เวลาปวดหัวทำไมหมอถึงต้องให้กินยา “แก้ปวดหัว...?”


ทำไมหมอสมัยนี้วินิจฉัยโรคเร็วจัง พอคนไข้ปวดหัวปุ๊บก็รีบจัด “พาราเซตามอล” ให้ปั๊บ

 

เมื่อวานนี้ตอนสาย ๆ มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่อยู่แถว ๆ นี้ท่านมีอาการมึนหัวแล้วก็อาเจียน (ได้ข่าวว่าความดันขึ้น) พวกเราแถวนี้จึงพาท่านไปส่งโรงพยาบาลแล้วโรงพยาบาลก็ให้ Admid ตามระเบียบ (โรงพยาบาลเอกชน)

ตกตอนกลางคืนผมเองก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมท่าน ก็ได้ถามอาการท่านว่าเป็นอย่างไรบ้างท่านก็บอกว่าดีขึ้นแล้ว เพราะคนที่มาเฝ้าคนนั้นเขานวดเป็น เขานวดหลังกับคอให้แล้วก็โล่งเลย

หลังจากนั้นคนที่เฝ้าไข้อีกคนหนึ่งก็พูดเปรยขึ้นมาแบบบ่น ๆ ว่า

“ตอนแรกที่เข้ามาคนป่วยบอกว่าปวดหัว หมอก็จัดหาแก้ปวดหัวมาให้เลย...!!!” กินเข้าไปแล้วก็ไม่หาย (ยาปวดหัวที่ว่าก็คือ พาราเซตามอล)

เราก็เอะใจแล้วก็คิดต่อไปว่า มันก็จริงของหมอเขาอ่ะนะว่า คนปวดหัวก็ต้องกินยาแก้ปวดหัว
แต่ทว่าในประสบการณ์ของเรา (Tacit Knowledge) ไอ้อาการแบบนี้เราเป็นบ่อย คือ มึนหัว (โดยเฉพาะข้างซ้าย) สักพักก็จะเริ่มรู้สึกผะอืดผะอม บางครั้งก็ถึงกับอาเจียนออกมา อาเจียนแล้วก็ยังไม่หาย ถ้าไม่นอนหลับก็ยังต้องอาเจียนอยู่อย่างนั้น บางครั้งตื่นมาแล้วก็ยังมึน ๆ หัวอยู่แต่อาการอาเจียนจะหายไป

ที่เราเล่าถึงเหตุการณ์ที่เราเคยเป็น แล้วตั้งสมมติฐานวินิจฉัยโรคของผู้ใหญ่ที่ป่วยรายนี้ว่าเกิดจากอาการเดียวกับเราก็เพราะว่า เราใช้ชีวิตอยู่กับท่านมานานและเห็นได้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของอาการ “ปวดหัว”

อาการปวดหัวนี้ท่านก็เป็นเหมือนกับเราเนี่ยแหละ ไม่ได้เป็นโรค เป็นอะไรมากมายอะไรนักหรอก ที่ปวดหัวนั้นก็เพราะ “ความเครียด”
เราใช้ชีวิตอยู่กับท่าน เห็นแล้วก็รู้ว่าท่านเครียดมาก วันทั้งวันมีแต่ปัญหา คนโน้นก็จะเอาอย่างนี้ คนนี้ก็จะเอาอย่างนั้น ท่านเป็นผู้ดูแลบ้านที่มีลูก ๆ อยู่หลายคน ทั้งลูกสาว ลูกชาย แต่ละคนก็ไม่ธรรมดา ไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่
เราเห็นท่านนั่งฟังแล้วก็เก็บปัญหามานานแล้ว ก็มิใช่เรื่องปกติที่ท่านจะเครียดจนความดันขึ้น

แต่ทว่าที่เราสงสัยนี้ก็คือ ทำไมหมอสมัยนี้วินิจฉัยโรคเร็วจัง พอคนไข้ปวดหัวปุ๊บก็รีบจัด “พาราเซตามอล” ให้ปั๊บ (พาราที่บ้านผมก็มีครับ ถ้ากินแล้วหายผมก็ไม่ต้องมาหาหมอหรอกครับ)
ทางการแพทย์นี้เขามี Job Description ที่ให้หมอต้องซักถามที่มาของโรคในหลาย ๆ มิติหรือเปล่า
แต่ผมก็มั่นใจว่าหมอสมัยนี้ฉลาด เห็นผู้ป่วยก็รู้แล้วว่าที่ป่วยนี้ก็เพราะเครียด เพราะร่างกายคนที่ป่วยนี้ดูสมบูรณ์ คือ ร่างกายกำยำ ล่ำสัน ไม่ได้ผอมแห้งหรือมีอาการของโรคอื่น ๆ
แต่ทว่า เมื่อรู้แล้วจึงต้องรักษาด้วย “ยาพารา” และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “น้ำเกลือ” (เจ้าน้ำเกลือนี่รักษาอาการเครียดจนเกิดความดันโลหิตสูงได้ด้วยเหรอครับ)

หรือจะว่าให้คนไข้อดอาหาร ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะคนเครียด ๆ นี้ให้อดอาหารจะยิ่งแย่ไปใหญ่
เพราะถ้าเป็นผมนะ เครียด ๆ อยู่แล้วไม่ให้มาอดอาหารอีกก็คงจะไม่ไหว หรือหมออาจจะมองว่าคนไข้ตรอมใจกินข้าวกินปลาไม่ลงก็เป็นได้ (อื่ม น่าจะใช่)

ผมขอย้อนไปสักนิดหนึ่ง ตอนที่ผมเกิดอาการเครียด ๆ อยู่นั้น ตอนแรกผมก็โง่ครับ ไม่รู้จะรักษาอย่างไร ก็ต้องทำแบบที่หมอทำคือกินยาแก้ปวดหัวแล้วก็นอน (แต่หมอคงจะฉลาดและมีวิธีการที่ดีกว่าผมเยอะ) พอมาตอนหลังมีหมอโหน่งมาช่วย (Link เมื่อเครียดจนจะ "อาเจียน..." ) ก็เลยรู้ว่าอาการมันเกิดขึ้นมาจากความเครียด คุณหมอหวน สังข์พรามห์ อาจารย์ของหมอโหน่งก็ได้บอกวิธีการปฐมพยาบาลอาการนี้เบื้องต้นด้วยการเขี่ยเส้นทั้งสองข้างบริเวณต้นคอสักห้านาที อาการก็หายเป็นปลิดทิ้ง

แต่ตอนนี้ผู้ใหญ่ท่านนั้นก็คงจะยังต้อง แอดมิด อยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนนั้นเป็นคืนที่สอง
ในอีกทางหนึ่งก็ดีเหมือนกัน ท่านจะได้หลุดออกจากวงปัญหาแถว ๆ นี้ (ลืมโลกไปเลย) ไปนอนเล่นอยู่ที่โรงพยบาลสักพัก
เพราะเมื่อสักครู่นี้ก็มีคนมาถามว่าท่านพักอยู่ห้องไหน คงจะเตรียมไปเยี่ยมกันยกใหญ่
ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ช่วยไปให้กำลังใจท่านหน่อย เพราะท่านอยู่ที่นี่มีแต่ทำงานแล้วก็เจอกับปัญหา คนที่เข้าไปใกล้ท่านก็มีแต่เข้าไปประจบประแจง ขอเงินแล้วก็สร้างปัญหา ให้ท่านไปนอนเล่นแล้วก็ต่อสายน้ำเกลืออยู่อย่างนั้นสักวันสองวันก็ดีเหมือนกันจะได้เป็นการพักผ่อนไปในตัว


แต่ทว่าค่าน้ำเกลือกับค่าห้องพักนี้ตอนออกจากโรงพยาบาลนี่ท่าทางจะไม่เบา เพราะเมื่อวานตอนไปเยี่ยมเข้าไปตอนแรกนึกว่าคอนโด เป็นห้องคู่อย่างดี คนไข้พักห้องหนึ่ง อีกห้องหนึ่งเป็นห้องดูทีวี มีตู้เย็น ไมโครเวฟพร้อม ขนมนมเนยเพียบ แอร์เย็นสบายอีกต่างหาก (ตอนแรกว่าจะย้ายไปนอนเฝ้าไข้แถวนั้นเหมือนกัน 555)

ที่เขียนเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อขึ้นนี้ก็เพราะด้วยปิ๊งข้อเขียนที่ท่านอาจารย์หมอ JJ (รศ.นพ.จิตเจริญ ไชยาคำ) เขียนถึงเรื่อง “ สูงสุดคืนสู่สามัญ ยั่งยืนและยืดหยุ่น 11th HA National Forum (5) ) ก็เพราะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นความจริงได้ที่คนไทยเราจะหันกลับมาทำอะไร ๆ แบบ Simple Simple กันบ้าง

เพราะเดี๋ยวนี้ก็ได้ข่าวว่า การแพทย์ทางเลือก อาทิ หมอคลายเส้น ก็เริ่มได้การยอมรับให้เข้าไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชนหลาย ๆ แห่ง หรืออย่างเช่นยาแผนโบราณ ยาสมุนไพร ก็เริ่มมีการใช้ในการรักษาโรคสมัยใหม่มากขึ้น

เพราะบางครั้งอาการโรคที่คนไทยเป็นกันเยอะ ๆ อย่างเช่นความดันโลหิตสูงนี้ ที่จริงแล้ว (Tacit Knowledge) ที่ผมเคยเป็นก็เพราะว่าเครียดมาก เวลาเครียดกินยาเข้าไปแล้วนอนก็ไม่หาย แต่สาเหตุที่จริงนั้นเกิดขึ้นจาก “เส้นเอ็น” ที่เชื่อมต่อจากกระดูกสันหลังเรื่อยมาจนถึง “ต้นคอ” นั้นตึงมาก เส้นตึงจนไปกดทับเส้นประสาทที่อยู่ข้าง ๆ โดยเฉพาะเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับบริเวณขมับ ถ้าเกิดเราเคลียร์ (คือนวดคลาย) เส้นเอ็นตรงคอด้วยตัวเองได้ คือ ก้มคอลงจนคางเกือบถึงหน้าอก แล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลาง เคลียร์เส้นที่อยู่ใกล้ ๆ กับสันคอทั้งสองข้างซ้ายขวา เขี่ยไปเขี่ยมา จากตอนแรกที่รู้สึกว่าตึง (กดโดนแล้วเจ็บเลย) ถ้ากดโดนฝั่งไหนแล้วเจ็บก็แสดงว่าฝั่งนั้นตึงมาก เราก็เขี่ยไป เขี่ยมา (เขี่ยออกจากศูนย์กลาง) แล้วก็หันคอไปมาช้า ๆ ซ้ายขวา ซ้ายขวา ทำแบบนี้สักห้านาทีจะรู้สึกว่าหัวโล่งเลย บางครั้งโล่งไปถึงจมูกเลย เพราะตอนเครียด ๆ ผมเหมือนจะหายใจขัด ๆ เพราะเขี่ยเส้นต้นคอนี้ไปมา แล้วก็คลึงแถว ๆ ขมับอีกนิดหน่อย (ถ้ามียาหม่อง หรือยาเหลืองที่ใช้นวดทาหน่อยก็เยี่ยมเลย) พอนวดไปสักพัก “จมูกโล่งเลย” อาการปวดหัวกับคลื่นไส้ก็หายแล้ว ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปพึ่งวิทยาการทางด้านยาแผนปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นพาราเซตามอลหรือต่อสายน้ำเกลือให้ระโยงระยางแบบที่ผู้ใหญ่ท่านนั้นต้องไปนอนพักในโรงพยาบาล

อาการรักษาแบบนี้ หมอแพทย์ปัจจุบันมักจะไม่ค่อยยอมรับ (ซึ่งผมอาจจะผิด) เพราะว่ามัน “หายง่ายเกินไป”
อาการป่วยต้องรักษายาก ๆ หายยากหน่อย ถึงจะดู “ขลังค์”
ซึ่งผมก็คิดว่ามันคงรักษายากและนานแบบนั้น เพราะผมไม่เข้าใจว่าเจ้าพาราเซตามอลมันจะไปช่วยรักษาอาการของโรคปวดหัวที่เกิดจากสาเหตุการตึงของเส้นเพราะความเครียดได้อย่างไร
หรือบางครั้งถ้าหาสาเหตุกันไม่เจอจริง ๆ เป็นหนัก ๆ ก็ถึงขั้นต้องผ่าตัดกันเลย แล้วหมอก็วินิจฉัยโรคว่า “กระดูกทับเส้น” บางครั้งผ่าแล้วหายก็มี เดี้ยงไปเลยก็มี คือ ไม่พิการก็ไม่เป็นปกติเหมือนดังเดิม เดินเหิรไม่สะดวก

ถ้าการประชุม HA National Forum11th สามารถลบล้างความเชื่อมในการรักษาพยาบาลว่า อะไรต่ออะไรมันต้องยาก ๆ ต้องสูงส่ง กลายเป็นการรักษาแบบง่าย ๆ หายไว ๆ ได้แล้ว ชีวิตคนป่วยคงจะมีความสุขขึ้นอีกมาก
เพราะบางครั้งอะไรที่ว่ายากมันก็ไม่ยากเสมอไป เพราะชีวิตของเรานั้นคือ “ธรรมชาติ” ธรรมชาตินั้นก็เป็นสิ่ง “สามัญ” ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในโลกนี้...

 

 

หมายเลขบันทึก: 343719เขียนเมื่อ 12 มีนาคม 2010 11:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:34 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
  • เคยปวดหัวเหมือนกัน
  • มีอาเจียน
  • พอไปตรวจปรากฏความดันขึ้น
  • ทั้งที่ไม่เคยเปนมาก่อน
  • อายุเพิ่ง 33 ความดันสูงแล้่ว
  • โรคภัยสมัยนี้มีเยอะ
  • บางครั้งตั้งรับแทบไม่ทัน
  • ขอบคุณที่ให้วิทยาทานนะคะ
  • โดยมากยุคอะไรๆก็มักจะหันเข้าหาธรรมชาติกันเป็นส่วนใหญ่
  • จะเห็นได้ว่าหากมีจุดขายที่บอกว่าไร้สิ่งเจือปน  บริสุทธิ์ปลอดสารพิษ  สดจากไร่  อะไรเทือกนี้  ก็มักจะได้รับความนิยม
  • ช่วงนี้ก็เรื่องของชีวจิต  โยคะ  วังน้ำเขียว ฯลฯ กำลังอยู่ในกระแส
  • เฮ้อ.. บางทีไม่ใช่แค่ปวดหัวหรอกค่ะที่ให้พารา  เป็นไข้ปวดหลังปวดเอวปวดขาปวดนิ้วก็ว่ากันไป..
  • และแน่นอนค่ะ ในที่สุดก็จะต้องกลับสู่สามัญอย่างที่ท่านอาจารย์ JJ ท่านว่า..

สวัสดีค่ะ

เห็นด้วยกับความคิดของท่าน และหมอ JJ

แต่ขอแลกเปลี่ยนในมุมของคนให้บริการว่า..

บางครั้งคนไข้ไม่ยอมค่ะ..แนะนำไปแล้ว...

ทำอย่างที่ท่านว่าให้คนไข้..อาการทุเลา

แต่..คนไข้มักจะถามว่า..ไม่ได้ยาไปกินหรือ?

เมื่อตอบว่าไม่ได้..คนไข้ก็จะบ่นและบ่น..

ข้าพเจ้าจะกลายเป็นหมออนามัยที่ไม่ได้เรื่อง

เพราะไม่ค่อยจ่ายยา 555+

ที่ร้ายกว่านั้นคือ คนไข้ไปหาซื้อยากินเอง..

หรือไปคลินิกเอกชนไปนู้น..

ปัญหานี้ (แต่..คนไข้มักจะถามว่า..ไม่ได้ยาไปกินหรือ?)ของคุณหมออนามัย น่าสนใจ สิ่งนี้เป็นความจริงและเป็นตลกร้ายในวงการวิชาการบ้านเราเลย

คำถามต่อมา (แบบคำถามแบบโง่ ๆ) แล้วใครเป็นคนที่สร้างค่านิยมว่า "ป่วยต้องกินยา" ให้เกิดขึ้นมาบนสังคมไทย อยู่แสนสุขสบาย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อุดมเป็นด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์เยี่ยงนี้

แต่ถ้ามัวที่หาว่าใครเป็นสร้างค่านิยมนี้ก็คงต้องใช้เวลานาน เดี๋ยวนักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอกเข้ามาเห็นจะจับไปเขียนไปหัวข้อเขียนวิทยานิพนธ์อีก หรือบางครั้งคนทำงานอาจจะเอาไปเขียนของบประมาณ จะสิ้นเปลืองงบประมาณของประเทศกันไปใหญ่

ผมบอกตอนนี้ได้แต่เพียงว่า ปัญหานี้ไม่มีทางที่จะแก้ได้ ชัวร์และแน่นอน

ทำไมผมถึงยังมั่นใจแบบนั้น เพราะปัจจุบันธุรกิจการค้ายา (ไม่ใช่ยาบ้านะครับ) คือ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์และยารักษาโรคในทุกแขนง (รามมาถึงยาสมุนไพรแล้วนะครับ) กำลังสร้างรายได้ให้กับนักธุรกิจ ทั้งที่เป็นนักธุรกิจอยู่เดิมแล้วขยายสายการผลิตมาผลิตยา รวมถึงบุคลากรทางสาธารณสุขเดิมที่เห็นช่องทาง มีรายได้แล้วหันเหชีวิตเข้ามาอุทิศกายและใจเพื่อสร้างยาและหารายได้ให้กับตนเองและครอบครัว

ตราบใดที่บริษัทยายังทำกำไรได้มหาศาลแบบนี้ (โดยเฉพาะบริษัทต่างประเทศ) การทุ่มงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งแบบทางตรงและทางอ้อม ก็จะยิ่งเพิ่มความรุนแรงให้มากเท่าทวีคูณ

ผลกรรมก็ตกอยู่คนอย่างเรา ๆ ครับ อย่าไปคิดแต่ว่าเป็นแต่คนในชนบทนะครับ เขาโชคดีกว่าเราเยอะ เพราะกลางวันเขาอยู่ไร่อยู่นา ไม่มีทีวีโทรทัศน์อะไรให้ดู เวลาที่เขาใช้เสพสื่อนั้นน้อยกว่าเราเยอะ

เพราะพวกเราชาวเมืองหลวงนี้ แค่โผล่ออกจากหน้าบ้านก็เห็นป้ายคัตเอาท์โชว์หรากันแล้ว หรือบางครั้งอยู่ในบ้านแผ่นป้ายโฆษณาที่แนบมากับสินค้าและผลิตภัณฑ์ก็เต็มไปหมด

อันนี้ยังไม่ต้องนับรวมไปถึงป้ายข้างทางด่วน ป้ายบนรถเมล์ รถไฟฟ้า เข้ามาในบริษัทก็เจอพนักงานขายตรง (เพื่อนตัวดีเราแหละครับ) ชีวิตคนในต่างจังหวัดดีกว่าเราเยอะ ป้ายโฆษณาตามสี่แยกส่วนใหญ่ก็มีแต่งานกฐิน ผ้าป่า หล่อพระ ที่เรามักไปว่าเขา "โง่" งมงาย แต่ก็ยังดีนะครับ เขายังรู้จักทำบุญ แต่พวกเรานี้สิ รู้จักแต่ทำบาป...

พูดไปไกลถึงโน่นเลยครับ แต่มันก็เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด เพราะตราบใดที่นักธุรกิจยังครอบงำความของสังคมอยู่ เรื่องกินยาเพื่อรักษาโรคนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และที่สำคัญก็คือ ไม่มีทางแก้ให้หายได้

เจ้า "ไวรัสทางความรู้" นี่เป็นตัวสำคัญมาก อย่าไปแต่มัวมองเขา ต้องมองเราบ่อย ๆ ว่าเราก็หลงติดไวรัสทางความรู้ตัวนี้มากน้อยเพียงใด

อาทิเช่น ถ้าเราปวดหัว แล้วอะไร ๆ ก็ได้แต่กินยาแล้วก็นอนนั้นก็แสดงว่า เราเจอเจ้าไวรัสทางความรู้นี้เข้าไปแล้ว

ป่วยนิดป่วยหน่อยอะไรอะไรก็นอนยันเลย อันนี้ก็เจอเข้าไปอีกตัวหนึ่ง

ปัจจุบันคนโอเว่อร์กลัวเชื้อโรคกันมาก อันนี้ก็อันตราย อันนั้นก็อันตราย ผมว่าไอ้ยาที่กินเข้าไปนี้อันตรายกว่าเชื้อโรคตั้งเยอะ ไม่เห็นจะกลัวกันเลย

ในทางกลับกันเชื้อโรคนั้นดีกว่าตั้งเยอะ คือ ไม่เห็นต้องเสียเงินไปซื้อไปหามา แต่ว่าเจ้ายาของบริษัทต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินสัพเพเหระอะไรทั้งหลายนี้ทั้งทำให้เราเสียเงิน เสียสุขภาพแถมด้วยความเสียใจ อ้อ รวม "เสียค่าโง่" ไปตั้งเยอะ...

ถ้าเรื่องนี้ไปสืบกันให้ดีจะเห็นว่า ทั้งเจ้าของ ญาติ พี่น้อง ของเจ้าของบริษัทยาทั้งในและต่างประเทศนั้นจะได้รับกรรมอยู่ตัวหนึ่งครับคือ "โรคมะเร็ง"

กลุ่มผู้บริหารบริษัทยานี้จะรวยมาก มีเงินมาก แต่ก็จะได้รับความทุกข์ทรมานเช่นเดียวกัน

ดังนั้นหมอและพยาบาล ก็อย่าชะล่าใจไป เพราะเราก็ร่วมอยู่ในวงจรเดียวกันกับ "คนขายยา" ด้วยเช่นเดียวกัน

ผู้พิพากษา ตุลาการ ตำรวจ และทนาย เข้าก็อยู่ในวงจรกรรมเดียวกัน ตัดสินใครผิดก็ได้รับผลกรรมตกทอดตามกรรมนั้นไป

คนขายยา หมอ พยายาล และข้าราชการในกระทรวง ก็อยู่ในวงจรกรรมเดียวกันเช่นกัน ถ้าให้ยาใครกินแล้วเขาเจ็บปวด ทุกข์ทรมานหรือตายไป สุดท้ายก็ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น ๆ สืบไป...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท