การวิจัยชุมชน โดยเฉพาะการวิจัยที่มีความเชื่อมโยงกับวิถีปฏิบัติ เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวบ้านและกิจกรรรมการดำเนินชีวิต สิ่งที่เป็นสารทุกข์สุกดิบของชาวบ้าน เหล่านี้ นักวิจัยและนักวิชาการพัฒนาในแนวที่เน้นความเป็นชุมชนและการเสริมกำลังการแก้ปัญหาตนเองของชุมชนในเชิงปฏิรูปสังคม ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆไปด้วยกันตามความจำเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป มักจะให้ความสำคัญต่อระเบียบวิธีวิจัยที่เน้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของประชาชนผู้ปฏิบัติและเชื่อมโยงกับความเป็นจริงของสังคม ทั้งการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม การวิจัยเชิงคุณภาพ และการสร้างองค์กรจัดการตนเองผ่านการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาของชุมชน ซึ่งเป็นวิถีความรู้ที่จะก่อให้เกิดความเป็นชุมชนที่จัดโครงสร้างภายในด้วยคุณภาพใหม่จากการใช้อำนาจที่รุนแรงเป็นโครงสร้างเชิงปัญญา การใช้ความรู้ วิถีคิดปรึกษาหารือด้วยเหตุผลและความเข้าอกเข้าใจกัน ความสำนึกและคุณธรรมต่อการอยู่ร่วมกันของส่วนรวม
แต่ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของการวิจัยและทำงานร่วมกันในแนวนี้ก็คือ จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย อีกทั้งต้องใช้เวลาให้กับกิจกรรมการปฏิบัติและการทำงานกับคนมาก ดังนั้น การพัฒนาเทคนิควิธีการต่างๆเพื่อแก้ปัญหาและดำเนินการวิจัยให้บรรลุจุดหมายดังที่พึงประสงค์ให้ได้อย่างดีที่สุด ก็จะเป็นกระบวนการเรียนรู้และผลการวิจัยที่เราจะได้รับ เกิดขึ้นไปด้วยอยู่เสมอ
ก พลังของการวาดรูปและวิธีการทางศิลปะที่ยังรอการเชื่อมโยงกับการวิจัยชุมชนอีกหลายด้าน
การวาดรูปและวิธีการทางศิลปะซึ่งโดยปรกติแล้วก็ช่วยเพิ่มความสามารถในการสื่อสารกันของมนุษย์ทั้งภายในตนเองและกับโลกภายนอก สร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างลึกซึ้งทั้งระดับปัจเจก ระดับชุมชน และระดับสังคม กระตุ้นการคิดใคร่ครวญตนเอง สร้างศัยภาพการคิดและเห็นเป็นภาพ พัฒนาวิธีคิดและวิธีมองโลกสรรพสิ่ง บันทึกเชิงสะท้อนสังคม สื่อแสดง และบอกเล่าปรากฏการณ์ต่างๆด้วยภาษาศิลปะซึ่งสื่อตรงสู่ทรรศนะและภาวะด้านในของมนุษย์ รวมทั้งลดความแตกต่างกันทางความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนลดช่องว่างทางสังคมวัฒนธรรม เชื้อชาติ ภาษา ได้เป็นอย่างดี เหล่านี้ ก็เป็นเทคนิควิธีหนึ่ง ที่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้และประดิษฐ์คิดค้นเพื่อการวิจัยในแนวนี้ได้เป็นอย่างดี
ข ความจำเป็นจากการแก้ปัญหาในการทำงานเป็นการริเริ่มพัฒนาการเรียนรู้ที่ดี
ผมมีโอกาสไปร่วมเป็นทีมวิจัยของโครงการวิจัยเชิงนโยบายพัฒนาศักยภาพ อสม.เพื่อยกระดับสู่การบริการในระบบบริการสุขภาพชุมชน ซึ่งเป็นโครงการวิจัยของ รองศาสตราจารย์ ดร.ลือชัย ศรีเงินยวง แห่งสาขาวิชาสังคมศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทำให้กับสำนักงานวิจัยเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ระดมเครือข่ายการวิจัยและมีเครือข่ายนักวิชาการช่วยกันทำทั้ง ๔ ภูมิภาคของประเทศ
การเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และเขียนรายงานผลการวิจัยกรณีศึกษาในระดับพื้นที่ของจังหวัดที่เป็นกลุ่มตัวอย่างแต่ละภูมิภาคนั้น จะมีทีมของแต่ละภูมิภาคดำเนินการ แต่การสังเคราะห์และเขียนรายงานสรุปลงไปบนข้อมูลของแต่ละภาค ก็จะมีทีมวิจัยและนักวิชาการส่วนกลางอีกทีมหนึ่งซึ่งเป็นทีมสหวิทยาการ ช่วยกันวิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนรายงานผล ผมร่วมรับผิดชอบที่จะช่วยสังเคราะห์ข้อมูลในส่วนของภาคเหนือซึ่งมีพื้นที่ตัวอย่าง ๒ จังหวัดคือจังหวัดพิจิตรและเชียงใหม่
แต่การที่จะร่วมวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล รวมทั้งร่วมเขียนในส่วนที่ทีมต้องการของโครงการวิจัยในลักษณะนี้ หากมุ่งทำงานบนรายงานวิจัยและเอกสารชั้นต้นที่พื้นที่ได้ทำออกมาชั้นหนึ่งแล้ว ก็จะไม่เพียงพอที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆและให้บทสรุปได้อย่างถูกต้อง ผมจึงต้องการได้สัมผัสพื้นที่ชุมชน ร่วมทำกิจกรรม และร่วมสังเกตการณ์ในขั้นตอนต่างๆด้วยวิธีการที่เหมาะสมภายใต้ข้อจำกัดต่างๆให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ได้ทำงานมาถึงขั้นตอนการเลือกทำกรณีศึกษา ทีมพื้นที่ได้เลือกชุมชนหมู่บ้านสหกรณ์ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกรณีศึกษาของตน การเตรียมการเบื้องต้นนั้น ทางชุมชนและทีมของจังหวัดได้ประสานงานกับ อสม. สถานีอนามัย และเครือข่ายผู้นำชุมชน เพื่อร่วมกันเดินดูกิจกรรมและผลการดำเนินงานทางด้านต่างๆ ของชุมชนและอสม.โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการได้รับเงินค่าป่วยการ ๖๐๐ บาทต่อเดือนของ อสม. จะใช้เวลา ๒ วัน ผม อาจารย์ ดร.ลือชัย ผู้ประสานงานของโครงการ และทีมจังหวัด ก็ได้รับการบอกกล่าวชวนเชิญให้ไปร่วมสังเกตการณ์
แต่เมื่อไปแล้ว ทางชุมชนและทั้งหมดของทีมก็ไม่รู้จะดำเนินการไปอย่างไร ต่างก็ให้ความสำคัญของกันและกัน จึงไม่มีฝ่ายใดที่จะสามารถบอกให้เจาะจงลงไปได้ว่าความเป็นพื้นที่กรณีศึกษาของชุมชนในครั้งนี้จะครอบคลุมไปถึงการศึกษาและเก็บข้อมูลใดบ้าง อีกทั้งจะเดินเรียนรู้ชุมชนและดูกิจกรรมต่างๆอย่างไร
ค บทเรียนจากประสบการณ์ การสะสมความรู้ และการโยนิโสมนสิการ
ในฐานะที่ในที่สุดแล้ว ผมเองนั้นก็จะต้องเขียนและร่วมสังเคราะห์ข้อมูลให้กับพื้นที่ การมีวิธีได้ประสบการณ์เรียนรู้ชุมชนไปกับทีมพื้นที่ย่อมทำให้ผมเข้าถึงปรากฏการณ์ภายใต้ข้อมูลต่างๆและสามารถสังเคราะห์ผลวิจัยได้อย่างถูกต้อง หากไม่เข้าไปเกี่ยวข้องก็จะกระทบการทำหน้าที่ของผมในขั้นตอนท้ายๆอยู่ดี ดังนั้น จึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหานี้เพื่อให้ได้ความเข้าใจความเป็นกรณีศึกษา ตอบโจทย์การวิจัยในครั้งนี้ให้ได้อย่างดีที่สุด แม้ผมและชุมชนจะมีเวลาเพียง ๒ วัน แต่ความพร้อมที่จะร่วมกันทำของชุมชนและทุกคนนั้นดีมาก ผมนึกถึงวิธีการหลายแบบที่คงจะต้องนำมาออกแบบกระบวนการและดำเนินการขึ้นอย่างผสมผสาน
นึกถึงวิธีทำ Rapid Rural Apprisal : RRA อย่างแนวของ ดร.บัณฑร อ่อนดำ และเครือข่ายคนทำงานชุมชนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ [๑] และเคยไปเห็นองค์กรเอกชนของ PRIA ประเทศอินเดียใช้ทำงานกับกลุ่มสตรีและกลุ่ม Poored-Powerless [๒] นึกถึงวิธีทำ Strengthening and Sustainable Development Monitoring and Evaluation for Community Co-operative Organization ซึ่งผมเคยลงไปเวิร์คช็อปและทำด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมแนว Community-Based Approach Research and Development กับชุมชนปลูกกล้วยไม้ข้างอ่าวรามอนแมกไซไซ ประเทศฟิลิปปินส์ [๓]และเป็นผลงานตัวอย่างให้แก่เพื่อนนักวิจัยชุมชนซึ่งเป็นกลุ่มนานาชาติจากหลายประเทศ นึกถึงแนวคิด People Research ของ ดร.เสรี พงษ์พิศ [๔] รวมทั้งวิธีทำวิจัยและปฏิบัติการเชิงสังคมแนวประชาคมซึ่งได้ทำมาตลอดกว่า ๑๐ ปีในหลายประเด็นและหลายบริบทของประเทศ ทำให้ผมตัดสินใจออกแบบกระบวนการสำหรับ ๒ วัน เพื่อทำงานด้วยกันอย่างที่ต้องการ ซึ่งแก้ปัญหาได้ดีพอสมควรและได้บทเรียนจากการแก้ปัญหานี้หลายอย่างที่ดีเป็นอย่างยิ่ง
ฆ กระบวนการแบบผสมผสาน Integrated Multi-Methods เพื่อศึกษากรณีศึกษาของชุมชนร่วมกับทีมพื้นที่
การร่วมเรียนรู้กรณีศึกษาของชุมชนและเรียนรู้วิธีดำเนินการวิจัยมิติต่างๆของทีมพื้นที่ในครั้งนี้ ทำให้ผมได้ใช้ประสบการณ์แก้ปัญหา หาทางออก และได้บทเรียนที่ดีมากอย่างยิ่ง บันทึกนี้จึงเหมือนกับเป็นทั้งการบันทึกประสบการณ์และการรายงานบทเรียนภาคสนาม (Field-note and Field report) ซึงคงจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปพัฒนาร่วมกันให้เหมาะแก่การทำงานมากยิ่งๆขึ้นในบริบทของชุมชนและสังคมไทย กระบวนการทำกรณีศึกษาของชุมชนในครั้งนี้ดำเนินการอย่างผสมผสาน โดยใช้เวลา ๒ วัน ๑ คืนในชุมชน คือ
๑. ฟังและเรียนรู้ชุมชนแบบเปิด ไร้กรอบ ไร้โครงสร้าง สนทนาเพื่อเปิดรับข้อมูลและเรียนรู้ชุมชนจากการเล่าและสนทนาอย่างไม่มีโครงสร้าง ไม่พยายามครอบงำโน้มน้าวให้เสียความมั่นใจในความเป็นตัวของตัวเอง ทั้งทีมวิจัย อสม. ผู้นำชุมชน และชาวบ้าน ร่วมกันพูดคุยและสนทนาไปตามแต่เรื่องราวและบรรยากาศการพูดคุยจะดำเนินไป ไม่จำกัดการพุดคุยด้วยคำถามหรือกรอบแนวคิดใดๆ ที่จะปิดทับพัฒนาการอย่างเป็นธรรมชาติของกระบวนการทางสังคมที่มีบรรยากาศปรึกษาหารือและน้อมตนเรียนรู้กันและกัน
กระบวนการดังกล่าวนี้ เป็นวิธีการชุมชนเพื่อร่วมกับทีมพื้นที่ค้นหาประเด็นหลัก สำรวจขอบเขตการเรียนรู้ชุมชน และพัฒนาแนวพิจาณาระบบความเชื่อมโยงกันของสิ่งต่างๆในความรู้จากประสบการณ์ความเป็นสมาชิกและการมีส่วนร่วมในกิจการต่างๆของชุมชน รวมทั้งเห็นความมีประสบการณ์ของชุมชนและได้แง่มุมหลากหลายสำหรับเข้าสู่การเริ่มต้นเรียนรู้ชุมชน(Entry-Point) ให้ยืดหยุ่นและสะท้อนความเชื่อมโยงกับประเด็นการทำกรณีศึกษา ตามที่ชุมชนและทีมวิจัยจังหวัดต้องการต่อไป
๒. วิเคราะห์และแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยทีมสหสาขา
๓. พัฒนาเครื่องมือและวิธีเก็บข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง โดยนำเอาข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับรู้และได้ประสบการณ์ตรงจากชุมชน มาพิจารณาและดำเนินการเป็นลำดับ
๔. จัดเวทีชุมชน
ติดกระดาษวาดรูปและประเด็นคำถามบนผนัง
จัดบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ลดความเป็นทางการ
ทีมวิจัยดำเนินการสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติและร่วมบันทึกข้อมูลหลายวิธี
ดำเนินการไปตามความถนัดและตามความต้องการของทีมจังหวัด
รวมทั้งการวาดภาพพร้อมไปกับสนทนาและสื่อสารปฏิสัมพันธ์บนภาพวาดอย่างมีประเด็นเชิงโครงสร้างซึ่งดำเนินการโดยผมเองเพื่อสานการทำงานของทั้งหมดบนเวทีให้ไปด้วยกัน
๕.
เก็บข้อมูลและสร้างความรู้ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมแบบเสริมพลัง
๖. สรุปและนำเสนอ
สะท้อนสู่การเรียนรู้ชุมชน
๗.เข้าสู่ชุมชนและเดินเรียนรู้กรณีตัวอย่างที่เวทีได้ร่วมกันถอดบทเรียนตนเอง
ง วิธีดำเนินการ
ผมพยายามบูรณาการแนวคิดและมิติต่างๆที่สำคัญของการวิจัยเชิงปฏิบัติการสังคม ซึ่งในเชิงทฤษฎีนั้น โดยทั่วไปแล้วก็จะต้องผสมผสานองค์ประกอบต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน คือ การวิเคราะห์สภาวการณ์และการระบุความจำเป็นที่เป็นประเด็นร่วมกันของชุมชนและโลกภายนอก การพัฒนากิจกรรมและมาตรการปฏิบัติ การพัฒนาศักยภาพและทักษะปฏิบัติเพื่อพึ่งตนเองในการแก้ปัญหาด้วยการเรียนรู้ การประเมินผล วิจัยและสรุปบทเรียน หรือสรุปเป็น ๓ หลักการพื้นฐานที่สำคัญ ๓ มิติ คือ (๑) มิติการวิจัย (Research Dimension) (๒) มิติการพัฒนาการศึกษาและสร้างศักยภาพการจัดการ (Education Scheme and Capacity Building) (๓) การแก้ปัญหาชุมชนและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ชุมชนต้องการได้จริง (Problem Solving and Quality of Life Development) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จัดว่าเป็นวิธีวิทยาที่เคร่งครัดกันอย่างหนึ่งของการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วมแนวปฏิบัติการชุมชน ที่จะต้องพัฒนาวิธีบูรณาการหลักการพื้นฐาน ๓ ประการดังกล่าวลงไปในกระบวนการวิจัยให้ยืดหยุ่นกลมกลืนไปกับประเด็นปัญหาและบริบทของชุมชนเป้าหมาย
ผมนำเอาหลักการเหล่านี้มาออกแบบจัดกระบวนการเสียใหม่ โดยให้ครอบคลุมสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นและผสมผสานกลมกลืนอยู่ในกิจกรรมที่จะร่วมทำกับทีมจังหวัดและชุมชน ซึ่งในวันที่สองนี้ อาจารย์ ดร.ลือชัยจำเป็นต้องแยกออกไปที่จังหวัดยโสธรเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานให้แก่ทีมวิจัยของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระบวนการที่ออกแบบนี้เป็นภาคขยาย ให้มีความละเอียดอ่อนและสนองตอบต่อประเด็นการพัฒนาเชิงสังคมของสังคมไทยในสภาวการณ์ปัจจุบันไปด้วย ประกอบด้วย
จ การค้นหาประเด็นความสนใจเพื่อพัฒนาเครื่องมือวิจัยเรียนรู้ชุมชนเป็นกลุ่มปฏิบัติการชุมชนเรียนรู้
กระบวนการดังกล่าวดำเนินการเป็น ๒ จังหวะคือ จัดเวทีชุมชนให้เป็นการทำงานกลุ่ม คลายรูปแบบออกจากการทำสนทนากลุ่ม (Focus Group) ให้เพิ่มมิติการสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตรวจสอบข้อมูลและเก็บรวบรวมข้อมูลผสมผสานกันไป จากนั้น ก็ได้เครื่องมือ แนวคิด การระบุกรณีตัวอย่าง พร้อมทั้งการวางแผนเพื่อเดินเข้าสู่ชุมชนด้วยกัน เยี่ยมเยือนชาวบ้าน เรียนรู้ ได้ขยายประสบการณ์ด้วยการได้เห็นของจริง และร่วมเก็บรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียดต่างๆด้วยตนเองไปพร้อมกัน
ฉ นำเสนอตรวจสอบและวางแผนบริหารจัดการกลุ่มให้เป็นเครื่องมือและวิธีเรียนรู้เป็นกลุ่มประชาคม
จัดห้องและเวทีประชุมให้มีบรรยากาศนั่งระดมความคิด สนทนา ปรึกษาหารือ ติดรูปวาดซึ่งเป็นการประมวลผลข้อมูลจากวันแรก พร้อมกับตั้งประเด็นคำถามเพื่อดำเนินการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสนทนากันเพิ่มเติมอย่างมีโครงสร้าง ผมและทีมวิจัยร่วมกันนำการสนทนา พูดคุยพร้อมกับวาดรูป ต่อเติมรายละเอียด ตรวจสอบกับชุมชน
ช ข้อมูลพื้นฐานความเป็นชุมชนในแนวเครือข่ายดำเนินชีวิตและสร้างสุขภาวะอย่างมีส่วนร่วมผ่านกิจกรรมชีวิต
รูปวาดและแผ่นสรุปข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับชุมชน พร้อมกับการตั้งประเด็นคำถามเพื่อยกระดับการสนทนาและรวบรวมข้อมูลให้มีความเจาะจง รวมทั้งมีโครสร้างของเนื้อหาข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นความเป็นนวัตกรรม ความริเริ่ม และการเรียนรู้ต่างๆที่เป็นผลสืบเนื่องจากการได้รับเงินค่าป่วยการ ๖๐๐ บาทของ อสม.
ซ ข้อมูลพัฒนาการสุขภาพภาคประชาชนและการสร้างสุขภาวะชุมชน
ข้อมูลพัฒนาการทางด้านต่างๆของชุมชน วาดรูปและแผนภาพเรื่องราวให้เห็นระบบความเชื่อมโยงทางด้านต่างๆที่ได้จากประสบการณ์และการเล่าถ่ายทอดของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านได้ตกผลึกประสบการณ์ สื่อสารความเป็นสาธารณะและได้เรียนรู้ตนเอง พร้อมทั้งตรวจข้อมูลกันและกัน ได้ข้อมูลครอบคลุม ทั่วถึง และมีคุณภาพทางการวิจัยดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดที่มี
ฌ การวิเคราะห์ความเป็นนวัตกรรมการจัดการเชิงระบบอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน
วิเคราะห์เชิงปรากฏการณ์กิจกรรมและความเข้มแข็งที่โดดเด่นของชุมชนด้วยรูปวาดแผนภาพปรากฏการณ์วิทยา ซึ่งนอกจากทำให้ได้เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่ออธิบายกิจกรรมและสิ่งที่เกิดขึ้นในชุมชนด้วยทรรศนะและข้อมูลประสบการณ์ของชุมชนได้เป็นอย่างดีแล้ว ก็เป็นเครื่องมือและวิธีวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อเห็นปัจจัยและแนวการพิจารณามิติต่างๆบนฐานความรู้และการยืนยันอย่างเป็นระบบด้วยประสบการณ์ของชุมชน
ญ มิติการวิจัย ปฏิบัติการ ประเมินผลและถอดบทเรียนแบบสร้างพลัง
ในขั้นตอนนี้ ทำให้สามารถรวบรวมผลดำเนินการกิจกรรมและการก่อเกิดสิ่งต่างๆที่สะท้อนความเป็นนวัตกรรมการจัดการสุขภาพและสาธารณสุขชุมชน ที่กลุ่ม อสม. หมออนามัย ทีมจังหวัด และกลุ่มผู้นำชุมชนได้ดำเนินการสะสมอยู่ในชุมชน อันได้แก่การระดมทุนและทรัพยากรเพื่อพัฒนาสวัสดิการ พัฒนาคุณภาพชีวิต และพัฒนาศักยภาพชุมชน (Community Health Development Resources Mobilization and Development Management) มาทำการวิเคราะห์ รวบรวมข้อมูลและถอดบทเรียนทางด้านต่างๆ ได้อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะสวัสดิการทั้งชุมชนสำหรับ อสม.เพื่อการทำงานในแนวจิตอาสาที่เข้มแข็ง ตลอดจนการเรียนรู้เพื่อดำเนินงานในแนวทางใหม่ๆเพื่อเข้าถึงและครอบคลุมสุขภาพภาคประชาชน ที่เป็นความริเริ่มของ อสม.และการรวมกลุ่มของประชาชน
ฎ มิติการเรียนรู้ เสริมศักยภาพ การสร้างความสามัคคีและสร้างความเป็นพลเมืองภาคประชาชน
ต่อกรณีนี้ กลุ่ม อสม.และชุมชนเอง ก็ได้ข้อมูลจากการถอดบทเรียนนวัตกรรมการจัดการสุขภาพชุมชนเพื่อนำไปวางแผนพัฒนาและนำไปสื่อสารเผยแพร่แก่สาธารณะได้ต่อไป อีกทั้งในแง่ความเป็นกระบวนการทางการศึกษาและการพัฒนาศักยภาพ อสม. ชุมชน และภาคประชาชนนั้น ก็จัดว่าเป็น นวัตกรรมการเรียนรู้ด้วยการวิจัยปฏิบัติการชุมชนในแนวประชาคม ทำให้ชุมชนปฏิบัติการแก้ปัญหาและเรียนรู้สร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม พอเพียงแก่กำลังตนเองทุกด้านที่พัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งอยู่ตลอดมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชุมชนกรณีศึกษาดังกล่าวนี้ ก่อเกิดขึ้นมาจากการอพยพย้ายถิ่นจากหลายแหล่งทั่วประเทศมาอยู่ร่วมกัน ทว่า กลับสามารถสร้างความเป็นชุมชนที่มีความรักความสามัคคี มีภาวะผู้นำเกิดขึ้นอย่างเป็นกลุ่มก้อนหลายรุ่นวัย เรียนรู้การรวมกลุ่มเพื่อจัดการตนเองในบริบทใหม่ๆได้อย่างเหมาะสม ระดมพลังกันสร้างสุขภาวะชุมชนได้อย่างเข้มแข็ง จึงนับได้ว่าเป็นการบริหารจัดการประชากรศึกษาชุมชนเพื่อแก้ปัญหาประชากรย้ายถิ่นและพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชุมชนที่ยั่งยืน ซึ่งในส่วนนี้ คงจะได้แก่ผมเองมากกว่าใคร โดยเฉพาะความเป็น Case Study จากสังคมไทยที่เป็น Community of Practice Integration and Multi-Disciplinary Research Team Approach ที่ผมอยู่ในฐานะร่วมเป็นทีมนักวิจัยและทีมผู้สังเกตการณ์ ที่ต้องพัฒนาตนเองเพื่อเดินเข้าไปสู่จุดยืนของชุมชนและกลุ่มผู้ปฏิบัติการในบริบทที่แตกต่างกัน ไม่มีมิติ Implementation Dimension ที่ดำเนินการขึ้นโดยตรงจากกระบวนการวิจัย และเพิ่มมิติความเป็น Learning Society มากกว่าด้านอื่น
นอกจากนี้ เพื่อได้เห็นมิติที่เป็นปัจจัยเชิงระบบและความเชื่อมโยง ที่ทำให้สามารถเห็นสิ่งที่ อสม.และชุมชนได้ริเริ่มสร้างสรรค์ ตลอดจนดำเนินการได้ในปัจจุบันว่าเป็นการต่อยอดประสบการณ์และทุนทางสังคมที่มีอยู่ของชุมชน อีกทั้งบ่งชี้ความเข้มแข็งและความยั่งยืนในการพัฒนาสุขภาวะพอเพียงของชุมชนได้อย่างชัดเจนมากยิ่งๆขึ้น ผมจึงได้แนะนำให้ทีมของจังหวัดและกลุ่ม อสม. เชิญอดีตกำนันคนแรกของชุมชน พ่อหลวง และบุคคลอ้างอิงที่ชุมชนมักกล่าวถึงว่าเป็นผู้ที่นำชาวบ้านที่เคยอ่านถวายรายงานเกี่ยวกับชุมชน เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินชุมชนเมื่อปี ๒๕๑๑ และพระราชทานพระราชดำริต่างๆที่ส่งผลให้ชุมชนได้ก่อเกิดหมู่บ้านสหกรณ์และริเริ่มสิ่งต่างๆได้ในลำดับต่อมาอีกหลายอย่าง ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้สูงอายุ แต่ยังมีสุขภาพแข็งแรง มีความทรงจำ และสามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆได้เป็นอย่างดี มาร่วมพูดคุยและให้ข้อมูลทุกมิติที่ต้องการ ซึ่งทำให้กลุ่มผู้นำชุมชนได้เรียนรู้ตนเองไปด้วยอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งในขั้นตอนนี้ ผมได้ขอให้ทีมจังหวัดบันทึกวิดีโอการสนทนาของแต่ละคนไปด้วย
ฏ มิติศิลปะการวาดรูปเพื่อสะท้อนผลการวิเคราะห์ สื่อการเรียนรู้ และบันทึกข้อมูลอย่างผสมผสาน
การวาดรูปและศิลปะการทำสื่อในสถานการณ์ของการวิจัยที่ผสมผสานปฏิบัติการชุมชนในลักษณะดังกล่าวนี้ มีลักษณะที่สำคัญคือ
การวาดรูปและใช้เป็นเครื่องมือในลักษณะดังกล่าว มีความจำเป็นมากที่จะต้องพัฒนาทักษะการฟัง ทำงานความคิด วิเคราะห์ สรุป ประมวลผลข้อมูล สร้างข้อสรุปและคิดให้เป็นภาพเพื่อบันทึกและวาดรูป ขณะเดียวกัน ก็ต้องสามารถแยกแยะการรับรู้และทำบทบาทอย่างอื่นคู่ขนานพร้อมกันไปด้วย โดยเฉพาะใช้ข้อสรุปในช่วงจังหวะต่างๆตั้งคำถามหรือให้หัวข้อการสนทนา สะท้อนกลับไปสู่เวที เพื่อดำเนินการสนทนาให้ลื่นไหล มีความเป็นธรรมชาติ ครอบคลุมประเด็นการเรียนรู้ได้มากที่สุดภายใต้กรอบจำกัดที่มี ไปด้วย
ด้วยกระบวนการดังกล่าว ก็ทำให้ทุกคนต่างร่วมมือกันสร้างประสบการณ์ในการเห็น Social Reality ต่างๆด้วยตนเอง ค้นพบ ได้คำตอบเพ
สวัสดีค่ะอาจารย์
ตามมาเรียนรู้แบบไม่ต้องเดินทางค่ะ
หวัดระบาดอีกแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
สวัสดีครับคุณณัฐรดา ขอบคุณครับ กลัวจังเลยละครับหวัดเนี่ย เป็นทีไรก็อ่วมและทรุดไปเลยทุกที ตอนไปเก็บข้อมูลในหมู่บ้านนั้น ก็มีบ้านชาวบ้านหลายเลยละครับที่เขาชอบปลูกกล้วยไม้ไว้ตามต้นไม้ของบ้าน หน้านี้ของทางเหนือ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความงอกงาม ร่มรื่น ดอกไม้สวย ต้นไม้ป่าไม้เขียวครึ้ม
สวัสดีค่ะ อาจารย์ ดร.วิรัตน์
สวัสดีครับอาจารย์ณัฐพัชร์ครับ
Instructional Design กับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ ที่จะไม่เหมือนกันอยู่ตลอดเวลานั้น จะว่าไปแล้ว ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ความต้องสามารถทำงานที่ยืดหยุ่นได้มากกว่าเทคนิคและกรอบอย่างใดอย่างหนึ่งที่เข้ากับผู้คนที่แตกต่างหลากหลายกันไม่ได้ โดยเฉพาะชาวบ้าน โดยที่หลักคิดและมิติการปฏิบัติที่มีนัยต่อกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องการ ยังคงมีอยู่ การเข้าใจเหตุผลและวิธีคิดภายใต้แนวคิดและทฤษฎีที่หลากหลาย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผสมผสานการทำงานกันหลายสาขา บทเรียนจากภาคปฏิบัติจากสังคม พวกนี้ เป็นประโยชน์ต่อการทำงานได้มากจริงๆครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์วิรัตน์
สวัสดีครับอาจารย์ณัฐพัชร์ครับ
สวัสดีค่ะ
แวะมาเรียนรู้ด้วยคนนะคะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้ค่ะ
^__^
สวัสดียามเช้าค่ะพี่อาจารย์...วันนี้มีความรู้สึกชื่นชมอยากบอกเล่ากันในนี้ว่ามีน้องๆและบรรดาเหล่ายอดฝีมือทางศิลปะ..ใช้เฟสบุ๊คเป็นช่องทางในการนำเสนอผลงานศิลปะเป็นจำนวนมากและผลงานดีๆทั้งนั้นเข้าไปเยี่ยมชมแล้วชื่นใจจัง..พลังของศิลปะงดงามเสมอ ที่ทึ่งที่สุดเป็นอาจารย์Saroj Tangที่ท่านมีความรักในศิลปะเป็นอย่างมากนำลิ้งค์สาธิตการปาดเกรยองของอาจารย์Saroj Tangมาให้ไปเยี่ยมชมด้วยนะคะ..
http://www.facebook.com/?ref=home#!/profile.php?id=100001190107733