การบ้าน
แม่เพิ่งเสร็จงานหนึ่งชิ้น เป็นการจัดการประชุมเกี่ยวกับวิชาการในเรื่องที่แม่เองยังไม่ได้รู้อะไรมากนักกับเรื่องวิชาการเฉพาะลงทางลึก กล้ามเนื้อ หรือที่ลูกแซวแม่ว่า ก.น. คือ วิชาการนอน
แต่การประชุมผ่านไปด้วยดี มีคนเข้าร่วมประชุมมากเป็นที่น่าพอใจ
ผู้เข้าร่วมประชุมมีการถาม-ตอบ พูดคุยกันสนุกสนาน
ผู้สอน สอนเก่ง ดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าฟังได้ดี
มีการเปรียบเทียบอันหนึ่งที่แม่ชอบ คือ เซ็นเซของแม่โชว์ภาพ ปลาเนื้อแดงคู่กับปลาเนื้อขาว
ปลามาคุโระ(ทูนา)และปลาอีกปลา-เนื้อขาวชื่ออะไรแม่จะค้นมาเล่าอีกครั้ง
แล้วเปรียบเทียบกับกล้ามเนื้อของคน
เป็นการเปรียบเทียบแบบมีศิลปเชียวล่ะ
แบบ วาบิซาบิ
ไว้เล่าอีกที
จากการที่ลูกตอบ เมื่อแม่ถามถึงการเรียน ความเป็นอยู่ของลูกช่วงนี้ ลูกบ่นว่า การบ้านเยอะ
ลูกทำเสร็จ แต่ไม่ดีนัก-ตามคำของลูก
ลูกชอบทำข้อสอบมากกว่าทำการบ้าน
แม่จึงเดา ๆ เอาว่า
เป็นเพราะจำนวนครั้งของการสอบน้อยกว่าใช่ไหม...แม่รู้นะ
ชีวิตคนเราจริง ๆ แล้วอยู่กับการทำงานในทุก ๆ วันมากที่สุด
อาชีพการงานของทุกคนเลยก็ว่าได้
เกษตรกร ตื่นเช้ามืดทุกวัน รดน้ำ ดูแลต้นไม้ จัดการปัญหาอุปสรรค เรื่องแมลง เรื่องน้ำ เรื่องดิน จิปาถะ แล้วเมื่อถึงเวลาเหมาะสม จัดการเก็บเกี่ยวผลิตผล เก็บไปขาย เก็บเงิน แบ่งส่วนเงินเพื่อลงทุนเมล็ดพันธุ์ แล้วก็เริ่มวงจรใหม่ ซ้ำแบบเดิมหรือพลิกแพลงหลังจากมีการคิด วิจัยปัจจัยอื่น ๆ เช่นวิเคราะห์ความต้องการผลิตผล อะไรที่เป็นที่ต้องการของตลาดในระยะเวลาช่วงฤดูกาลนั้น ๆ
คนขายของ ขายเสื้อผ้า หรือคนทำงานเช่นพ่อ แม่ ก็เช่นกัน
เราทำงานทุกวัน ภายใต้แผนงานที่มีการวางแผนไว้ก่อนจากหน่วยงาน หัวหน้าหน่วยงาน หัวหน้าแผนก หรือแม้แต่ภายใต้การคิดวางแผนส่วนตัวของเราเอง
นักเรียนเช่นลูก การงานคือ การเรียนรู้ในวันเรียนแต่ละวัน เล่นกีฬาในช่วงเย็น เรียนดนตรีในเวลาที่กำหนด พักผ่อนในวันหยุด
และมี การบ้านให้นักเรียนทำ ฝึกฝน ทบทวนในทุกเย็น
ก็เพื่อการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ เข้าใจบทเรียนมากขึ้น
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้หรอกนะครับคือ หัวใจการทำงาน
ของลูกและของนักเรียนทุกคน
การสอบ ในความคิดของแม่ เป็นเพียงการวัดผล
วัดผลว่า นักเรียน เช่นลูก เข้าใจบทเรียน ขอบเขตวิชาที่ครูกำหนดไว้ดีหรือเปล่า หรือเข้าใจปานกลาง เข้าใจน้อย หรือยังไม่ค่อยเข้าใจ
การสอบมิใช่หัวใจสำคัญของการเรียน การศึกษา
ปีนี้ลูกได้เลื่อนห้องเรียนมาเป็นห้องที่คะแนนโดยเฉลี่ยของนักเรียนสูงสุดในชั้นของโรงเรียน ลูกอาจมีความเครียดเพิ่มขึ้น (แม่เดาเอาน่ะ) และนักเรียนส่วนใหญ่ขยันทำการบ้าน เป็นสิ่งดีนะครับ ลูกควรดูเพื่อน ๆ และลองคิดดูว่า ดีหรือไม่ที่เราซึ่งเป็นนักเรียนได้มีโอกาสฝึกฝน ได้มีโอกาสเรียนรู้ และมีคุณครูคอยตรวจการบ้าน อธิบายข้อ หรือเรื่องที่เรายังเข้าใจได้ไม่ดีพอ
เมื่อโตขึ้นลูกจะรู้ว่า บางสิ่ง บางเรื่องเราต้องตัดสินใจทำงานไปเอง โดยที่อาจไม่มีความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ ละเอียดลึกซึ้งพอ
หากความเป็นจริงเราก็จะมีพี่เลี้ยง หรือที่ปรึกษา เทียบเท่าคล้ายมีครู
หรือผู้ช่วยเหมือนกัน-ถ้าลูกหา"คนคนนั้นเจอ"
แม่อาจพูดเรื่องที่ยากเกินวัยของลูก
เอาเป็นว่า
การบ้าน และความรับผิดชอบในการทำการบ้าน คือบทเรียนบทหนึ่งซึ่งแม่คิดว่าสำคัญมากอันดับต้นเลย
แม่จึงดีใจมากเมื่อทราบจากลูกว่า โรงเรียนของลูกให้คะแนนการทำการบ้าน โดยดูที่ความรับผิดชอบในการส่งงาน ไม่ใช่การทำการบ้านได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์
แม้ลูกจะคะแนนเรียนลดลงมาเพราะส่งการบ้านไม่ครบ
แต่ลูกปรับปรุงตัวได้ ใช่ไหมครับ แม่เชื่อเช่นนั้น
ขนาดแม่ซึ่งเชี่ยวชาญการนอน(ก.น.)มากกว่ากล้ามเนื้อ(ก.น.) แม่ยังค่อย ๆ ปรับปรุงตัว
แล้วลูกซึ่งมีระเบียบวินัยในชีวิต เข้านอน ตื่นนอน เล่นกีฬา เป็นเวลา
ขอเพียงแต่ทำและส่งการบ้านให้ครบถ้วน
ลูกทำได้!
แม่เชื่อเช่นนั้น ครับ
รักและคิดถึงลูกทุกวัน
แม่เอง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย ภูสุภา ใน คุยกับลูกเรื่องธรรม สังคม ความรู้-ไม่รู้และอื่น ๆ
คำสำคัญ (Tags)#การทำงาน#การบ้าน#การสอบ#ความรับผิดชอบ#การวัดผล#ห้องเรียนในฝัน#happy brain#happy ba
หมายเลขบันทึก: 391505, เขียน: 06 Sep 2010 @ 09:43 (), แก้ไข: 27 Oct 2013 @ 19:31 (), สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน, ดอกไม้: 5, ความเห็น: 8, อ่าน: คลิก