท่านอาจารย์ทั้งหลายนั้นย่อมมีสิ่งพิเศษสุดมาแบ่งปันเรา  และเนื่องจากท่านได้เดินทางมานานและพบสิ่งต่างๆ มามากมายทั้งที่เป็นความผิดพลาดและความสำเร็จ  ทั้งที่ถูกทางและไม่ถูกทาง  สิ่งเหล่านี้คือบทเรียนที่จะสอนใจเราได้  และที่สำคัญก็คือการได้พบครูบาอาจารย์สายต่างๆนั้น  ทำให้รู้ว่าเส้นทางการบรรลุธรรมของท่านเหล่านั้นแตกต่างกันไป แต่สุดท้ายก็จะมาพบเส้นทางเอกเส้นหนึ่งซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกัน  และเป็นเส้นทางที่ปราศจากถ้อยคำนิยาม ปราศจาก การถกเถียง  ปราศจากการแบ่งแยก และจะหลุดพ้นออกไปจากทวิภาวะ  กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน 

การได้ไปภาวนากับหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ครั้งนี้  แตกต่างจากครั้งก่อน  ข้าพเจ้าไปด้วยความรู้สึกถึงการได้พบธรรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ของสายเซนมหายาน  และไม่ใช่เพราะท่านเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงจึงอยากจะพบท่าน แต่เป็นเพราะท่านคือ ธรรมาจารย์ที่เป็นแรงบันดาลใจและมีอิทธพลสูงสุดในทางจิตวิญญานของข้าพเจ้า  ธรรมะของท่านสัมผัสใจของข้าพเจ้าด้วยถ้อยคำง่ายๆแต่ลึกซึ้งกินใจ   และธรรมบรรยายของท่านก็ทำให้ข้าพเจ้าน้ำตาไหลอย่างซาบซึ้ง  เพราะคำสอนบางอย่างได้เข้าไปถึงจิตใจและก่อเกิดความตระหนักรู้อันยิ่งใหญ่และเข้าใจสิ่งทั้งหลายได้มากขึ้นและชัดขึ้น

ด้วยวัย 84 ปี หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ยังดูแข็งแรง  ท่านเดินช้าๆ  ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก  ความเมตตาและความอ่อนน้อมของท่านปรากฏชัดให้เราได้มองเห็น  ข้าพเจ้าสัมผัสถึงพลังอันหนักแน่นมั่นคง แต่อ่อนโยนด้วยความรักความเมตตาจากท่านที่มอบให้สรรพสิ่งทั้งหลาย   และธรรมะบรรยายของท่านในวันสุดท้ายก็ทำให้ข้าพเจ้าถึงกับน้ำตาไหลออกมา และช่วยให้เข้าใจในเนื้อหาคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ชัดแจ้งขึ้น

หลายท่านกล่าวว่าคำสอนหลวงปู่เหมือนบทกวี  ช่างพร่ำเพ้อพรรรนาถึง ธรรมชาติอันงดงาม ดั่งการเพ้อฝัน และติดสุขฟู่ฟ่อง  การกล่าวถึง สายลมแสงแดด  ท้องฟ้า ขุนเขา  ดูแล้วเลือนลอยและขาดความเอาจริงเอาจังไปอย่างมาก  แต่จากการภาวนานี้ก็มีผู้กล่าวว่าธรรมะของท่านลึกซึ้งมาก และยากที่จะเข้าใจ  ด้วยถ้อยคำง่ายๆ แต่ภายในถ้อยคำเหล่านั้นคือความหมายของปรมัตถ์ และเป็นความจริงสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ทั้งหมดทั้งสิ้น

 มันเป็นการยากที่จะเข้าใจอยู่  ที่ใครจะมองเห็นเมฆสีขาวบนแผ่นกระดาษ หรือเห็นแสงแดด สายลม และต้นไม้ ในกระดาษแผ่นหนึ่ง  ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันและจินตนาการสิ้นดี   แต่หลวงปู่ติชกล่าวว่า  จงฟังอย่างลึกซึ้ง จงมองอย่างลึกซึ้งในสิ่งทั้งหลาย แล้วเราจะพบว่า  ไม่มีอะไรแยกขาดจากกัน ทุกสิ่งย่อมอาศัยกันและกันในการก่อเกิด   กระดาษแผ่นหนึ่งจึงมาจากต้นไม้  แสงอาทิตย์  คนปลูกต้นไม้ แรงงาน  กว่าจะเกิดกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้เราใช้สอยในทุกวันนี้ต้องพึ่งพิงอะไรหลายๆอย่างมากมาย   นั่นคือความเชื่อมโยงอิงอาศัยในกันและกันของสรรพสิ่ง ที่เราไม่เคยมองเห็น   ในกระดาษแผ่นหนึ่งจึงมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนั้น  และด้วยสายตาของผู้มีปัญญาอันยิ่งใหญ่เท่านั้นจึงจะมองเห็นอย่างแท้จริงได้   และต้องเห็นด้วยจิตอันแท้จริง   ไม่ใช่เห็นด้วยการคิดไตร่ตรองพิจารณาหาเหตุหาผลเอาดังที่คิดกันอยู่    ข้าพเจ้าคิดเห็นไปว่า      วันใดก็ตามที่ผู้ภาวนามองเห็นเมฆสีขาว  พระอาทิตย์ และ ต้นไม้ ในกระดาษแผ่นหนึ่งอย่างแท้จริงไม่ใช่ด้วยการคิดเอา   นั่นก็คือการเข้าสู่ความจริงสูงสุดที่พระพุทธองค์กล่าวถึงนั่นเอง

ในธรรมบรรยายของหลวงปู่ติชวันที่สอง กล่าวถึงความทุกข์ ความสุข ท่านสอนเรื่องของอริยสัจสี่ ได้อย่างน่าสนใจ ท่านสอนว่า การมีความทุกข์คือความจริงที่เราควรตระหนักรู้  และเราไม่ควรจะหนีความทุกข์ หรือกดข่มมันไว้  ทว่าเราควรมองเข้าไปในความทุกข์อย่างลึกซึ้งและทำความเข้าใจกับมัน  เพราะถ้าเราไม่เข้าใจมันเราก็ไม่อาจจะหาวิธีการดับทุกข์ได้   และท่านก็กล่าวว่า ถ้าเราภาวนาเราจะรู้วิธีที่จะแปรเปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นความสุขได้   ดอกบัวเกิดจากโคลนตมได้ฉันใด  ความสุขก็สามารถก่อเกิดได้จากความทุกข์เช่นกัน   หลวงปู่ติชกล่าวว่า ในอริยสัจสี่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องทุกข์อย่างเดียวแต่พระองค์สอนเรื่องการหลุดพ้นจากทุกข์ และกล่าวถึงความสุขด้วยเช่นกัน

 

ในงานภาวนานี้เรามีกลุ่มสนทนาธรรมด้วย  ข้าพเจ้าได้อยู่ในกลุ่มสนทนาธรรมในงานอาชีพแพทย์  ทันตแพทย์  คุณพยาบาล ที่ทำงานด้านการดูแลคนเจ็บไข้ได้ป่วย  เราต่างพบว่า ด้วยอาชีพของเราที่ต้องดูแลผู้เจ็บป่วยที่ทุกข์ทั้งกายและใจ แต่ความที่เราเป็นกลุ่มคนที่มีอุปนิสัย perfectionist  และยืนอยู่ท่ามกลางความคาดหวังของคนทั้งหลาย ว่าต้องเสียสละ อดทน และต้องเป็นคนดีมีเมตตากรุณา  เราจึงมีความรับผิดชอบต่อความคาดหวังเหล่านั้น และมุ่งหวังให้ตนเองเป็นเช่นนั้น จนไม่มีความเมตตาต่อตนเอง ไม่เคยดูแลอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง  ทำงานอย่างหนักเพื่อคนอื่น และยังต้องแสวงหาสิ่งต่างๆในทางโลกด้วย  ทั้งเงินทอง  ฐานะทางสังคม การดูแลครอบครัว การดูแลคนรอบข้าง เราจึงลืมที่จะดูแลตนเอง  และไม่ประมาณตนเองว่ามีพลังที่จะทำสิ่งต่างๆได้มากมายจริงๆหรือไม่  เรากลายเป็นคนที่เอาจริงเอาจังแต่ไม่มีความกรุณาต่อตนเองเลย  มีหลายครั้งที่จิตใจเราไม่พร้อมที่จะดูแลคนอื่นๆ  เราหงุดหงิด หมดกำลัง  และเราก็ไม่สามารถดำรงอยู่อย่างมีสติได้ ไม่สามารถดูแลอารมณ์ของตนเองได้    การที่เราไม่กรุณาต่อตนเอง เราจึงไม่อาจจะไปกรุณาต่อใครๆได้   หลักการเบื้องต้นจึงต้องกลับมามีเมตตากรุณาตนเอง ดูแลจิตใจตนเองให้ได้ก่อน  จากนั้นเราจึงจะสามารถไปให้ความช่วยเหลือคนอื่นๆได้   เมื่อใจเราเป็นทุกข์ไม่มีความสุข จึงยากอยู่ที่เราจะไปช่วยคนอื่นให้มีความสุขได้

  ข้าพเจ้านึกถึงกัลยาณมิตรทั้งหลายในสายงานอาชีพของข้าพเจ้า  ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ด้วยความรับผิดชอบอันสูงสุด  ทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถแต่ไม่มีความสุขในการทำงานเลย  คนไข้กลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ งานการกลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย และคนไข้ทั้งหลายกลายเป็นภาระงาน ที่ตนเองก็ไม่อยากดูแล  แต่ก็จำต้องทำไปตามหน้าที่  นี่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดมากว่า คนผู้นั้นทุกข์มากเพียงใด   การไม่ยอมแม้แต่จะหยุดพักดูแลตนเอง ด้วยคิดว่าการทำงานที่ดีคือการทำให้เสร็จสิ้นไปวันๆ อย่างสมบูรณ์แบบ  แต่ลืมมองย้อนกลับไปว่างานการที่ทำไปในวันนั้น  ยังความเบิกบานให้ตนเองและผู้อืนหรือไม่  หรือว่ายิ่งไปเพิ่มความทุกข์ใจให้ทั้งคนไข้ และญาติ รวมทั้งเพิ่มความทุกข์ให้ผู้ร่วมงานด้วยกันแน่  

  งานรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย คืองานที่เป็นกุศลและเป็นสัมมาอาชีพ  แต่ถ้าเราทำด้วยใจที่ไม่เป็นกุศลเสียแล้ว มันก็ยากอยู่ที่จะได้บุญกุศล และอาจเป็นเหตุแห่งการก่อทุกข์ให้กันและกันได้

 

วันสุดท้ายของการสนทนาธรรมกลุ่มย่อย ธรรมาจารย์ประจำกลุ่มคือหลวงพี่ฟับหลิว  ได้ให้เราแลกเปลี่ยนกันในหัวข้อที่ว่า   1. อะไรที่เราคิดว่าทำให้เรามีความสุขในปัจจุบันนี้    2. อะไรที่เราได้รับมาจากพ่อและแม่และเป็นสิ่งที่ดีมากๆ    3. อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจและเป็นความปรารถนาสูงสุดของเราลึกๆ  ในใจ   ในข้อที่ 3 นั้นหลายคนมีความต้องการคล้ายๆกัน  ทุกคนกล่าวถึงการพ้นทุกข์  การมีครอบครัวที่เป็นสุข  การมีสันติภาพในโลก  การหลุดพ้น  การไม่กลับมาเกิดอีก และการถึงซึ่งพระนิพพาน  ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการเช่นกัน  ข้าพเจ้าพบว่าทุกสิ่งล้วนแต่น่ามุ่งมาดปรารถนาทั้งสิ้น   แต่แล้วข้าพเจ้าก็เริ่มลังเลใจ เมื่อพบว่า  หลังจากภาวนามาได้สามปี ความต้องการบางอย่างของข้าพเจ้าเริ่มลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ  และเมื่อมองเข้าไปอย่างลึกซึ้งและซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง  ข้าพเจ้าพบว่าความต้องการของข้าพเจ้าเปลี่ยนไป  เมื่อทบทวนหลายครั้งข้าพเจ้าก็พบว่าความต้องการของข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และได้กลายเป็นความต้องการอย่างแรงกล้าในใจมากขึ้นเรื่อยๆ  ข้าพเจ้าจึงแลกเปลี่ยนไปว่า  ในขณะนี้สิ่งที่ข้าพเจ้ามุ่งมาดปรารถนาอย่างมากในใจลึกๆก็คือ   ความปรารถนา  ที่จะเป็น  “ผู้ไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกต่อไป”   หลวงพี่ฟับหลิวกล่าวว่า   Desire  not to desire …  that is Nirvana  ท่านกล่าวแล้วก็ยิ้ม  ….

แล้ววันสุดท้ายของการบรรยายธรรม หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ก็กล่าวถึงเรื่อง นิพพาน   ท่านกล่าวว่านี่คือความต้องการสูงสุดของผู้ภาวนาทั้งหลาย  แต่จงระมัดระวังไว้ให้ดีว่า เราอาจจะกลายเป็นปลาที่ตามฮุบเหยื่อล่อที่อยู่ตรงหน้า  การภาวนาไม่ใช่การตั้งเป้าหมายแล้วให้เราวิ่งตามไป  เพราะไม่เช่นนั้นเราอาจจะกลายเป็นปลาที่ฮุบเหยื่อของคนตกเบ็ดจนเกิดอันตรายแก่ตนเองได้    และท่านก็กล่าวสอนเรื่องการเกิดและการตาย  ความสืบเนื่อง  ท่านเน้นย้ำว่า เราไม่ควรไปแสวงหานิพพานที่ไหน เพราะเราอยู่ในนิพพานอยู่แล้ว 

 ตลอดเวลา 5 วันนั้น หลวงปู่ติชกล่าวสอนถึงหลักปฎิบัติ 16 ข้อ ที่จะนำเราไปสู่การรู้แจ้งอันสูงสุด  จากนั้น ท่านกล่าวถึงคำสอนของทางมหายาน  โดยท่านกล่าวว่ามีอยู่แล้วในทางเถรวาท คือ เรื่องของสุญญตาหรือความว่าง    ความไร้รูปลักษณ์ หรือรูปบัญญัติ   ความไร้ความมุ่งหมาย   หลวงปู่ติชเน้นย้ำว่า   เราไม่ควรภาวนาด้วยการวางสิ่งใดไว้ตรงหน้าแล้ววิ่งไปหาหรือแสวงหา   และในหลักปฎิบัติทั้ง 16 ข้อที่ท่านกล่าวสอนมาทั้ง5 วันนั้น  ในวันสุดท้ายท่านกล่าวถึงข้อที่ 15 ว่าด้วยเรื่องการไม่เกิดอีก ( The unborn )  ท่านขีดเส้นใต้คำนี้บนกระดานสองสามครั้ง   แล้วกล่าวว่านี่คือสภาวะของนิพพานที่เราแสวงหา  แต่เราจะไม่สามารถไปถึงได้ถ้าไม่มีข้อที่ 16  จากนั้นหลวงปู่ก็เขียนคำว่า  " Let Go "  แล้วขีดเส้นใต้คำนี้สามสี่ครั้ง   ในห้วงเวลานั้นข้าพเจ้าก็ถึงกับน้ำตาไหลออกมาด้วยความรู้สึกมากมายหลายอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายได้

และอย่างไรไม่รู้ข้าพเจ้าก็นึกได้ถึงคำพูดของหลวงพ่อชา   ที่มีผู้ถามท่านว่า “การเป็นพระควรมีความมุ่งหมายใด”  หลวงพ่อชายิ้มแล้วกล่าวว่า  “ไม่มีความมุ่งหมายใด  ถ้ายังมุ่งหมายอะไรๆ ก็ไปนิพพานไม่ได้สิ”   มันช่างชัดเจนเหลือเกินว่า   ทั้งในทางเถรวาทและมหายาน     การภาวนา คือการนำเราไปสู่   "การปล่อยวาง  และการหลุดพ้นไปจากถ้อยคำบัญญัติ  หลุดออกไปจากคำนิยามความหมายใดๆ ก็ตามที่มีอยู่  และหลุดพ้นไปจากความต้องการใดๆ  ทั้งหลายทั้งปวง "

และข้าพเจ้าก็พบว่าตนเอง ก็ยังเป็นผู้ที่มีความปรารถนาที่จะเป็น  "ผู้ไม่ปรารถสิ่งใดอีกต่อไป "    และ เพราะยังมี  Desire  not   to  desire     ข้าพเจ้าจึงยังไม่ได้บรรลุธรรมในขั้นไหนๆ ตามแนวทางที่ทางเถรวาทกล่าวไว้  .. แต่ข้าพเจ้าน้อมรับว่าจะเดินทางต่อไป  และจะเบิกบานไปบนเส้นทางนั้น  ข้าพเจ้าเริ่มประจักษ์แจ้งแก่ใจว่า  นิพพานเป็นจริงได้ในที่นี่และเดี๋ยวนี้  บนเส้นทางที่เราเดินไปนี่เอง  ไม่ใช่ที่เป้าหมายเบื้องหน้านั่น  .

 

 

 

  

 

หมายเลขบันทึก: 405497เขียนเมื่อ 30 ตุลาคม 2010 18:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ขอบคุณมาก หมอ ที่ทำให้พี่รู้สึกว่า พี่ก็ได้ไปฟังหลวงปู่

  • ขอบคุณคุณพี่หมอ
  • อ่านเล่มนี้แล้ว
  • ปาฎิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ” 
  • แต่อ่านที่พี่เขียนเหมือนได้ไปร่วมงานด้วย
  • ใครเจอพี่ CK ผมบ้าง
  • หายไปเลย

สวัสดีค่ะพี่ต่าย

 คิดถึงพี่ต่ายมากๆเลยคะ  งานภาวนาครั้งนี้คนเยอะกว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว  เลยได้เห็นหลวงปู่ในระยะไกลๆ ไม่เหมือนตอนที่ท่านมาเชียงใหม่ค่ะ  แต่ธรรมบรรยายของท่านครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าเดิม  เข้าสู่หัวใจของการปฎิบัติ  น่าทึ่งและมีพลังอย่างมากเลยค่ะพี่ โดยเฉพาะเรื่องของอริยสัจสี่ และในวันสุดท้ายที่กล่าวถึงเรื่องนิพพาน

@ ขจิต

ข่าววงในล่าสุด พี่ CK ไปประชุมที่ กทม. และได้ไปสนทนาธรรมกับท่านเขมานันทะด้วยค่ะ  ^ - ^

ขอบพระคุณมากค่ะที่ถ่ายทอดเรื่องราวของหลวงปู่ติชไว้ที่ GotoKnow บังเอิญค้นหาเรื่องหลวงพี่พิทยาซึ่งท่านเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมแล้วได้มาเจอบันทึกนี้ค่ะ

อ่านหนังสือของหลวงปู่ติชแล้วรู้สึกสบายใจและสงบมากค่ะ

  • คุณหมอของผมครับ
  • สบายดีไหม
  • หายไปนานมากๆๆ
  • เมื่อเรื่องใหม่ๆมาเล่าหรือเปล่าที่ผมอยู่มีอาจารย์มิซูโอ๊ะครับ
  • พี่CK ก็หายไปอีกท่านว้า
  • หายไปกันหมดเลย
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท