มีความสับสนอย่างมากเมื่อพูดถึงบทบาทของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในเมืองไทย บ้างก็ว่าไม่เห็นต่างจาก GP (แพทย์ทั่วไปที่จบ 6 ปี) บ้างก็ว่าไม่เห็นจะเก่งจริงๆซักด้าน เพื่อนร่วมวิชาชีพก็นึกภาพความเชี่ยวชาญไม่ออก ก็เลยไม่รู้ว่าจะปรึกษา หรือส่งคนไข้ประเภทไหนให้ดูแล สุดท้ายก็เลยถูก ผอ.ส่งให้ไประบายคนไข้ที่ OPD(แผนกผู้ป่วยนอก)ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้าของทุกโรงพยาบาล ไม่ต้องพูดถึงประชาชน ไม่แน่ว่าจะเคยได้ยินชื่อหมอประเภทนี้หรือปล่าว แล้วที่ยืนในสังคมอยู่ตรงไหนกันแน่?
ผมคิดว่าความต่างของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเราเชี่ยวชาญในหน่วยของครอบครัวซึ่งมันอยู่ที่บ้าน ที่ชุมชน ไม่ใช่อยู่ที่แผนกผู้ป่วยนอก หรือในห้องผ่าตัด เพราะฉะนั้นผู้บริหารต้องเข้าใจครับและปล่อยให้พวกเราได้แสดงศักยภาพให้เต็มที่ในพื้นที่ของเรา อย่าขังไว้แค่ใน OPD เท่านั้น อีกประการก็คือต้องมีหน่วยให้เราสังกัดนั่นก็คือ ครอบครัวที่เราต้องติดตาม หรือพื้นที่ที่เราต้องดูแล(Catchment Area )ที่ชัดเจนอีกด้วย ผมว่าเริ่มที่ประมาณ ๑๐๐๐๐ คน กำลังพอดี ไม่ใช่ทั้งอำเภอหลายหมื่นคน ลองนึกภาพดูครับ บทบาทของเราไม่ใช่การไป Screening โรคง่ายๆที่ OPD แล้วส่งให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆดูแลต่อ แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ต่างหากที่ต้องส่งคนไข้ที่สุดปัญญารักษา เช่น ทำยังงัยน้ำตาลในเลือดก็ไม่ดีขึ้นสักที แบบนี้ต้องส่งมาให้เราช่วยดูแลครับ(ถ้าเป็นคนไข้ในเขตพื้นที่ที่เราดูแลอยู่) เพราะเราจะรู้จักคนไข้ของเราดีไปจนถึงครอบครัว ชุมชน
สรุปว่า แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวทุกคนก็ต้องเปิดเผยภาพตัวเองให้ชัด และผู้บริหาร เพื่อนร่วมวิชาชีพ ประชาชนก็ต้องปรับเปลี่ยนความเข้าใจด้วยครับ
ตอบคำถาม คุณหมอ สีอิฐ แล้วครับ
http://gotoknow.org/blog/nopadol/386082
แต่เผลอกดลบชื่อ คุณหมอ สีอิฐ ไปน่ะครับ
คุณหมอ ยงยุทธ พงษ์สุภาพ
เคยเขียนเรื่อง "ยกบริการปฐมภูมิออกนอกโรงพยาบาล"
ถ้ามี FmaMed ออกมาทำงานอย่างคุณหมอว่า ประชาชนตาดำๆคงเข้าถึงบริการได้บ้างนะคะคุณหมอ สถานบริการใกล้บ้านใกล้ใจคงพูดได้เต็มปาก
ประชาชนล้วนอยากได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ทุกคน ระบบ Consult คงไม่ดีเท่าการได้รับการสัมผัสบริการจากแพทย์
อยากเห็น FamMed ในแต่ละ Node อย่างคุณหมอว่าจังเลยค่ะ สัก10-20 ปี ไม่รู้ว่าจะฝันนานเกินไปหรือเปล่านะคะ
ไม่น่าใช้คำว่าสัมปทานนะครับ
สัมปทานคือการเข้าไปครอบครองหาผลประโยชน์ผูกขาด
ผมว่ากำลังมีหลายๆภาคีที่กำลังทำเรื่องนี้อยู่...ช่วยกันให้กำลังใจครับ
พี่คิดว่าไม่มีการประชาสัมพันธ์ทำให้คนไม่เข้าใจและผู้บริหารก้ไม่เข้าใจทำให้คนเรียนยังลังเลและผู้ป่วยก็สงสัยค่ะ
ความเห็นส่วนตัวคิดว่ามีประโยชน์มากๆแต่จะทำให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนคงต้องใช้เวลานะคะ
ขอบคุณอาจารย์อัจฉราครับ ฝากอาจารย์อีกแรงนะครับ