อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับญาณวิทยาแบบไทยโดยผมได้่ตัดต่อบทความอันนั้นไว้ว่า
"ญาณวิทยาของไทยนับแต่โบราณกาลมาก็คือ ความจริงนั้นมีอยู่ (ไม่ใช่ถูกสร้างขึ้น) และมนุษย์สามารถเข้าถึงความจริงนั้นได้ โดยได้รับการบอกเล่าจากคนที่ได้เข้าถึงความจริงนั้นแล้ว (ซึ่งเรียกว่าครู, ผู้รู้, นักปราชญ์, ทิศาปาโมกข์, พระมนู ฯลฯ) ฉะนั้น การเรียนรู้คือกระบวนการที่จะทำให้เราสามารถจดจำความจริงที่มีผู้บรรลุแล้วเหล่านั้นไว้ ให้กลายเป็นสมบัติของเราเอง และนั่นคือที่มาของการให้ความสำคัญแก่การท่องจำ
ขอให้สังเกตนะครับว่า ในญาณวิทยาแบบนี้ ความจริงย่อมสถิต คือไม่เปลี่ยนแปลง แต่คงที่อยู่อย่างนั้นเสมอไป จึงไม่จำเป็นต้องไปตรวจสอบความจริงนั้นอีก และด้วยเหตุดังนั้น กระบวนการที่จะแสดงหลักฐานและเหตุผลว่า เราอาจบรรลุความจริงดังกล่าวได้อย่างไร (โดยอาศัยการใช้เหตุผล, โดยอาศัยการสังเกตการณ์, โดยอาศัยการใช้ความรู้สึก ฯลฯ) จึงไม่เกี่ยวหรือไม่สำคัญเลย
ความรู้ฝรั่งที่เราให้ความเคารพนับถือนับตั้งแต่ ร.4 ลงมานั้น ไม่ได้เกิดจากญาณวิทยาแบบนี้
ฝรั่งสมัยนั้นยอมรับว่าความจริงมีอยู่ เราอาจจำลองความจริงซึ่งมีอยู่เป็นอิสระจากความคิดของเราได้ โดยอาศัยการสังกตการณ์และเหตุผล แต่การจำลองของเราอาจถูกขัดแย้งได้ เมื่อคนอื่นได้พบอะไรใหม่ในการสังเกตการณ์และใช้เหตุผลคนละชุดกับของเรา ฉะนั้น ความจริงของฝรั่งจึงไม่สถิต อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตามการสังเกตการณ์และการคิดของมนุษย์
การเรียนรู้ที่เหมาะสมในญาณวิทยาแบบนี้ก็คือ การฝึกสังเกตการณ์และใช้เหตุผล ไม่มีความจริงให้ท่องจำ มีแต่กระบวนการบรรลุภาพจำลองความจริงที่ดีที่สุด ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจกระบวนการนั้นๆ ให้กระจ่าง แน่นอนว่า จะประกาศว่าเป็นผู้รู้อยู่คนเดียว โดยไม่แสดงพยานหลักฐานหรือกระบวนการคิดเหตุคิดผลของตัวให้คนอื่นรู้เลย ย่อมเป็นเพียงขี้ฟันที่มีกลิ่นเหม็นในญาณวิทยาแบบนี้เท่านั้น
ตั้งแต่ ร.4 ลงมา เรารับเอาความรู้ฝรั่งมาใช้งานเยอะแยะไปหมด จนอาจกล่าวได้ว่าชนชั้นนำไทยไม่ได้ขัดขวางต่อต้านความรู้ฝรั่งเลย รวมทั้งการจัดการศึกษามวลชนที่อาศัยความรู้ฝรั่งเป็นเนื้อหาหลักในหลักสูตร แต่ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ผมคิดว่าเราไม่เคยละทิ้งญาณวิทยาแบบเก่าของเรา ฉะนั้น ความรู้ฝรั่งสำหรับเราจึงเป็นความจริงที่ต้องท่องจำ และให้ความสำคัญเสียยิ่งกว่ากระบวนการคิดที่อยู่เบื้องหลังความรู้นั้น ฝรั่งเปลี่ยนความรู้ใหม่ เราก็ท่องจำใหม่ ไม่มีปัญหาอะไรครับ
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การรับวัฒนธรรมฝรั่งของไทยนั้น ไม่นำไปสู่การปฏิวัติทางญาณวิทยา
นอกจากนี้ ใครยิ่งใกล้ฝรั่งมากเท่าไร คนนั้นก็ยิ่งใกล้ความจริงหรือบังคับควบคุมความจริงได้มากเท่านั้น ก็ฝรั่งมันรู้ความจริงหรือมีความรู้นี่ครับ ผมคิดว่านี่คือที่มาของความคลั่งปริญญาบัตรในวัฒนธรรมไทยปัจจุบัน (ซึ่งมีลำดับชั้นของ "ศักดิ์และสิทธิ์" ชุดหนึ่ง อันอาจวิเคราะห์ได้ว่าขึ้นอยู่กับความใกล้-ไกลจากความรู้ฝรั่งนั่นเอง)
ยังมีมิติทางสังคมในญาณวิทยาแบบไทยด้วย นั่นก็คือความรู้หรือความจริงนั้นสัมพันธ์กับสถานะทางสังคมและการเมือง พูดกันตรงๆ ก็คือคนที่มีสถานะทางสังคมและการเมืองสูง ย่อมเข้าถึงความจริงหรือมีความรู้สูงตามไปด้วย
ผมไม่ทราบว่าญาณวิทยาแบบไทยทำให้เกิดเงื่อนไขนี้มาแต่โบราณหรือไม่ แต่ญาณวิทยาแบบไทยที่รักษาเอาไว้ท่ามกลางการเรียนความรู้ฝรั่งนั้น ทำให้เกิดเงื่อนไขนี้ขึ้นแน่ เพราะเฉพาะคนที่มีสถานะทางสังคมและการเมืองสูงเท่านั้น ที่มีโอกาสได้รับการศึกษาจนสามารถมีฉลากฝรั่งติดตัวได้
อำนาจและความรู้กลายเป็นเรื่องเดียวกันขึ้นมา
คงจำกันได้นะครับว่า ข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญที่กีดกันคนไม่มีปริญญาลงรับเลือกตั้งนั้น สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญอ้างว่า กว่า 80% ของประชาชนที่ไปสำรวจความเห็นต้องการอย่างนั้น
เมื่อท่านนายกฯ พูดว่า คนที่คิดเห็นไม่เหมือนรัฐบาล "ไม่รู้" โดยไม่ต้องอธิบายว่าข้อเสนอหรือความคิดเห็นของเขาผิดตรงไหนเลย ผมก็เชื่อว่ามีคนไทยกว่า 80% เหมือนกันที่เห็นพ้องกับท่าน ก็ท่านเป็นถึงนายกรัฐมนตรี มีสถานะทางสังคมและการเมืองสูงสุด จะไม่มีความจริงในมือมากกว่าคนอื่นได้อย่างไร
กล่าวโดยสรุปก็คือ ญาณวิทยาแบบไทยที่ถือว่า มีคนบางคนเข้าถึงความจริงสูงสุดนั้น ยังเป็นญาณวิทยาของคนส่วนใหญ่ในประเทศอยู่ ไม่ว่าเราจะรับวัฒนธรรมฝรั่งมามากเพียงใดก็ตาม และญาณวิทยาแบบนี้ยังเป็นฐานของระบบการศึกษาไทย และการเมืองไทยสืบมาจนปัจจุบัน ไม่ว่าเราจะเรียกระบบปกครองของเราว่าประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม
อันที่จริง ถ้าพูดกันด้วยญาณวิทยาแบบนี้ จะเป็นประชาธิปไตยกันจริงๆ คนไม่รู้นั่นแหละควรพูดมากกว่าคนรู้ ก็คนรู้มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นนี่ครับ เจ้าของประเทศล้วนเป็นคนไม่รู้เสียเป็นส่วนใหญ่ ถ้าไม่ให้เขาพูดก็ยกประเทศให้ผู้รู้ไม่กี่คนนั้นไปเลยก็แล้วกัน
ผมเชื่อว่า คงมีคนจำนวนไม่น้อยแย้งว่า ถ้าปล่อยให้คนไม่รู้พูดมาก บ้านเมืองก็เละเทะไปหมดสิ เพราะเมื่อไม่รู้แล้วจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร ต้องปล่อยให้คนรู้เขาจัดการไปนั่นแหละถูกแล้ว
ถ้าประชาธิปไตยหมายถึงการปกครองของคนไม่รู้ ก็อย่าเป็นมันเลยประชาธิปตงหรือปไตย
ใช่เลยครับ เพราะประชาธิปไตยสมัยใหม่ที่เรารู้จักนั้น เป็นระบบที่วางอยู่บนญาณวิทยาแบบใหม่ของฝรั่ง (ใหม่กว่าสมัยกลาง) นั่นก็คือความรู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ในมือใครก็ตาม ย่อมอาจถูกตรวจสอบได้เสมอ มี "ศักดิ์และสิทธิ์" เท่าๆ กันหมด เพราะจะเป็นที่ยอมรับได้ก็ต้องแสดงหลักฐานและเหตุผลวิธีคิดมาให้เป็นที่ยอมรับ จะมาประกาศปาวๆ เพราะถือว่าเป็นนายกฯ หรือเป็นผู้มีสถานะสูงอย่างเดียวไม่ได้
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ประชาธิปไตยเป็นระบอบปกครองของคนไม่รู้ด้วยกัน ที่ใครอ้างว่ารู้นั้น คนอื่นอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเขาแสดงกระบวนการคิดของเขาให้เป็นที่เชื่อถือได้หรือไม่ต่างหาก
ปราศจากการปฏิวัติทางญาณวิทยา ประชาธิปไตยไทยย่อมไม่ง่อนแง่นเป็นธรรมดา รัฐธรรมนูญหรือทหารประชาธิปไตยหรือประชาธิปัตย์ก็ไม่สามารถทำให้เกิดความมั่นคงของระบอบนี้ขึ้นมาได้ เพราะลึกลงไปจริงๆ เรายังแสวงหาคนที่กุมความจริงไว้ในมือมาปกครอง มากกว่าจะถกเถียงแลกเปลี่ยนระหว่างคนไม่รู้ด้วยกัน
เช่นเดียวกับการปฏิรูปการศึกษาที่พูดกันมากมายนั้น ต้องมีการปฏิวัติญาณวิทยาเป็นฐานของการปฏิรูป ไม่อย่างนั้นก็ต้องเถียงกันแต่เรื่องอำนาจในการคุมโรงเรียนควรอยู่ในมือใคร กระทรวง, ครู หรือ อบต.
อย่างไรก็ตาม ผมไม่อยากพูดจนดูเหมือนโลกมืดมนไปหมด เพราะผมคิดว่าญาณวิทยาแบบไทยกำลังถูกสั่นคลอนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นั่นคือการแพร่เข้ามาของญาณวิทยาโพสต์มอเดิร์นของฝรั่ง ผมขอสรุปฐานความคิดของโพสต์มอเดิร์นตามความเข้าใจอย่างตื้นเขินของตัวเองว่า ความจริงสูงสุดอาจมีอยู่ก็ได้ แต่เราไม่มีวันเข้าถึงหรอก ที่เรียกกันว่าความจริงหรือความรู้ล้วนเป็นสิ่งก่อสร้างทางสังคมทั้งนั้น เพื่อเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง
ด้วยเหตุดังนั้น จะคว้ามาแต่ "ความรู้" แล้วรักษาญาณวิทยาไว้เหมือนเดิมอย่างที่ไทยเคยทำมากับพวกมอเดิร์นนิสต์จึงไม่ได้ จะคว้าไว้ได้ก็แต่เพียงวิธีวิทยา ไม่ใช่ความจริงที่ตายตัวอันควรแก่การทรงจำไว้
ความแพร่หลายของโพสต์มอเดิร์น โดยเฉพาะในกลุ่มนักวิชาการรุ่นใหม่ ชี้ให้เห็นว่า แล้วในที่สุดมันก็จะขยายไปถึงนักเรียนมัธยม และพอถึงตอนนั้น (หรืออาจจะก่อนนั้นเสียอีก) ญาณวิทยาแบบไทยก็จะถูกท้าทายอย่างหนัก จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติทางญาณวิทยาขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
สุดยอดเลยครับ แม้จะอ่านยากอยู่สักหน่อย (คือต้องย่อยเป็นประโยคๆ ไปเลย) คงต้องใช้เวลาในการคิดตามและทำความเข้าใจ
ญาณวิทยาของไทย
ญาณวิทยาแบบฝรั่ง (ที่เราให้ความเคารพนับถือนับตั้งแต่ ร.4 ลงมา)
ญาณวิทยาโพสต์มอเดิร์น
ผมจำได้ว่าเคยอ่านมาครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว อ.นิธิ เขียนลงในมติชนรายสัปดาห์ (ถ้าจำไม่ผิด) ตอนนั้นอ่านไม่รู้เรื่องเท่าไร พอมาอ่านใน g2k กลับนี้รู้สึกดีขึ้น(เล็กน้อย) ทุกประเด็นล้วนน่าคิด น่าถกเถียง ...
ผมขอบคุณอาจารย์สุรเชษฐ์ เวชชพิทักษ์ที่สนใจกับการที่ผมนำ
เอาบทความอาจารย์นิธิ ซึ่งมีความน่าสนใจในการนำเสนอคำตอบว่า
ญาณวิทยาแบบไทย ๆเป็นอย่างไร
ผมทิ้งบล๊อคนี้ไปนานทีเดียวเพราะไม่มีเวลาที่จะเขียน
จนอีเมล์มาเตือน ก็แวะมาอีกที ความรู้ที่ถูกกีดกันไปสู่ชายขอบ ก็ยังคิดไม่เสร็จเลยครับ เป็นอันว่าคำตอบของอาจารย์นิธิได้ตอบปัญหาของผมได้
ผมทำงานเกี่ยวกับ
ความรู้ การจัดการศึกษา มองว่าการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมามันประสบความล้มเหลวนั่น
ก็เพราะเรื่องญาณวิทยา อันที่มันขัดแย้งกันนี่่แหละ
เรื่องเหล่านี้มันจมลึกเป็นอุดมการณ์ จิตสำนึุก ของสังคมและวัฒนธรรมไทยไปจนได้ จนยากที่จะแก้ไข เพราะว่า คำว่าครูในสังคมไทยมันเป็นตัวแทนของความจริงและไม่อาจตรวจสอบความจริงนั้นได
เพราะเราเริ่มทำลายเด็กตั้งแต่การปิดกั้นความคิดของเด็ก
ตั้งแต่เข้าโรงเรียน คำถามต่า่ง ๆ จะหายไป การถูกทำให้เงียบมีความสำคัญมากในการจัดการศึกษา อันนี้เป็นไปตั้งแต่ประถม จนถึงระดับอุดมศึกษานะครับ อันนี้ก็รวมทั้งผู้ที่จบมาแล้วเข้าสู่้ระบบการเป็นครูบาอาจารย์ก็จะมีการสืบทอด
ความเงียบ และ การตั้งคำถามจะหายไป ความขัดแย้งระหว่างญาณวิทยาทั้ง 2 อย่าง ปรากฎตัวอย่างสำคัญในวิธีการจัดการศึกษาแบบเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง
ความขัดแย้งปรากฎขึ้น สองขั้ว ของความคิด คือ
ญาณวิทยาของไทยอันซึมลึก
ญาณวิทยาของฝรั่งการจัดการเรียนรู้แบบchild center ซึ่งนำเอาเข้ามา เป็นเรื่องใหม่ จากพวกผู้เชี่ยวชาญ และรู้เฉพาะด้าน ก็นำมันมาด้านเดียว และผลักดันกัน
ม้ันจึงเกิดความกึ่งดิบ กึ่งดี ล้มเหลวมาแต่ต้่น
ซึ่งในประเด็นญาณวิทยา หรือ ทฤษฎีความรู้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็มีการถกเถีึยงกันมาตั้งแต่โบราณแล้วละครับ
ซึ่งคำถามในระดับพื้นฐาน ก็คือ ความรู้คืออะไร
คำตอบจึงมีทั้งหลากหลายตามโลกทัศน์แต่ละคน
ตั้งแต่พวกวัตถุนิยม จิตนิยม Pramatism คำตอบ
ที่แตกต่างกันเหล่านี้ชวนให้ถกเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด