ผมเห็นด้วยกับคุณแมวเหมียวนะครับว่าประวัติศาตร์รัฐชาติล้วนให้ความชอบธรรมกับสงครามและการใช้ความรุนแรง แม้แต่รัฐที่อ้างความเป็นประชาธิปไตยและเป็นแม่แบบสิทธิมนุษยชนก็มีฐานประวัติศาสตร์เช่นนี้ ซึ่งสำนึกทางประวัติศาสตร์เช่นนี้มีปัญหา กล่าวคือ ทำให้เรามักมองเห็นการใช้ความรุนแรง ประหัตประหารกันเป็นเรื่องสามัญธรรมดา เป็นสิ่งที่พลเมืองใน "ชาติ" ควรทำเพื่อปกป้อง "ความมั่นคง" ของชาติหรือของรัฐ
ผมคิดว่า ถ้าเราเข้าใจที่มาของการสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ และมองเห็นว่าสำนึกแบบนี้มีปัญหา ก็ต้องมาสร้างความหมายใหม่ ให้เกิดสำนึกทางประวัติศาสตร์แบบใหม่ ที่วางอยู่บนฐานการอยู่ร่วมกันแบบพหุวัฒนธรรม แต่ก่อนอื่น ต่างฝ่ายต่างต้องยอมรับในความผิดพลาดของการสร้างประวัติศาสตร์และให้อภัยกันเสียก่อน จากนั้นจึงจะสามารถสร้างประวัติศาสตร์ร่วมในลักษณะของความสัมพันธ์เชิงอนุภูมิภาค ข้ามพรมแดนรัฐชาติ เป็นต้น
อันนี้ในทางวิชาการ พอจะมองออก และเห็นว่า นักสังคมศาสตร์โดยเฉพาะกลุ่มศึกษาชาติพันธุ์วรรณาและโบราณคดีได้ทำไปบ้างแล้ว แต่ยังต้องต่อสู้กับนักประวัติศาสตร์กระแสหลักและคนที่ยึดติดกับประวัติศาสตร์ที่รัฐชาติสร้างขึ้นอยู่ อันนี้ต้องใช้เวลาและความอดทนอดกลั้นกับการถูกต่อต้านเป็นอย่างสูงครับ
อย่างไรก็ตาม ก็จะเห็นบทเรียนที่การรื้อถอนทางความคิด (deconstructionist)บางครั้งนำไปสู่การเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรง ถ้าโดนกระแสสังคมปะทะมากๆ การสร้างประวัติศาสตร์แนวใหม่นี้อาจไม่เป็นผลดีก็ได้ เพราะในอีกด้านหนึ่ง มันก็อาจชักนำไปสู่ความรุนแรงและการเผชิญหน้าของผู้คนสองความเชื่อก็เป็นได้
จุดลงตัวสำหรับการสร้างประวัติศาสตร์ น่าจะอยู่ที่การทำให้ผู้คนเริ่มตระหนักว่ามันเป็นสิ่งปลูกสร้างทางสังคม (social constructed)ที่ไม่จริงเสมอไป (dynamic) และมันผลิตความรุนแรงออกมาได้เสมอ
ดังนั้น ถ้าอยากเป็นมนุษย์ผู้ใฝ่สันติ จึงต้องเข้าใจการติดยึดแบบนี้ รวมทั้งไม่ติดยึดในประวัติศาสตร์ซีรีส์ใหม่ที่เราหรือนักวิชาการชายขอบเป็นผู้สร้างขึ้นมาตอบโต้ด้วย
ขอบคุณสำหรับทั้งสองความเห็นนะครับ