“ค่าของคน” วัดกันได้หรือ?


ไม่ควรวัดกันครับ แม้จะวัดได้ อันนี้เป็นการวัดค่าของคนที่เป็นคน ๆ

     ตื่นเช้าขึ้นมา ณ GotoKnow หน้าแรก บันทึก ความคาดหวังในการศึกษา ของน้องนิว ได้กระตุกความคิดผมกระเจิงในทันที ด้วยคำสำคัญที่พบในการอ่านบันทึกคือ ความคาดหวัง ค่าของคน ระบบการศึกษา และพบว่าเหมือนผู้เขียนกำลังถูกคาดหวังจากสังคมในระบบนี้ และกำลังถกเถียงกับตัวเอง จนได้ข้อสรุปว่าจะเอาอย่างไรดี ประมาณนั้น มีหลายท่านให้ คห.ไป ผมชอบใน คห.ของ ผอ.บวร เป็นพิเศษ ขอนำมาแปะได้วยนิดนึง เพราะชอบมากครับ ดังนี้

คมความคิดของคนคมสมความรู้
มือชั้นครูเปิดประเด็นเป็นเหตุผล
เรียนและรู้เพื่อยู่รวมร่วมกับคน
พร้อมมองตนอยู่อย่างไรให้พอดี

เรียนป.เอก ป.โท คือโอกาส
บางคนพลาดอาจเรียนน้อยด้อยศักดิ์ศรี
ค่าของคนอยู่ที่ผลของคนดี
เรียนมาก-น้อยมิอาจชี้ว่ามีธรรม

     ผมก็ได้ให้ คห.ไป ว่า...การวัดคนด้วยระดับการศึกษา  จึงไม่ได้บ่งบอกค่าของความเป็น  "คน"  ของคน ๆ นั้นแต่ค่าของคน  ๆ นั้นน่าจะอยู่ที่ "การเรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข" ชอบมากเลยครับที่คุณนิวเขียนไว้ตรงนี้ และขอเพิ่มอีกนิดเถอะครับ อดไม่ได้จริง ๆ ว่า... “ค่าของคน คนนั้น อยู่ที่ได้ทำให้คนอื่นมีความสุขมากน้อยแค่ไหนด้วย” ผมว่านะ (อาจจะผิดก็ได้)

     แต่ในบันทึกนี้ผมกลับจะนำเสนอในลักษณะที่ว่า หากคนเราเกิดมาล้วนมีการศึกษาทั้งสิ้น มากน้อยก็วัดกันไม่ได้ด้วย หากจะวัดก็วัดว่านานแค่ไหน วัดจากอายุได้เท่านั้น เพราะผมเชื่อว่าทุกคนกำลังเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เรียนรู้ตลอดชีวิตด้วย เรียนรู้ในการดำรงชีวิตด้วยการปฏิบัติเพื่อการมีชีวิตจนกว่าจะหมดชีวิต

     ฉะนั้นค่าของคนจึงไม่น่าจะมาวัดกันที่ระดับการศึกษาในระบบเท่านั้น เพราะคนที่ขาดโอกาสไม่ได้เข้าสู่ระบบมีอีกเยอะมาก มากว่าคนที่อยู่ในระบบ และคนเหล่านั้นก็กำลังสร้าง/พัฒนาชาติอยู่เช่นกัน ผมพบกับอาสาสมัครมากมาย ที่ทำงานภาคประชาชน คนเหล่านั้นไม่ได้พูดถึงระดับการศึกษากัน หากเมื่อต้องลงบันทึกในแบบฟอร์มด้วยความจำเป็น เราจะอึ้งว่าที่ท่านพูด ท่านเล่ามาเมื่อตะกี้นี่นะ ท่านจบแค่ ป. ... หรือ ม. ... จริงหรือ คำถามเหล่านี้เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งผมจบ ป.โท แล้วกลับมาทำงานใหม่ ๆ ผมมาด้วยความรู้สึกหยิ่งทะนงเหลือเกิน จนค่อย ๆ ลดลง แทบม่เหลือเลยในปัจจุบัน เพราะผมพบความจริงว่า ชาวบ้านเหล่านั้น ฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ หากเราจะเชื่อกันเฉพาะคนที่มีดีกรีติดตัวมา

     ทุกวันนี้ผมพยายามที่จะทำให้ “คนเคารพคน” ด้วยฐานเชื่อในปัญญาของกันแล้วกันว่า “เท่าเทียมกัน” เพียงแต่เขาได้มีโอกาสปลดปล่อยออกมาหรือยัง เพราะบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ดี ๆ เป็นสิ่งสำคัญมากที่ทำให้เขานำ “ปัญญา” ของเขาออกมาแลกเปลี่ยนกัน ต่างคนต่างรับเอาแล้วนำไปปรับใช้ จากนั้นก็นำกลับมาแลกเปลี่ยนกันอีก ทำซ้ำ ๆ หลาย ๆ รอบ จนเกิดการหมุนวนยกระดับปัญญากันต่อไปอีกไม่รู้จบ ฉะนั้นทุกวันนี้ผมจึงพยายามทำหน้าที่ในงานที่รับผิดชอบด้วยการช่วยเร่งให้เกิด “บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ดี ๆ” มากกว่าที่จะไปให้ความรู้ ทุกครั้งเราก็จะพบเห็นแต่ความสุขแท้ เพราะเมื่อคนเราเคารพกันในระดับการเคารพที่ “ปัญญา” แล้ว จะเกิดแต่ปิติ เป็นผลได้

     กลับมาที่โจทย์เดิมคือ “ค่าของคน” วัดกันได้หรือ? ผมจึงเชื่อว่าไม่ควรวัดกันครับ แม้จะวัดได้ อันนี้เป็นการวัดค่าของคนที่เป็นคน ๆ นะครับ ส่วนการวัดค่าของคนที่เป็นภาพรวมยังเห็นด้วยครับ แต่เห็นด้วยที่จะวัดกันที่ “ความสุขมวลรวม” ครับ

 

หมายเลขบันทึก: 37988เขียนเมื่อ 10 กรกฎาคม 2006 10:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2015 08:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่าน


ความเห็น

ใบปริญญาไม่ได้ช่วยให้คนเป็นคน...อย่างสมบูรณ์

ใบปริญญาบางครั้งไม่ได้ขัดเกลาในจิตของคน....

มีคนจบสูงมากมาย...แต่ขาดน้ำใจและความมีเมตตา...

แม้การศึกษา..จะขาดหวัง...ให้คนจบสูงๆ...หันกลับมองสังคม...

แต่คนอีกหลายๆ คนนั่นแหละ...ลืม...

เพราะหลงตน...หลงอัตตา...ว่าตนคือผู้รู้จริง

การให้...และการรับ...อย่างพอดีพอเพียง

ก็อาจโน้มนำ...จิต...แห่งปัญญา...

และการลด...การหลง"ตน"...

นำไปสู่...การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง...

Dr.Ka-poom

     ขอบคุณนะครับที่มาเติมเต็ม ต่อยอดให้ นับว่าสมบูรณ์เลยทีเดียวครับ

ความรู้..บางคน บางท่าน...บางความรู้

ไม่จำเป็นต้องมามีใบอะไร...รับรอง...

หากแต่...คนในสังคม...มักมองกัน...ที่ใบ...นั้นเสมอ...

มีคนอีกมากมาย...ที่เป็นผู้สุดยอดแห่ง...ความรู้และการเรียนรู้...โดยที่ไม่ได้เป็น...ดอกเตอร์..หรือจบโทใดใดทั้งสิ้น.ฯลฯ...

มีเพียงปริญญาใจ ปริญญาจิตวิญญาณ*ค่ะ

 

และพระพุทธองค์

คงเป็นบทพิสูจน์สอน

สำหรับโลกมายาที่ยังหลงวัดค่าคนแค่

ภายนอก เปลือกนอก เพียงนั้นค่ะ

ดอกไม้ไม่เคยมีเกลีบเดียว

ถึงเรียกว่าดวงดอกไม้มาทายทัก

 

ทุกผู้คนในวัฏฏจักรหมุนวน

ทุก*โลกเลือก*

หลากสาขาอาชีพก็เกเช่นกัน

มาปันหลอมพร้อมพลี*ดี*

ให้เราได้มีความเป็นสังคมประเทศ

อย่าง

*พอเหมาะพอดี ..

อย่างที่ต้องพึ่งพาพึ่งพิงกันและกัน

อย่างควรเรียนรู้ค่าคำสมานฉันท์สามัคคี

อย่างที่ให้สมเกิดมาเป็นมนุษย์

ได้พบพระพุทธศาสนา

ได้อาศัยร่มเงาพระบุญญาบารมี

ใต้ร่มพระมหาเศวตรฉัตรพระมหากษัตรา

ที่ทั้งโลกหล้าเทิดไท้พระเกียรติเกริกไกร

ใต้ร่มธงไท แห่งแผ่นดินทองผืนอุดมค่ะ

 

สาวบ้านนาไร้ปริญญาใด

พลีกำนัลจากดวงใจสาวนาค่าเพียงดิน

ถึง

ทุกดวงใจในGotoKnow

ให้

ไหวรู้รับงามทางจิตวิญญาณค่ะ 

ค่าเพียงดิน..!

สาวบ้านนา


สาวนาตื่นมายามฟ้าสาง
กับดาวพร่างดวงเต็มอ้อมฟ้า
กับ..
เดือนดวงเหว่ว้า..ที่ยังแขวนสวย
เรี่ยปลายไผ่..เหนือทิวไม้
ริมคอกควายของเจ้าสายน้ำ
กับลาแล้งที่อีกไม่กี่วันจะตกลูกแล้ว


สาวนาดีใจ..
ที่จะได้มี..
ลูกควายน้อยๆหน้าตาดำดำตาดวงใสใส
มา..
ดำรงรอยไถให้ไม่แปรให้ยังมีวิถีไทยแท้
วิถีที่ไม่แปรไปตามระบบทุนนิยม
ให้ยังมีกลิ่นโคลนตมปลักควาย
ไว้ใช้งานไว้หว่านไถ..คู่ทุกข์คู่ยาก
และ..
ฝากให้นวลใจสาวนาแสนปิติยินดี
ที่ยังได้..
พลีธำรงวงศ์ตระกูลควายไว้
มิให้สิ้นหายไปกับกาลเวลา


สาวนา..
จึงนอนยิ้มอิ่มบุญกับฟ้าสลัว
ในม่านมัวของมวลหมอกเมฆ
กับ
อวลกลิ่นดวงดอกการะเวกรสสุคนธา
ที่เลื้อยพันพาพร่างพ้อมาล้อถึงริมหน้าต่าง
กลายเป็นม่านเขียวสล้างแถมให้หอมไกลหอมใจจรุง


สาวนา...ตลบมุ้ง
และกลับนอนลงไปใหม่
ขอขี้เกียจสักวันก่อนจะผันตัวเองไปทำหน้าที่
ที่มีภาระมากมาย
ไหนจะดายหญ้า
ไหนจะเก็บผักหาฟืน


หากสาวนายังไม่อยากตื่น
อยากนอนนิ่งๆ..ทิ้งใจว่างๆ
ทอดตารับพร่างละมุนจากเถาตำลึงริมรั้ว
และ..
นอนดูม่านฟ้ารำไรในแสงสลัว
ที่เริ่มสาดส่องประกายทอง
ผ่องตามอาทิตย์อุทัยแรกแย้ม
ที่..
กำลังไหวพรายแสงแต้มนภา
มาทายทัก อย่างเช่นทุกทิวาวัน


ฟังเสียงดุเหว่านกเขาไพร
ไก่ป่าไก่บ้านร้องขันเทือนไปทั้งท้องทุ่ง
ให้..
คนมุ่งลงนาพาตัวไปทำหน้าที่
ตามวิถีทองวิถีไทยแต่โบราณ
ได้หว่านข้าวให้ผลิรวงตระการ
มาเลี้ยงท้องให้คนไทได้อิ่มหนำสำราญ
ในผืนดินได้มีกินอุดม
ไปตราบนานแสนนาน...


สาวนาเพิ่งรับคนงานมาไว้สองคน
ผัวเมีย.. ที่ไม่มีงานทำ
มาปันแบ่งที่ริมนาให้ได้ปลูกกระท่อม
ผักหญ้าพอเลี้ยงตัว
และ..
บางครั้งครา
สาวนาก็ยังพอออกปากฝากให้ช่วยดูแลนาได้บ้าง
รวมทั้ง
ปลาในหนองน้ำในคลองมิให้แห้ง..
ช่วยกันขุดลอกแบ่งหน้าที่กันทำ


และ
สาวนา..เพียรรินร่ำสอนด้วยการกระทำ..
ให้สองคนนั้น...
ได้รู้จัก...
การมีชีวิตเกษตรกรรมแบบพอเพียง แบบเพียงพอ
แบบ..สมถะตามประสายาก
แบบดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท
ตามแนว..*ทฤษฎีใหม่*


วันก่อน
สาวนาได้อ่านบทความในหนังสือเล่มหนึ่งที่พี่ทอง
นำมาฝากจากในเมือง
และ
อ่านต่อให้สองคนผัวเมียฟัง
ด้วยความที่สาวนาประเทืองประทับใจ
เพื่อ..
จะเน้นย้ำ..
ให้ได้ตระหนักถึงความมีชีวีชีวิตแบบธรรมดา
ทว่า..
แสนจะมีความสุขแบบเรียบง่าย


บทความที่สาวนายังจำได้
ที่ท่านดร.สุเมธ ตันติเวชกุลบรรยายไว้ชื่อ
ข้อคิดใช้ชีวิตแบบธรรมดา ตามธรรมชาติ*
ที่ท่านได้กล่าวเล่าไว้ดังนี้..
****************


เศรษฐกิจพอเพียงความพอดี

*ทฤษฎีใหม่*ที่ได้รับพระราชทาน..
เป็นตัวอย่างของเศรษฐกิจแบบพอเพียงสำหรับเกษตรกร
ที่สามารถอุ้มชูตัวเองให้อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน

โดยทำการเกษตรในพื้นที่
ซึ่งไม่ว่าพื้นที่นั้นจะมีกี่ไร่
แต่มีการแบ่งจัดสรร
ให้..
ส่วนที่เป็นน้ำ30%
เพื่อเก็บกักน้ำในฤดูฝน
เพื่อใช้ในฤดูแล้ง
รวมทั้ง...
ใช้เลี้ยงปลาด้วย ดังนั้นตอนฝนทิ้งช่วง
ก็ยังมีน้ำในพื้นที่ตัวเอง
มีปลารับประทานได้ตลอดเวลา


อีก30%
ใช้ปลูกผัก พืชต่างๆ  

ที่เหลือ 10% ไว้สร้างบ้าน ทำถนน
ดังนั้นเราจึงมีอาหาร
ซึ่งทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปเกือบครึ่ง
เหมือน*มีเซเว่นอีเลเว่น*ส่วนตัวอยู่หลังบ้าน


ท่านยังกล่าวว่า...
นักพัฒนาสมัยใหม่ต้องการสร้างรายได้
นักพัฒนาที่บรรลุธรรมจริงๆ
จะไม่สนใจเรื่องสร้างรายได้..
แต่..
ใช้ชีวิตอย่างฉลาด
ไม่กระหายเกินไปก็สามารถอยู่ได้
การทำเกษตรตามทฤษฎีใหม่
ถ้ายังเหลือกินเหลือใช้ก็นำไปขายได้


ท่านกล่าวว่า....
การดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ต้องยึดหลัก..สายกลาง..เป็นที่ตั้ง
ต้องอยู่ด้วยความถ่อมเนื้อถ่อมตัว
ไม่ได้ให้คุณค่าทางวัตถุหรือเงินตราเป็นที่ตั้ง


แต่
เพราะมนุษย์เต็มไปด้วยกิเลส
พระพุทธเจ้า..
ทรงเผยแพร่หลักธรรมมา2548ปีแล้ว...ยังสู้ไม่ไหว
ดังนั้น
เราต้องชนะกิเลสก่อน
ต้องยอมรับว่า
*ทุนนิยม..เป็นเรื่องเกี่ยวกับกิเลส*

พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงสอนให้จน
รวยก็รวยไป
แต่...
พฤติกรรมในการดำรงชีวิต
ต้องมีมาตรฐานเส้นระดับความพอดีของตนเอง


สำหรับ
เรื่องของการเป็นอยู่ท่านบอกว่า
ลองสังเกต คนรวยต้องใช้ยากันทุกคน
ไม่ว่า..
ยาแผนปัจจุบันหรือยาสมุนไพร
เพราะ..
กินดีอยู่ดี
แต่..
ของกินดีอร่อยๆเป็นพิษทั้งนั้น
ไขมันมากเกินไป
เดี๋ยวไขมันขึ้นเดี๋ยวเส้นเลือดอุดตัน
*เรียกว่าเป็นโรคเศรษฐี*

คนจนไม่มีใครเคยเป็น
ชาวไร่ชาวสวนมีใครบ่นที่ไหนว่า
ไขมันอุดตันเนื่องจากเขาออกแรงทั้งวัน
............


*อยู่อย่างธรรมดา..ดีที่สุด*

ท่านเล่าว่า..
ท่านเคยบวชเป็นพระป่าเมื่ออายุ64ปี
ไม่มีเงินในกระเป๋าสักบาท
แต่..
กลับมีความสุขที่สุด..ท่านว่าอย่างนั้น
ฉันอาหารปลอดสารพิษ
ข้าวเหนียวแข็งๆกินผักตามรั้วบ้าน
ที่..
ชาวบ้านนำมาใส่บาตร มีปลาปิ้ง
อาหารไม่ต้องใช้น้ำมัน
ระหว่างบวชจึงไม่ต้องกินยา
ความดันโลหิตสูง
ไม่มี ไตรกลีเซอร์ไรด์ คอเลสเตอรอลปกติ
ร่างกายแข็งแรงน้ำหนักหายไป 8 ก.ก

ท่านกล่าวว่า...
ทำไมอยู่อย่างอดอยากแต่ร่างกายกลับแข็งแรงขึ้น


ท่านมีบ้านอยู่ที่เพชรบุรี
สร้างแบบไทยๆเย็นสบาย..ไม่เหมือนบ้านสมัยนี้
ลอกแบบฝรั่งมากเกินไป
สถาปนิกคงจะมาจากต่างประเทศ
ใช้หลักการที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน
เช่น..
ถ้าไม่มีพลังงานก็ใช้อะไรไม่ได้
การออกแบบตึกสมัยใหม่..
น่าจะออกแบบให้ใช้ได้แบบยั่งยืน
เช่น..
ใช้แสงธรรมชาติ    
ที่สะท้อนไปมาได้
มีการถ่ายเทอากาศ ใช้ธรรมชาติให้มากที่สุด
ลดการใช้พลังงาน ลดค่าใช้จ่ายเรื่องการดูแลรักษา


การกำจัดน้ำเสียก็เช่นกัน
แทนที่จะต้องเสียพลังงานไปสร้างโรงบำบัด
ก็ใช้ธรรมชาติช่วยบำบัด ใช้พืช เช่นพุทธรักษาบำบัด
และ..
ทำให้เกิดการตกตะกอน
ตะกอนก็เป็นจุลินทรีย์เน่าสลายไปเป็นปุ๋ย
เลี้ยงต้นไม้ ต้นไม้ดูดซึมซับโลหะหนัก
ที่..
ถ่ายทอดออกมาเป็นคาร์บอนมอนออกไซด์
นี่คือขบวนการตามธรรมชาติ


ท่านกล่าวว่า..
คนทำร้ายธรรมชาติมาก
จนธรรมชาติเตือนเช่นเกิดวาตภัยเกิดอุทกภัย
ทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อทรัพย์สินและชีวิต
เรารังแกธรรมชาติมากเกินไป

ความจริง..
ธรรมชาติเขาสร้างขึ้นมาให้อยู่กับมนุษย์อยู่แล้ว
ให้..
อยู่อย่างราบรื่น อย่างยั่งยืน
แต่เดี๋ยวนี้ คนดูต้นไม้เป็นซุง ดูเป็นเงิน
ถ้าดูเป็นซุงก็ตัด


ถ้าดูต้นไม้ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมก็ไม่ตัด
รักษาถนอมไว้

*ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่ทำลายมนุษย์*
บริโภคจนทรัพยากรธรรมชาติ
ไม่สามารถจะสนองตอบได้
ตอนนี้..
ก็เริ่มทำสงครามแย่งชิงทรัพยากรกันแล้ว
*สงครามน้ำมัน*
อีกหน่อยก็
*สงครามแย่งน้ำ...เพราะไม่พอ
...................


สูงสุดคืนสู่ธรรมชาติ

ท่านกล่าวว่า....
มีการ์ตูนฝรั่งล้อว่า
มีคนจนฝรั่งใส่หมวกฟางตกปลาอยู่
อีกช่องถัดไป..
มีรถคาดิแลคมาจอด เศรษฐีแต่งตัวโก้มานั่งข้างคนจน

เศรษฐีถามว่า*เรียนหนังสือมาหรือเปล่า จนมากนักหรือ*
เศรษฐีเองบอกว่าตนเรียนมาสูง
มีอพาร์ตเมนท์หรูหราอยู่
ร่ำรวยแล้วจึงมานั่งตกปลากับยู
คนจนบอก...
ไม่เห็นต้องลำบากลำบนเลย
ไม่ต้องร่ำรวยก็มานั่งตกปลาเหมือนกัน


การ์ตูนให้แง่คิดบางอย่าง
คนเราตะเกียกตะกาย..
ก็ต้องกลับไปอยู่จุดเดิม

พวกเศรษฐีมีเงิน
เสาร์อาทิตย์ก็ไปอยู่ชนบทมากมาย
ถาม..ว่ามาทำไม
ก็บอกมาสูดอากาศบริสุทธิ์
คนเรา..
จะไปใฝ่หาอะไรที่มันสุดยอดทำไม
ในเมื่อลำบากแทบตายกว่าจะได้มา
สุดท้าย..*ก็กลับไปอยู่จุดเดิม*


คนบางคนสวมใส่นาฬิกา
เรือนละล้านเรือนละแสนก็หามาใส่
ใส่นาฬิกาแพงแล้วต้องมานั่งผ่อนแล้วผ่อนอีก

พระเจ้าอยู่หัวทรงใส่นาฬิกาเมื่อปี2524
พระองค์ทรงรับสั่งว่าทรงใส่นาฬิกา
ใส่แล้วโก้ ราคา 750 บาท
พระองค์สูงสุดแล้วเราอยู่แค่นี้
ทำไม...
ต้องโรแหลกตลอดเวลา
โรแหลกกระเป๋าแหลก


ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป
ทางการองค์การสหประชาชาติพูดเรื่อง
GNH  (Gross Nationnal Happiness)
จะไม่เอาตัวเงินมาวัดอีกแล้ว
แต่จะวัดด้วย..*เครื่องชี้วัดความสุข*


ประเทศแรก..
ที่กล้าประกาศวัดด้วย GNH คือประเทศภูฏาน
มี..
ปัจจัย 4 มีอาหารการกิน
คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ภูฏาน เขากำหนดคนเข้าประเทศของเขาดวย
เพราะพื้นที่เขามีแค่นี้
ถ้าเศรษฐีจะมาเที่ยวต้องจ่ายเงินมาซื้ออากาศ
เราไปต่างจังหวัดกันคือไปซื้ออากาศ


*ข้อคิด
ชีวิตแบบธรรมดา..ตามธรรมชาตินี้
ไม่ว่าท่าน ไปบรรยายที่ไหน
ท่านจะตั้งไว้สิบเปอร์เซนต์สำหรับผู้นำไปปฏิบัติ
ร้อยคนมีสิบคนนำไปปฏิบัติ
ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
และ..
หากเป็นจริงที่ท่านอาจารย์คาดหวังไว้
เชื่อได้ว่า..
ประเทศไทยจะมีคนถึง 6ล้านคน..
ที่เปี่ยมด้วยประโยชน์สุข
เช่นเดียวกับพลเมืองภูฏาน..*
...............


และ
ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่สาวนา
ได้เพียรพยายามที่จะนำมาสอนจิตสอนใจ
สอนผู้ชิดใกล้ในดวงใจเท่าที่จะทำได้
และ..
สาวนาตั้งใจไว้ว่า
จะนำบทความนี้
ไปน้อมนมัสการถวาย..ให้หลวงพ่อที่วัดเทศน์ออกอากาศ
ให้ญาติธรรม กัลยาณมิตรทางธรรม ได้รับทราบรับฟัง


พร้อมบทกวีจากมิ่งมิตรคนดี
ที่เกี่ยวกับ*สวรรค์สรรสร้างทางงาม*
ให้สม..
กับที่เรายังมีลมหายใจในโลกหล้า
ได้เพียรปรารถนา
สร้างสมแต่กุศลจิตคิดทำแต่ในสิ่งดี
ตราบยังมีลมหายใจ..


และ..
พร้อมพลีเพียร...รักษา  ศีลทานภาวนา..อย่าให้ขาด
ให้ดวงใจใสสว่างพิไลพิลาสแสนสะอาดบริสุทธิ์
กระจ่างดุจดั่งได้แผ้วถาง
ทางแห่งธรรม ..
ให้มานำทางใจ..ไปตามรอยพระบาทแห่ง
สมเด็จพระพ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย


แล...
เมื่อยามใดดวงชีวี
พลัน..ถึงกาลเวลาจำพราก
จำต้อง..
ลาลับดับดวงไปดั่งเปลวเทียนระริบหรี่ไหวแล้ววูบวับ

ก็ให้มีเพียงจิตจับ
เดินไปตามรอยเบื้องพระบาทแห่งพระศาสดา
ที่ทรงยุรยาตรไปก่อนหน้าแล้ว
ให้จิตวิญญาณใสดั่งดวงแก้วนิรมิต
ที่จักเปรียบประดุจ
*ดั่งอัญมณี*..ที่จักสถิตไปตราบชั่วนิจนิรันดร...........
.............





ฝากดิน

ดินเจ้าเอ๋ยข้าเคยอยู่ใกล้มาก่อน
ดินอุ่นร้อนหรือเย็นก็เป็นเพื่อนฉัน
ยามเมื่อเขาร้างไป ไกล
ใจก็ยังนึกหวั่นหวั่น นี่อีกสักกี่วันถึงมา
ดินอ้างว้างระทมขื่นขมตรมเศร้า
ดินก็เหมือนเช่นเรารักเขาหนักหนา
เขาเป็นเหมือนเจ้าดวงใจ
ดินเรียกเขาคืนมา มา
บอกเขาเถิดดินจ๋าข้าคอย
อภัย เถิด ดิน
ได้แนบซบไอกลิ่น ดินนั้นอุ่นไม่น้อย
อุ่นอกเขา อุ่นอกเขา เราก็พลอย
อุ่นจากรัก ที่ฝังรอย อุ่นไม่น้อย ประทับใจ
ดินช่วยซับน้ำตาข้าขอลาจาก
ช่วยฝากซากรักเศร้าของเราได้ไหม
ถ้าหากเขาไม่มาเยือน คงได้พบรักใหม่ ใหม่
ดินถมร่างฉันไว้ ให้จม

อภัย เถิด ดิน
ได้แนบซบไอกลิ่น ดินนั้นอุ่นไม่น้อย
อุ่นอกเขา อุ่นอกเขา เราก็พลอย
อุ่นจากรัก ที่ฝังรอย อุ่นไม่น้อย ประทับใจ
ดินช่วยซับน้ำตาข้าขอลาจาก
ช่วยฝากซากรักเศร้าของเราได้ไหม
ถ้าหากเขาไม่มาเยือน คงได้พบรักใหม่ ใหม่
ดินถมร่างฉันไว้ ให้จม...
...............




กลิ่นโคลนสาบควาย


อย่าดูหมิ่น ชาวนาเหมือนดั่งตาสี
เอาผืนนาเป็นที่ พำนักพักพิงร่างกาย
ชี วิตเอย ไม่เคยสบาย
ฝ่าเปลวแดดแผดร้อนแทบตาย
ไล่ควายไถนาป่าดอน
เหงื่อรินหยด หลั่งลงรดแผ่นดินไทย
จนผิวดำเกรียมไหม้ แดดเผามิได้อุธรณ์
เพิง พักกายมีควายเคียงนอน
กลิ่นโคลนสาบ ควายเคล้าโชยอ่อน
ยามนอน หลับแล้วใฝ่ฝัน
กลิ่นโคลนสาบควายเคล้ากายหนุ่มสาว
แห่งชาวบ้านนา
ไม่ลอยเลิศฟ้าเหมือนชาวสวรรค์
หอมกลิ่นน้ำปรุงฟุ้งอยู่ทุกวัน
กลิ่น กระแจะจันทร์
หอมเอยผิวพรรณนั้นต่างชาวนา
อย่าดูถูก ชาวนาเห็นว่าอับเฉา
มือถือเคียวชันเข่า
เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา
ชี วิตคนนั้นมีราคา ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา
บูชา กลิ่นโคลนสาบควาย

อย่าดูถูก ชาวนาเห็นว่าอับเฉา
มือถือเคียวชันเข่า
เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา
ชี วิตคนนั้นมีราคา ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา
บูชา กลิ่นโคลนสาบควาย...
 

Dr.Ka-poom
     เห็นด้วยครับตาม คห.ที่ให้ไว้

คุณ.....ครับ
     ใช่เลยครับ พระพุทธองค์ทรงสอนโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะใด ๆ เพื่อพ้นทุกข์

 

คุณ สาวบ้านนาไร้ปริญญาใด ครับ

     ขอบคุณสำหรับบทกวี ดี ๆ ที่ผมต้องอ่านแล้วหลับก่อนตื่นมาตีความอีกครั้ง (ยิ้ม ๆ)

ขอบพระคุณอย่างยิ่ง  ที่ไปช่วยผมออกมาจากบันทึกที่ผมหลงเข้าไป(ยิ้มๆๆ)
ผอ.บวร
     นี่เป็นเสน่ห์ ของ GotoKnow.Org อีกมุมหนึ่งใช่ไหมครับ
ขำๆ..ท่าน ผอ.บวร..ออกมาได้แล้วมาอยู่ที่นี่เอง

  Old Paradigm = ค่าของคน อยู่ที่ว่า เป็นคนของใคร

 แต่ " ฅน กลับ ใจ" ต้องให้กำลังใจ ครับ

   Dove"ร่วมคิด ร่วมฟัง ร่วมนำ ไปพัฒนา สร้าง ฅน ฅน ฅน" 

อย่าหลงประเด็น

   อย่าเข่นฆ่ากัน (ทางความคิด)

     ร่วมรวมพลัง สร้างสรรค์สังคมไทย







     ไดยินเสียงท่านอาจารย์ (พุทธทาส)  แว่วๆมา ว่า ...
" ถูกต้อง ... พอใจ "
" ถูกต้อง ... พอใจ "
" ถูกต้อง ... พอใจ "  ...  ครับผม

อ่านบันทึกนี้ได้กลิ่นโคลนหอม 

พร้อมเงาเหงื่อเพื่อผืนนา

พบหนทางพารอด

และอ้อมกอดเพื่อนแท้

เพราะเราแค่..เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย

Dr.Ka-poom

     ทีหลังอย่าได้เขียนบันทึกแบบ Gender Bias อีกนะครับ กัลยาณมิตรผมหลงเข้าไปวันที่ผมไม่อยู่จะยุ่ง ๆ อีก สงสารท่าน ผอ.บวร จังในวันนี้

อาจารย์หมอ JJ

     ขอบพระคุณสำหรับกำลังใจที่มอบให้น้องชายไม่เคยขาดหายไปไหนครับ

อาจารย์ Handy

     โชคดีจังที่อาจารย์ขยายเสียงถ่ายทอดมาจนผมได้ยินด้วย ขอบพระคุณมาก ๆ ครับ

คุณ d.1

     บทกวีทรงคุณค่ามากครับ ขอนำไปใช้บ้างนะ เวลาทำเวที แบบว่าแต่งเองไม่เป็นนะครับ

ยินดีมากๆเลยค่ะ  และรู้สึกดีใจมากที่กลอนบทจิ๋วจะได้ขึ้นเวทีของท่านด้วย รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงค่ะ
เมื่อกี้ลองอ่านอีกรอบเลยลองแก้ไขเล็กน้อย แต่คุณชายขอบปรับแต่งตามที่เห็นสมควรได้เลยค่ะ

 

อ่านบันทึกนี้ได้กลิ่นโคลนหอม 

พร้อมเงาเหงื่อเพื่อผืนนา

พบหนทางพารอด

อุ่นอ้อมกอดเพื่อนแท้

และเราแค่..เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย

คุณ d.1และกลอนบทจิ๋ว

     ขอบคุณมากนะครับ ที่ยังอุตส่าห์ ปรับใหม่ให้

ไร้นามมาช้าไปหรือเปล่า

สรุปกันไปแล้วนี่นะ ว่า ความดีวัดที่คุณค่าของคน ไม่ใช่ปริญญา

แต่พูดๆกันคือปริญญา ที่เป็นใบๆ ใช่ไหม

ไม่มีใครจะพูดถึงปริญญา ตามความหมายจริงๆ ด้วยหรือ

คนที่คู่ควรกับปริญญา ที่เรียกว่า บัณฑิต

ที่ต้องมี"บัณฑิตลักษณะ" หรือเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นบัณฑิต 3 ประการคือ  ทำดี พูดดี คิดดี

ถ้าใครมีคุณสมบัติครบก็คือคนมีปริญญา โดยไม่หรือมี "ใบ"

ดังนั้นคนที่รับ"ใบ"ปริญญาจึงต้องคอยฝึกฝนตนเองเสมอ เพื่อให้คู่ควรกับใบปริญญาที่ได้รับ

ไม่ใช่รับครั้งเดียวก็เป็นบัณฑิต ได้

บางคนไม่เคยได้เป็นบัณฑิตเลยตลอดชีวิต แม้จบรับ "ใบ" ปริญญาเอกก็ตาม ...เพราะขาดคุณสมบัติทั้งสามนั้น

 

 

เนตหลุด...ยังเขียนไม่จบเลย...

สรุปความเห็นของไร้นามคือ...ความดีเป็นเครื่องหมายของบัณฑิต บัณฑิตคือคนมีปริญญา ดังนั้น ความดีกับปริญญาเป็นเรื่องเดียวกัน..แต่คนละเรื่องกับ "ใบ"ปริญญา

 

      ค่าของคน อยู่ที่ผลแห่งความดีที่ทำค่ะ  ในปัจจุบันเรายังคงต้องมีคำถามอยู่ว่าเอ๊ะ ความดีที่ทำน่ะ มันอยู่ตรงไหน  วัดกันอย่างไร มีเครื่องมือชนิดไหนที่วัด      ดีที่ได้ทำ หรือทำได้ดี หรือทำดีได้  หรือ ทำแล้วไม่ได้ดี 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท