ธรรมหรรษา
รศ.ดร. พระมหา หรรษา นิธิบุณยากร

เพศศึกษากับพระภิกษุสามเณร????


     วันนี้ (๒๐ กรกฏาคม ๒๕๕๓) ได้มีผู้สื่อข่าวของ "ไทยทีวี" (TPBS) ได้โทรมาสัมภาษณ์ และถามประเด็นที่กำลังเป็นที่ถกเถียง วิพากษ์ วิจารณ์ และกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวางต่อประเด็นที่ว่า "การจัดการเรียนการสอนวิชาเพศศึกษาให้แก่พระภิกษุสามเณรที่เรียนอยู่ในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่? อย่างไร?"

     ผู้เขียนจึงได้ถือโอกาสนี้กลับไปดูภาพแฟ้มวีดิโอข่าวที่ปรากฎในไทยทีวี ตามลิงค์ (http://www.thaipbs.or.th/s1000_obj/front_page/page/1058.html?content_id=263911&content_detail_id=718193&content_category_id=688)  จึงทำให้ทราบที่ว่าของการขอสัมภาษณ์ว่าเกิดจากอะไร และอย่างไร

     ประเด็นสำคัญที่กำลังกลายเป็นคำถาม และสังสัยในความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเช่นนี้  ผู้เขียนจึงพยายามที่จะศึกษา วิเคราะห์ และหาหลักฐานจากแหล่งต่างๆ ทั้งการสัมภาษณ์ และการเขียน ทำให้พบประเด็นข้อถกเถียงกันใน ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ

     ๑. กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย  กลุ่มนี้เห็นว่า เด็กนักเรียนทั่วไปใส่กางเกง และกระโปร่งอาจจะง่าย และเหมาะต่อการเรียนรู้ และการดำเนินชีวิต ส่วนพระภิกษุสามเณรสวม "ห่มจีวร" แม้จะเป็น "นักเรียน" ที่เรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ (ม.๑-๖) แต่ท่านเหล่านี้ "ถือเพศพรหมจรรย์" และไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ท่านเหล่านี้จะเข้าไปทราบ เรียนรู้ และเกลือกกลัวกับวิถีแห่งโลก ฉะนั้น สองสิ่งจึงขัดกันอย่างรุนแรงคือ "เพศพรหมจรรย์กับเพศศึกษา"  ด้วยเหตุนี้ จึงไม่เหมาะสมที่พระภิกษุและสามเณรจะเรียนรู้วิชา หรือเรื่องราวเหล่านี้

     ๒. กลุ่มที่เห็นด้วย  กลุ่มนี้เห็นว่า พระภิกษุสามเณร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามเณรแม้จะเป็นนักบวช แต่ก็ "เป็นวัยรุ่น"  วัยเช่นนี้ควรเรียนรู้เรื่องเพศศึกษา เพื่อจะเข้าใจมิติต่างๆ ของเพศศึกษาอย่างรอบด้าน  ซึ่งจะส่งผลต่อ "ท่าที และทัศนคติทั้งในเชิงโลกทัศน์และชีวทัศน์" ต่อเพศศึกษามากยิ่งขึ้น หากดำรงสมณเพศอยู่ก็จะมีท่าที และวางตัวได้เหมาะสม และหากสึกหาลาเพศออกไปย่อมสามารถดำรงตนต่อเรื่องเหล่านี้ในเชิงบวกมากยิ่งขึ้น

     คำถามที่สำคัญที่ผู้เขียนปรารถนาที่จะให้ "กัลยาณมิตรได้ร่วมแบ่งปันความรู้เหล่านี้ เพื่อจะได้หาทางเลือกที่เหมาะสม หรือแนวทางที่สอดรับความน่าจะเป็นในกรณีนี้ว่าควรจะเป็นไปในทิศทางใด และเพราะเหตุใด???

     ๑. ไม่เหมาะสม...................... !!!!! เพราะ.......................................?
     ๒. เหมาะสม...................... !!!!! เพราะ..........................................?
     ๓. มีทั้งไม่เหมาะสมและเหมาะสม!!!!!............เพราะ............................?
     ๔. ทางออกที่พึงประสงค์คืออะไร.............? อย่างไร............................?

 

     ด้วยสาราณียธรรม

 

หมายเลขบันทึก: 377320เขียนเมื่อ 21 กรกฎาคม 2010 00:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

นมัสการครับ

เรียนถามเรื่องศีลและวินัยของพระภิกษุสามเณรครับว่าขัดข้องหรือไม่ที่จะเรียนรู้เรื่องดังกล่าว

การเรียนรู้ดังกล่าว จะนำไปสู่การพัฒนาจิต และนำไปสู่ความบริสุทธิ์และความหลุดพ้นของจิตหรือไม่ครับ

นมัสการครับ

ท่านทูต

  • ขอบคุณมากที่แวะมาเยี่ยมหลังจากท่านทูตห่างหายไปหลายวันด้วยภาระกิจและงานที่รัดตัว
  • สามเณรมีศีล ๑๐ ข้อ ข้อที่ใกล้เคียงกับเรื่องเพศหรือพรหมจรรย์คือ "ข้อที่ ๓" ที่ว่าด้วยการงดจากการไม่ประพฤติในสิ่งที่เป็นศัตรูต่อการประพฤติพรหมจรรย์"
  • ส่วนวินัยของพระภิกษุที่เกี่ยวข้องกับ "การห้าม" ในเรื่องการเรียนรู้ "ไม่ปรากฎชัดนัก" เพียงแต่ห้ามการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสตรีในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การเสพเมถุนในอาบัติปาจิตตีย์ การเกี๋ยวพาราศรีในอาบัติสังฆาทิเสส การอยู่ในลับตา ลับหูกับสตรีในอนิยต
  • อย่างไรก็ดี การเรียนรู้ในประเด็นนี้อาจจะถูกตีความว่าเป็น "เดรัจฉานวิชา" ตามที่ปรากฎในพรหมชาลสูตรได้เช่นกัน
  • คำถามของท่านทูตน่าสนใจมากว่า "การเรียนรู้ดังกล่าวนำไปสู่การพัฒนาจิต หรือการหลุดพ้นได้หรือไม่????"
  • ประเด็นนี้อาจจะเป็นเรื่องสำคัญที่บางท่านอาจจะอาศัยประโยคนี้ไปคิดต่อ และขยายความต่อ แต่สำหรับอาตมาอยากจะอ่านแนวคิดของท่านอื่นๆ ก่อน
  • ด้วยสาราณียธรรม
  • นมัสการการครับ
  • ในความคิดกระผมว่าน่าให้สามเณรศึกษานะครับ  เพราะบางรูปลาสิกขาไปแล้วจะได้มีทักษะชีวิต  แล้วอีกอย่างก็คือ " การเรียนรู้ไม่มีขอบเขตจำกัด "

 

โยมวศิน

ขอบใจมากที่ร่วมแสดงความเห็น "ความรู้ไม่มีขีดจำกัด" แต่อาจจะต้องดูว่า "เราจำเป็นจะต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ควรรู้" และ "องค์ความรู้ที่ได้มาต้องเป็นไปเพื่อการรู้ (ปัญญา) ตื่น (มีสติ) และเบิกบาน (สันติภาพ: อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสันติสุข)"

“เพศศึกษากับพระภิกษุสามเณร”

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค [๑๐. ยักขสังยุต]

๑. อินทกสูตร ๑๐. ยักขสังยุต

๑. อินทกสูตร

ว่าด้วยอินทกยักษ์

[๒๓๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาอินทกูฏ ซึ่งเป็นภพของอินทกยักษ์ เขตกรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น อินทกยักษ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า รูปไม่ใช่ชีวะ สัตว์นี้จะมีร่างกายนี้ได้อย่างไรหนอกระดูกและก้อนเนื้อมาจากไหนสัตว์นี้จะอยู่ในครรภ์ได้อย่างไร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า รูปนี้เป็นกลละ๑ ก่อน จากกลละเกิดเป็นอัพพุทะ๒ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ (ชิ้นเนื้อเล็ก) จากเปสิเกิดเป็นฆนะ (เป็นก้อน) จากฆนะเกิดเป็นปุ่ม ๕ ปุ่ม ๓ ต่อจากนั้น ผม ขนและเล็บ จึงเกิดขึ้น ๑ กลละ หมายถึงรูปละเอียดมีลักษณะกลมใส ขนาดเท่าหยดน้ำมันที่ติดอยู่บนขนแกะซึ่งเหลือจากการสบัด ๓ ครั้ง

.....................................................................

(สํ.ส.อ. ๑/๒๓๕/๒๘๔, สํ.ฏีกา ๑/๒๓๕/๓๒๖)

๒ อัพพุทะ หมายถึงรูปละเอียดที่เกิดถัดจากกลละนั้นไป ๗ วัน มีสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ มีลักษณะเหมือนดีบุก

เหลว (สํ.ส.อ. ๑/๒๓๕/๒๘๕, สํ.ฏีกา ๑/๒๓๕/๓๒๖)

๓ ปุ่ม ๕ ปุ่ม หมายถึงในสัปดาห์ที่ ๕ เกิดเป็นปุ่ม ๕ ปุ่ม คือ แขน ๒ เท้า ๒ ศีรษะ ๑ (สํ.ส.อ. ๑/๒๓๕/๒๘๕)

ความเห็นของมีทั้งฝ่ายไม่เห็นด้วยที่จะเรียนรู้ไม่สมควร ไม่เหมาะสม เพราะเป็นบรรพชิต ไม่เป็นเพื่อสงบระงับกิเลส

ความเห็นฝ่ายที่สมควรให้มีการเรียนรู้เพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิตต่อไปเมื่อเป็นฆารวาส

ขอความร่วมแสดงความเห็นด้วยว่า การเรียนไม่ผิด เพียงแต่การผู้ที่จะถ่ายทอดความรู้ที่มีอยู่ออกมาเป็นใคร ถ่ายทอดลักษณะไหนจึงจะเหมาะสม จะพูดตรง ๆ หรือจะกล่าวอ้อม ๆ อย่างพระพุทธเจ้าตรัส เป็นข้อวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ที่เป็นต้นการทำผิดเกี่ยวกับเรื่องเพศในประไตรปิฎกมีมากมายที่ได้บัญญัติเอาไว้สามารถค้นคว้าศึกษาได้ไม่ยาก เพียงแต่ให้ความสำคัญและสนใจที่จะศึกษา จึงได้ยกสูตรในพระไตรปิฎกตั้งไว้ให้เห็นลำดับการเจริญเติบโตในครรภ์ ส่วนการมีบุตร ต้องประกอบด้วย สภาวะที่เหมาะสม คือ หญิงอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ อยู่ร่วมกัน ชาย มีเพศสัมพันธุ์กัน มีสเปอร์มผสมกับไข่ที่ตกมีวิญญาณเข้ามาปฏิสนธิ จึงเป็นลำดับการเจริญเติบของเด็กในครรภ์มารดาจนกำหนดการคลอดออกมาอยู่รอดเจริญเติบโต จาก ทารก เด็ก เด็กโต วัยรุ่น เป็นหนุ่ม เป็นสาว เป็นผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ คนชรา แล้วตายไป ก็เข้าหลักปฏิจจสมุปบาท คือ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ เพราะฉะนั้นการรู้เท่าทันมีความจำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดในการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบันให้อยู่รอดปลอดภัยจากภัยอันตรายรอบด้าน เมื่อบุคคลผู้มาก่อนย่อมผ่านร้อนผ่านหนาว ควรมีเมตตาบอกกล่าวผู้มาทีหลังไม่ว่าพระภิกษุสามเณรหรือเยาวชนของชาติ เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาสังคมตามมาแล้วมาแก้ไขทีหลัง

แต่บุคคลภายนอกที่เป็นฆารวาสมักไปตั้งความหวังไว้กับพระภิกษุสามเณรมากเกินไป ไม่ใช่การบวชเข้าจะประเสริฐสมบูรณ์เลยก็ไม่ใช่ จะเป็นการค่อย ๆ พัฒนา เรียนรู้ไป เพราะการบรรลุธรรมเป็นเรื่องยาก

สังคมคนโบราณจึงถึงปัจจุบัน ได้กลายเป็นมีประเพณีวัฒนธรรมสืบกันมา คือ ผู้ใหญ่ บิดา มารดา จะให้ลูกชายบวชก่อนแต่งงานออกเรือนไปถือว่าบุคคลที่บวชแล้วถือว่าเป็นคนสุกแล้ว เหมือนอาหารที่ปรุงเสร็จพร้อมรับประทานได้ (ถือว่าได้ผ่านเรียนรู้มาแล้ว) ถ้าเป็นสมัยก่อนถ้าใครไม่บวชก่อนจะไม่ยกลูกสาวให้ก่อนแต่งงานจะต้องถูกถามว่าบวชแล้วหรือยัง ปัจจุบันนี้ก็นิยมปฏิบัติกันอยู่แม้จะบวชไม่ถึงพรรษาก็ตาม

คงเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ

จันทร์จิรา จันทร์มณี

"เพศศึกษากับพระภิกษุสามเณร"

จันทร์จิรา จันทร์มณี ป.โท ปีที่ ๒ ภาคพิเศษ สาขาพระพุทธศาสนา
              พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส [ทุติยวรรค] ๘. ขัคควิสาณสุตตนิทเทส ภิกษุทั้งหลาย กามคุณ ๕ อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย สุข โสมนัส อันใด อาศัยกามคุณ ๕ นั้นเกิดขึ้น โสมนัสนี้ เรียกว่า กามคุณอันเป็นสุขที่เกิดแต่การมีเพศสัมพันธ์ สุขของปุถุชน มิใช่สุขของพระอริยะ เรากล่าวว่า “ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบหา ไม่ควรให้เจริญ ไม่ควรทำให้มาก ควรเกรงกลัวสุขชนิดนี้”๑ รวมความว่า เพราะกามทั้งหลายสวยงาม มีรสอร่อย
              คำว่า น่ารื่นเริงใจ อธิบายว่า ใจ ได้แก่ จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มนะ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุที่เกิดจากวิญญาณขันธ์นั้น กามย่อมล่อ ใจให้ยินดี ชื่นชม พอใจ รื่นเริง รวมความว่า เพราะกามทั้งหลายสวยงาม มีรส อร่อย น่ารื่นเริงใจ
              คำว่า ยั่วยวนจิตด้วยอารมณ์หลายรูปแบบ อธิบายว่า ย่อมยั่วยวน คือล่อให้จิตพอใจ ให้ร่าเริง ให้รื่นเริง ด้วยรูปชนิดต่าง ๆ ฯลฯ โผฏฐัพพะชนิดต่าง ๆ รวมความว่า ยั่วยวนจิตด้วยอารมณ์หลายรูปแบบ
              ว่าด้วยโทษแห่งกามคุณ
              คำว่า เราเห็นโทษในกามคุณแล้ว อธิบายว่า สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย โทษแห่งกาม เป็นอย่างไร กุลบุตรในโลกนี้เลี้ยงชีวิตด้วยการมีศิลปะใด คือ ด้วยการนับคะแนน การคำนวณ การนับจำนวน การไถการค้าขาย การเลี้ยงโค การยิงธนู การรับราชการ หรือด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง อดทนต่อความหนาว ตรากตรำต่อความร้อน หวาดกลัวแต่สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน และตายลงด้วยความหิวกระหาย แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่าเป็นโทษแห่งกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่จะพึงเห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเค้า มีกามเป็นเหตุเกิด เกิดเพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายนั่นแล
๑ ม.อุ. ๑๔/๓๒๘/๒๙๙-๓๐๐
             โดยส่วนตัวมีความเห็นว่าควรจะให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา กับพระภิกษุสามเณร ควรจะให้ท่านได้รู้ทั้งเรื่อง เพศพรหมจรรย์และเพศศึกษา เพื่อท่านจะได้ประพฤติปฏิบัติตัว ได้อย่างถูกต้อง ทั้งในขณะที่บวชเป็นพระภิกษุสามเณร และเมื่อลาสิกขา ออกไปใช้ชีวิตทางโลก ควรจะให้ท่านได้เรียนรู้ทั้งสองด้าน ทั้งทางโลก และทางธรรมควบคู่กันไป เพื่อให้พระเณรเหล่านี้รู้จักการดำเนินชีวิตทางโลกได้อย่างถูกต้อง เพื่อการเรียนรู้หลักการครองเรือนเพศศึกษา เพื่อการเรียนรู้เรื่องกามคุณ และเข้าใจธรรมชาติที่เป็นไป เข้าใจว่าความสุขของกามคุณแบบปุถุชนเป็นอย่างไร เมื่อพระภิกษุสามเณร ได้ศึกษาธรรมวินัยแล้วก็ไม่ควรยินดีกามคุณเหล่านี้ ดังเช่นคัมภีร์ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส [ทุติยวรรค] ขัคควิสาณสุตตนิทเทส กล่าวว่า อันเป็นสุขที่เกิดแต่การมี ภิกษุทั้งหลาย กามคุณ ๕ อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย สุข โสมนัส อันใดอาศัยกามคุณ ๕ นั้นเกิดขึ้น โสมนัสนี้ เรียกว่า กามคุณอันเป็นสุขที่เกิดแต่การมีเพศสัมพันธ์ สุขของปุถุชน มิใช่สุขของพระอริยะ เรากล่าวว่า “ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบหา ไม่ควรให้เจริญ ไม่ควรทำให้มาก ควรเกรงกลัวสุขชนิดนี้” ในเรื่องเพศศึกษานี้ตามหลักสูตรทั่วไปศึกษาเพื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับสรีระต่าง ๆ ในทางพุทธศาสนาก็มีการศึกษาถึงเรื่องเพศศึกษาด้วยเช่นกัน ศึกษาเพื่อพิจารณาดูสรีระต่าง ๆ เพื่อการพิจารณากายสังขารนี้ เพื่อเพ่งพิจารณาอสุภกัฎมัฐฐาน เพื่อพิจารณามรณานุสติ........

จริงอยู่ที่เณรเกล่านี้จะสึกแล้วใช้ชีวิตเยียงวัยรุ่นทั่วไป แต่เพศศึกษาที่จะสอนให้นั้นไม่ใช่หน้าที่ของพระ เป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐและสถานศึกษา จริงอยู่ เจตนาดีแต่ขัดหลักการ คล้ายๆ euthanasia คนใกล้จะตาย อย่างไรก็ไม่รอด เลยฉีดยาให้ตาย เป็นความจริงที่ขัดธรรมะ ทางมหาจุฬาฯ สอนเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาดีกว่านะครับ

การจัดการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษา ซึ่งแพทย์หญิง พรรณพิมล หล่อตระกูล ได้ให้ความหมาย เพศศึกษา หมายถึง การให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องพัฒนาการทางเพศตามวัย ความแตกต่างของแต่ละเพศ พฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสม และปัญหาชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเพศ เพื่อให้มีทัศนคติที่ดี มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพศ และการปฏิบัติที่ดีต่อกัน ก่อให้เกิดความรับผิดชอบ ให้เกียรติ และเสมอภาค ซึ่งจะนำไปสู่การดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข และถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมไทย

จากความหมายที่กล่าวข้างต้น การจัดการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาสำหรับสามเณร น่าจะกระทำได้แต่จำเป็นจะต้องบูรณาการเข้ากับหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนา เลือกสรรสิ่งที่จำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตอย่างรู้เท่า รู้ทัน และที่สำคัญที่สุดคือต้องยอมรับและหาข้อมูลว่าเรื่องเหล่านี้ (เพศศึกษา) เป็นปัญหาของกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ ถ้ามีเราไม่น่าจะรอให้สามเณรได้ศึกษา เรียนรู้เรื่องเพศศึกษาหลังจากลาสิกขาบทแล้ว นอกจากนั้นการที่เรารู้เท่าทันอารมณ์ของตนเองน่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเป็นวัคซีนป้องกัน ภัยให้กับตนเองเป็นเบื้องต้น และสามารถสร้างสรรค์สังคมให้เข้มแข็งได้ในอนาคต...

ความรู้ทุกอย่าง มีค่าทั้งนั้น อาจจะมากน้อยไม่เท่ากัน และอยู่ในสถานการณ์แบบไหน บางอย่างที่เรา(คิดเอาเอง) ว่าไม่เหมาะ ไม่ควร อาจจะเป็นความไม่เหมาะ ไม่ควรของคนคิด แต่อาจจะเหมาะและควร สำหรับคนอื่นๆก็ได้ เรียนไปเถอะครับ เรียนไปให้รู้ แล้วจัดการความรู้นั้น ให้อยู่ในกรอบและช่วยพัฒนาชีวิต ให้เจริญขึ้น

ท่านสมชาย แม่นยำครับคุณพูดผิดแล้วครับทาง ทางมหาจุฬาฯไม่ได้สอนเพศศึกษานะครับ

นมัสการครับพระคุณเจ้า ด้วยความเคารพครับ

สอนแบบพระซิครับ

คือสอนให้ข้ามพ้นเรื่องเพศไปเลย

พระสอนไว้ถูกต้องหมดแล้วนี่ครับ

อนุวัตรตามโลกในกรณีนี้ คงไม่ใช่ทางเที่ยงแท้เลยครับ

เห็นกับหลักการสอนของมหาจุฬา สอนหลักพุทธธรรมเป็นความรู้บริสุทธิ์ ที่ป้องกันภัยให้พระเณรที่เลิศที่สุดแล้ว เป็นการรู้ทันกิเลส ดับกิเลสปัญหาอย่างถูกต้อง เพราะว่าเรื่องเพศศึกษาในโรงเรียนที่พบอยู่ น่าจะสอนกันมา30-40 ปี แต่เด็กไทยกลับท้อง ทิ้ง ทำแท้ง ทำลายสถิติเอเชียเป็นที่ 1  และเห็นว่าเป็นที่ 2 ของโลก เป็นเรื่องน่าอายมากๆ ยิ่งค้นข้อมูลการจัดหลักสูตรเพศศึกษายิ่งห่างไกลเรื่องศีล 5 โดยเฉพาะข้อ 3 กาเมฯ นำไปสู่การทำแท้งทั้งแบบเถื่อน และถูกกฎหมาย การทอดทิ้งเด็กแรกเกิด เพราะหลายฝ่าย เช่น ครู แพทย์ สื่อมวลชน ผปค. ฯลฯ คิดว่าเด็กขาดความรู้เพศศึกา สอนกันหนักหน่วง ลงลึกอย่างน่ากลัวที่สุด จนวัยรุ่นกระทำผิดศีลธรรมเพราะหลักสูตรที่ครูสอน บวกกับกระแสโลก พวกสื่อต่างๆ ภาพลามก ตามอินเตอร์เน็ต social network หนังละคร ก็ยั่วยุวัยรุ่นเหลือเกิน จึงทำให้พากันผลิตคิดค้น หลักสูตรเพศศึกษามาสอนวัยรุ่น ๆ ก็คิดว่าที่ครูสอนในโรงเรียนถูกต้อง ดีงาม เอาไปทำได้ หลักสูตรเพศศึกษาที่ใครๆ คิดว่ามาแก้ปัญหา แต่ดูราวกับว่าปัญหากลับแผ่วงกว้างไม่สิ้นสุด มองไปดูคล้ายยุคกัปเสื่อมตั้งเค้าที่ยุคเรานี่เอง สถิติท้องไทยปี 43-52 พบเด็ก 9ขวบท้องแล้วนะท่าน ข่าวหน้าหนึ่งนสพ. เด็กม.ปลาย โรงเรียนในกทม.ซื้อยามาทำแท้งด้วยตนเองขณะที่ท้องแล้ว นสพ.บอกชื่อยาลงในข่าว ลองค้นดูในกูเกิลตกใจว่ามีขายทางเหนือเกลื่อน เขาแนะนำวิธีการใช้อย่างได้ผล ถ้าเด็กวัยรุ่นอื่นๆ อ่านข่าวแล้วไปสั่งซื้อไปทำแท้งด้วยตัวเอง ใครจะรู้...

         หลักสูตรเพศศึกษาของไทยบางหน่วยงานเอามาจากอเมริกา ตอนที่เขารณรงค์เลิกฟรีเซ็กซ์ เพราะเขาเกิดปัญหาแม่วัยรุ่นท้องไม่มีพ่อ single mom มากขึ้น แต่ไทยนำเข้ามา แย่แล้วประเทศไทย..... หันหน้าเขาหาพระไตรปิฎกดีที่สุด ค้นหลักธรรมมาสอนกันดีกว่า หรือดูว่าควรสอนหรือไม่ สอนอะไรกันดี สอนแค่ไหน เพื่ออะไรกัน สอนอะไรก็ได้ให้ยกจิตใจให้มันสูงส่งขึ้นเถิด อย่าให้มันตกต่ำไปตามกระแสโลกเลยค่ะ แค่นี่ก็บอบช้ำเยอะแล้ว

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท