เก็บตกการทำนายประเทศไทยโดยคุณนิติภูมิ นวรัตน์


        เมื่อหลายปีก่อนคุณนิติภูมิ นวรัตน์ ซึ่งเป็นสื่อมวลชน ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมอสโค ได้ทำนายไว้ว่า ประเทศอินโดนีเชียจะแตกเป็น 6-14ประเทศ ซึ่งในตอนนั้น นักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หัวเราะจนฟันกระเด็น
       แต่ต่อมาพอปี 2542 เหตุการณ์เริ่มเป็นจริง! ประเทศอินโดฯได้เริ่มแตกเป็น ติมอร์
และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศ อาเจะ และอีกหลายประเทศที่จะเกิดตามมา
       มีคนเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯ คุณนิติภูมิได้บรรยายว่า ประเทศไทยอาจจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 - 6 ประเทศ ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการ โดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี 2553ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลง GATTs จะเริ่มมีผลสมบูรณ์   การค้าเสรีจะมีผลสมบูรณ์สินค้าเกษตรต่าง ๆ จากต่างประเทศจะทะลักเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมหาศาล
     ในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกัน และสินค้าเกษตรของไทยก็จะขายไม่ออก เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ
ประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทาง เป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้คนปลูกลำไยไทยก็จะปลูกแต่ลำไยจะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามมากิน คนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากิน
คนปลูกหอม กระเทียมจะไม่ซื้อลำไยจากไทยแต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากิน เป็นวงจรอย่างนี้  ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้ เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกันมากิน
       เนื่องจาก สินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าสินค้าเกษตรของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่า เพราะใช้ปัจจัยการผลิตปุ๊ยของต่างประเทศ พันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
      เนื่องจากในอีก 10 ปีข้างหน้าพันธุกรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจาก GMOs
และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้ วิกฤติที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย  รัฐบาลไทยจะไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้
เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้ เนื่องจากธนาคารไทยกลายเป็นของต่างประเทศหมดแล้ว
     ไฟฟ้าก็แพงขึ้น   น้ำมันก็แพงขึ้น  โทรศัพท์แพงขึ้นเนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว เขาสามารถตั้งราคา   ได้ตามใจชอบถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่า เขาจะไม่มีกำไร ธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น  ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์ ก็เลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้
     ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ  เมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้
การขายที่ดินราคาถูก ๆ และจำนวนมหาศาลจะตามมา  คนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏแล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้านซื้อไปเป็นจำนวนมากแล้ว เกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ ก็ไม่ามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ได้ เพราะธุรกิจอื่นได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็ตกอยู่ในมือของ Big C, Lotus,Carrefour, ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ KFC, Pizzahat, McDonal, สิ่งทอเสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯ
     ดังนั้น   เงินตราของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออก   เหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด...
เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้ ...รัฐจะอยู่ได้ฤา ?
    4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทย
เนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในปี 2553
คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศ เพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทย
การเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลง การสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรงขึ้น
จนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหาร  ก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทัพไทย การแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นาน
   จากนั้น ภาคตะวันออก บริเวณจันทบุรี   ตราด   ระยอง   ฉะเชิงเทรา  จะขอแยกตัวตามมา เนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ ทั้งสมุนไพร อาหารต่าง ๆ
เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ  การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยาก นั่นหมายถึง การซื้อประเทศไทย คล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ Alaska จาก  Russia 
     ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราจะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร ? 
    มีผู้เสนอว่า เราต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของคนไทย แทนที่ไปเดิน big-c, lotus, careflour เพราะห้างใหญ่ๆเหล่านี้เป็นของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซนต์
    คุณนิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลงให้ดู ของ 3 ห้างดัง พบว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์  แล้วบางห้าง 86 ปอร์เซ็นต์
ดังนั้นแม้เราซื้อของจากร้านโชห่วย จะแพงกว่าห้าง ใหญ่ๆของต่างชาติก็ควรซื้อ เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทย กลับมาหาคนไทยกันเอง เพราะถ้าซื้อจากห้าง 1,000บาท  มันไหลไปต่างประเทศ 900บาท จะเหลือเป็นค่ายามเฝ้าห้างเพียง 100 บาท
    มองอาเจนติน่าเป็นตัวอย่างห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง ทั่วประเทศ
คนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง คาร์ฟู ส่งห้างต่างชาติ เกือบ100 เปอร์เซ็นต์ เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน จึงไหลไปหมด ในประเทศจึงไม่เหลืออะไร
   แทนที่จะปล่อยให้ลูกเราซื้ออาหารกรุบกรอบจากห้างดังๆ เราลองหัดให้ลูกมาทานบัวลอย ขนมชั้น ข้าวเหนียวเปียก ถั่วดำข้าวเหนียว เต้าส่วนขนมชั้น ลูกเดือยบ้างดีไหม
   ลองเปรียบเทียบ ระหว่างการซื้อไก่ทอดแบบไทยๆจากแม่ค้ามา 3 ขา กับไป KFC ซื้อมา 3 ชิ้น เลือกน่องครับเหมือนกัน จะเห็นว่าราคาต่างกันลิบเลย เพราะมีคำว่า  license ( ค่าลิขสิทธิ์) มาเกี่ยวข้อง  กล่าวคือเราซื้อไก่ 35 บาท ค่าไก่ 15 บาท ที่เหลือเป็นค่าลิขสิทธิ์
   ไก่แม่ค้าที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ์ ใบตองที่ห่อขนมไทย ไม่มีลิขสิทธิ์มันเป็นวัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือน   ขนมต่างชาติ ห่อสวย   แพง เพราะยี่ห้อมันมี
ลิขสิทธิ์เวลาถุงพลาสติกที่ห่อมันหล่นที่พื้น ไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน 200 ปี
    แล้วเราจะช่วยชาติแบบไหนดี?

หมายเลขบันทึก: 359201เขียนเมื่อ 16 พฤษภาคม 2010 20:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤษภาคม 2012 12:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สวัสดี ครับ

ขอบพระคุณมาก ครับ...กับมุมหนึ่งของบันทึกเกี่ยวกับเมืองไทย

ได้แต่หวังลึก ๆ ครับว่า ประเทศไทยของเรา ยังคงมีพลังความรัก และความสามัคคี เกาะเกี่ยว ซึบซับ ซึ่งกันและกันเสมอ

 

เป็นคนหนึ่งที่อยากจะอุดหนุนคนไทยด้วยกัน แต่สินค้าหลายอย่างโชห่วยขายแพงกว่าเยอะ แถมบางร้านไปซื้อของที่ห้างแม๊คโครมาขายย่อย ก็เหมือนเราซื้อของห้างฝรั่งเหมือนเดิมแต่ได้ราคาแพงกว่า ส่วนพืชผักชอบกินประเภทปลอดสารพิษ แต่มาตรฐานเมืองไทยไม่มี แม้แต่โฆษก ศอฉ. ยังออกมาโกหกประชาชนได้ทุกวัน เลยไม่แน่ใจว่าตราที่รับรองว่า "ปลอดสารพิษ" นั้นเชื่อถือได้แค่ไหน มีที่มั่นใจได้แค่แห่งเดียวคือ ผลิตภัณฑฺ์ที่มาจากโครงการหลวง

สวัสดีค่ะอาจารย์ หายไปนานๆ มากๆเลยนะคะ

ช่วงปีนั้นอยู่หาดใหญ่ได้ข่าวประมาณนี้กันค่ะ ยังแซวๆเลยว่า

HFC ไก่ทอดหาดใหญ่อร่อยกว่าตั้งเยอะ กิน HFC กันดีกว่า ;)

ที่เชียร์ๆ หงส์ ผี ก็ช่วยมาเชียร์ กิเลนทะเลใต้ หรือกูปรี ไทยๆบ้างค่ะ

อยากให้คนรุ่นใหม่ได้อ่านครับ

...ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงปกป้องประเทศไทย

...รักกันไว้เถิด

...เสียดายที่เราเป็นเมืองพุทธ แต่มีคนเข้าใจในวิถีพุทธน้อยมาก

  • คนไทยยุคนี้ดำรงตนด้วยความประมาท..
  • ต้องรอให้เหตุการณ์มาถึงกันหรือไร??? 
  • จึงจะกระโตกกระตาก..
  • เศร้าใจค่ะ.

การปลูกฝังและสร้างเสริมคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ที่ได้รับการยอมรับว่าได้ผลที่สุดคือ การกล่อมเกลาทางสังคม(SL) ซึ่งถือว่าการใช้ตัวแบบ(modelling) และกระบวนการกลุ่ม จะมีพลังในการสร้างเสริมมากที่สุด สถาบันสังคมที่ควรจะมีบทบาทมากที่สุดคือสถาบันครอบครัว ดังเราจะเห็นในสมัยโบราณที่ว่า "ดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่..." "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" ฯลฯ

พ่อแม่จะเป็นคนทำให้ดูกู่ให้ตามในชีวิตจริง อย่างต่อเนื่อง เป็นปกติ

แต่ทุกวันนี้การมุ่งพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการเมืองทำให้สถาบันครอบครัวเราแทบจะไม่เหลือตัวแบบที่ดีที่จะกล่อมเกลาบุตรหลานของตน ก็เลยผลักภาระมาที่โรงเรียน ผมเคยสำรวจสภาพของนักเรียนที่เข้ามาเรียนในโรงเรียนของจังหวัดใกล้ๆกทม. พบว่า เด็กร่วม 80 % ที่อยู่ในโรงเรียน ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ แล้วสังคมนอกครอบครัว(โดยเฉพาะการเมือง)ก็ไม่เป็นตัวแบบที่ดี แล้วชีวิตเด็กเหล่านี้จะเป็นอย่างไร

ในวันที่พระพุทธเจ้ารับอิสลาม(รับในสันติธรรม) แล้วขอพรให้พวกท่านได้นั้น. ท่านๆเราๆ ใยไม่เอาเยี่ยงอย่าศานทูตที่ดีงามที่อัลลอฮ์มอบมา ให้ท่านนี้กันเล่า. ตรัสให้ท่านรู้แม้แต่เรื่องเครื่องบินที่ท่านมิได้กล่าวไว้เลย. เพราะถ้ากล่าววันนั้น ท่านก็ถูกมองว่าบ้า. ผู้คนจะขาดโอกาสฟังธรรมอื่นที่ค่อยๆสร้างสัมมาจิต จนเป็นสัมมารูป สัมมาสัญญา สัมมาวิญญา สัมมาเวทนากันได้อย่างไรเล่า. ท่านมิได้กล่าวเรื่องเครื่องบินเพราะญานวิสัยมนุษย์ไม่ถึง. แต่วันนี้เรารู้ว่าเครื่องบินให้คุณแก่เรา(ไม่ต้องเห็นเลย) เราก็กตัญญต่อผู้สร้างเครื่องบินได้ทันที ไม่ต้อรอการกล่าวของพระพุทธเจ้า. แต่พระพุทธเจ้ากล่าวนามพระเย้า(พยาโฮลวา) หลายต่อหลายครั้ง. จงศึกษาเถิด เกิดปัญญาแน่นอน. อย่าหวาดกลัวว่าจะสูญสังคมพยากรณ์ที่เคือบแฝงด้วยผลประโยชน์มนุษย์กันเองอยู่มากมายไปเลย.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท