รองเลขาธิการแพทย์สภาได้แสดงความเห็นด้วยเหตุผลไม่สุภาพ ก่อให้เกิดปัญหาความแตกแยกในกลุ่มสหวิชาชีพสาธารณสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ อันเป็นผลเสียต่อความรัก สามัคคี และการปฏิบัติงานในหน่วยงานมากยิ่งขึ้น
ระบบสาธารณสุขไทยในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนไปในแนวเชิงรุก แข่งขันบริการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนผู้รับบริการ ทั้งด้านความทั่วถึง ความเท่าเทียม ความหลากหลายและด้านประสิทธิภาพ มากขึ้น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 บัญญัติไว้ว่า
มาตรา 82 "รัฐต้องจัดและส่งเสริมการสาธารณสุขให้ประชาชนได้รับการที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง"
มาตรา 52 "บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานและผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ การบริการสาธารณสุขของรัฐต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยต้องส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชนมีส่วนร่วมด้วยเท่าที่จะกระทำได้ การป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตราย รัฐต้องจัดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่าและทันต่อเหตุการณ์ ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ"
มาตรา 78 "รัฐต้องกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่นพึ่งตนเอง และตัดสินใจในกิจกรรมท้องถิ่นได้เอง พัฒนาท้องถิ่นและระบบสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงการพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่นให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น"
มาตรา 284 แห่งรัฐธรรมนูญฯ จึงได้ตรา พ.ร.บ. กำหนดแผน และขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ขึ้น มีสาระสำคัญ คือ
กำหนดอำนาจหน้าที่ในการจัดการระบบสาธารณะ การจัดสรรสัดส่วนภาษีและอากร
ให้คณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำแผนกระจายอำนาจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในระยะเวลา 10 ปี ( พ.ศ. 2544 - 2553 )
การกำหนดอำนาจหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะ การสาธารณสุข การอนามัยครอบครัว และการรักษาพยาบาล
เห็นได้ว่ากฎหมายเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วม และมีสิทธิในด้านสุขภาพมากขึ้น ปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ รวมทั้งการฟ้องร้องเรียกค่าเสียก็มีมากขึ้นตามไปด้วย ปัจจุบันกลุ่มอาชีพต่าง ๆ รวมตัวกันจัดตั้งองค์กรเพื่อคุ้มครองปกป้องสิทธิควบคุมมาตรฐานและจรรยาบรรณแก่มวล สมาชิก เช่น แพทย์สภา ทันตแพทย์สภา สภาเภสัชกรรม สภาการพยาบาล และอีกหลาย ๆ กลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวให้กลุ่มอาชีพของตนเป็นองค์กรวิชาชีพที่มีกฎหมายคุ้มครองการปฏิบัติ ควบคุมมาตรฐานและจรรยาบรรณ
กลุ่มบุคลากรสาธารณสุขที่มีตำแหน่งทางราชการ ด้านสาธารณสุขศาสตร์ สาธารณสุขชุมชน สุขศึกษา ส่งเสริมสุขภาพ อาชีวอนามัย ได้ร่วมกันยื่นร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพสาธารณสุข ตามคำสั่งสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่ 330/2549 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2549 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ(ดังกล่าว) ล่าสุด รองเลขาธิการแพทย์สภาอ้างความเห็นร่วม 4 สภาได้แก่ แพทย์สภา ทันตแพทย์สภา สภาเภสัชกรรม สภาการพยาบาล ได้แสดงความเห็นคัดค้านด้วยเหตุผลไม่สุภาพก่อให้เกิดความแตกแยกในกลุ่มสหวิชาชีพสาธารณสุขมากขึ้นเป็นลำดับ อันเป็นผลเสียต่อความรัก ความสามัคคี และการปฏิบัติงานในหน่วยงานมากขึ้นเรื่อย ๆ จะขอยกตัวอย่างบางประโยคจากรายงานที่ค่อนข้างยาวมากนะ เช่น ให้เหตุผลว่าเป็นงานที่ใช้แรงมากกว่าใช้สมอง ประชาชนชาวบ้านทั่วไปก็ทำได้อยู่แล้ว อันนี้นายแพทย์ระดับผู้บริหารท่านหนึ่งได้แก้ต่างว่า แพทย์สภาน่ะไม่มีความรู้จริงในเรื่องงานจริงของกระทรวงฯ การได้รับเลือกมาก้อขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นที่รู้จักมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์หมอเพราะเป็นที่รู้จักของนักศึกษาแพทย์จบใหม่ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจจึงไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเป็นจริงในการทำงาน แต่การแสดงความเห็นคัดค้านด้วยเหตุผลที่ไม่สุภาพนั้นไม่เกี่ยวกับว่าได้รับรู้สถานการณ์การทำงานที่เป็นจริงหรือไม่ มองผลที่เกิดขึ้นดีกว่า เกิดความแตกแยกของสหวิชาชีพขึ้นแล้ว และควรได้รับการแก้ไขให้เกิดความสามัคคีร่วมมือกันปฏิบัติตามหน้าที่ของตนอย่างเต็มความรู้ความสามารถต่อไปได้
ในทรรศนะของผมเห็นดังนี้
1. การเสนอร่าง พ.ร.บ. วิชาชีพฯ นี้ มีผลในด้านการควบคุมกำหนดมาตรฐานความรู้ความสามารถการปฏิบัติหน้าที่ และต้องเข้มงวดในเรื่องจรรยาวิชาชีพมากขึ้น ซึ่งข้อนี้เป็นประโยชน์ต่อมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทย
2. เมื่อวิชาชีพนี้ได้รับการรับรองอย่างมีมาตรฐานก็มีกฎหมายในการคุ้มครองและมีสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น เช่น สามารถเป็นหัวหน้าของแพทย์ได้ในแง่ของการบริหาร
3. การบริหารภายในกระทรวงสาธารณสุขต้องบริหารด้วยนักบริหารสาธารณสุขซึ่งต้องมีการกำหนดคุณสมบัติความรู้ความสามารถเฉพาะได้มาตรฐาน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์เท่านั้นเหมือนเช่นเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่าแพทย์จะเป็นผู้บริหารไม่ได้ถ้ามีคุณสมบัติความรู้ความสามารถถึงพร้อม
เพราะฉะนั้นอำนาจแพทย์ก็จะลดน้อยลงไปด้วย แต่ถามว่าจำเป็นไหมที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลต้องเป็นแพทย์เท่านั้น สาธารณสุขจังหวัด ต้องดำรงตำแหน่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเท่านั้น จำเป็นไหมที่ปลัดกระทรวง ทบวง กรม ต้องเป็นแพทย์ผูกขาดการเป็นผู้บริหารมาโดยตลอด ทั้งที่เจตนารมณ์ของการเป็นแพทย์นั้นเรียนมาเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยโรค รักษาโรค แล้วต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเสมอด้านการแพทย์ พยาบาลก็ทำหน้าที่รักษาโรคตามคำวินิจฉัยของแพทย์ ฝ่ายเทคนิคการแพทย์ก็ทำหน้าที่ตรวจสิ่งส่งตรวจต่าง ๆ เพื่อใช้ในการประกอบการวินิจฉัยของแพทย์ นี่คือหน้าที่หลักของแพทย์ที่จะต้องทำเพื่อประชาชนสรุปสั้น ๆ คือเรียนมาเพื่อรักษาโรคแต่ไม่ได้รักษาคน ส่วนสาธารณสุขจะทำงานในเชิงรุกคือรักษาคน ซึ่งถ้าแบ่งงานหลัก ๆ ของกระทรวงสาธารณสุขแล้วมีด้วยกัน 4 ด้าน
1. การส่งเสริมสุขภาพ
2. การป้องกันและควบคุมโรค
3. การรักษาโรค
4. การฟื้นฟูสุขภาพ
แพทย์ทำงานตั้งรับที่โรงพยาบาลหรือในมหาวิทยาลัยเน้นในการทำงานด้านการรักษาโรค หรือเรียกว่าซ่อมสุขภาพ ส่วนหน้าที่หลักอีกสามส่วนนั้นต้องอาศัยบุคลากรทางสาธารณสุขที่ไม่ได้เรียนแพทย์แต่เรียนเฉพาะด้านแต่ละด้านทำหน้าที่ของตนแตกต่างกันแต่รวมกันแล้วมีผลในด้านให้สุขภาพที่ดีต่อประชาชน เช่น งานคุ้มครองผู้บริโภค การควบคุมโรค การป้องกันโรค ฯลฯ
ที่แสดงความเห็นมานี้เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างกลับมามองจุดของตัวเองว่ามีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไร ปัญหาความแตกแยกที่เกิดขึ้นควรมองที่เหตุก่อนเวลาจะแก้ต้องแก้ที่เหตุ ดับที่เหตุ ในที่นี้ปัญหาอยู่ที่การแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติวิชาชีพสาธารณสุขตามคำสั่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ให้อำนาจแพทย์เป็นผู้ตัดสินซึ่งผลการตัดสินดังกล่าวไม่สามารถยุติลงด้วยความเป็นธรรมหลายอย่างรวมถึงความเห็นที่ไม่สุภาพทั้งหลาย ก่อให้เกิดผลเสียต้องรีบด่วนในการแก้ไข ซึ่งงานนี้ชมรมสาธารณสุขแห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมนักบริหารสาธารณสุข และสถาบันพระบรมราชนก เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมวิชาการและรับฟังความคิดเห็น เรื่อง ประชาชนได้อะไรถ้ามี พ.ร.บ.วิชาชีพการสาธารณสุขขึ้นในวันที่ 20 มิถุนายน 2549 ณ โรงแรมทองธารินทร์ อำเภอเมืองจังหวัดสุรินทร์ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
1. สร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่อง "องค์กรวิชาชีพ" ที่ถูกต้อง
2. ลดปัญหาความขัดแย้งในหน่วยงานสาธารณสุข
3. รับฟังความคิดเห็นความต้องการและสร้างความเข้าใจในทิศทางเดียวกัน
4. เชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ
5. สร้างขวัญ กำลังใจ แก่ผู้ปฏิบัติงานระดับรากแก้วของกระทรวงสาธารณสุข
6. สร้างความรัก สามัคคี ความเข้มแข็ง ในการร่าง พระราชบัญญัติวิชาชีพการสาธารณสุข
ผู้ที่ผ่านเข้ามาอ่านแล้วกรุณาร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยจักเป็นพระคุณอย่างสูง