Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

กรณีศึกษาประกาศยุติการเผยแผ่คำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ของบ้านอารีย์


ขอแสดงความคิดเห็นในฐานะชาวพุทธที่รักและศรัทธาพระพุทธศาสนาต่อกรณีที่บ้านอารีย์ ประกาศชี้แจงเหตุผลการยุติเผยแผ่คำสอนของ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช  จนกระทั่งเกิดวิกฤตศรัทธา ในเหตุผลต่างๆนานาที่บ้านอารีย์ชี้แจงสาเหตุนั้น  แต่ละข้อเป็นความผิดอุกฉกรรจ์ที่น่าเสียใจว่าทางบ้านอารีย์เห็นควรจะต้องเอาโทษขนาดต้องถล่มหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช  ให้ล่มจม  ดังที่ประกาศในเว็บไซต์ขนาดนั้นเลยหรือค่ะ http://www.baanaree.net/baanareepost.html

เมื่อเราอ่านจบ เราเองไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือการกระทำของบ้านอารีย์  เพราะชื่อของบ้านอารีย์  บ่งบอกถึงความเมตตา กรุณา  แต่การกระทำโดยการประกาศของบุคคลกลุ่มหนึ่งของบ้านอารีย์  มิได้แสดงความเมตตากรุณาออกมาทางประกาศเลย  ทั้งที่เป็นองค์กรพุทธศาสนิกชนแห่งหนึ่ง  ดำเนินการเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลานาน โดยการสนับสนุน ส่งเสริมการฟังธรรมและการปฏิบัติธรรมจากพระอาจารย์จากสำนักต่างๆ  กรณีนี้จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจศึกษาอย่างยิ่งสำหรับพุทธศาสนิกชน

เนื่องจากบ้านอารีย์มีการเชิญชวนพุทธศาสนิกชนที่มีความสนใจ หรือสงสัยในความถูกต้องของประกาศข้อความข้างต้น ได้ทำใจเป็นกลาง และใช้โยนิโสมนสิการ เฝ้าตามสังเกตข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ด้วยตัวท่านเอง

เราในฐานะพุทธศาสนิกชนที่สนใจศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรม  เราก็ไม่ได้เรียนรู้ธรรมหรือปฏิบัติธรรมจากพระอาจารย์เพียงรูปเดียว และเราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช  ทางซีดีธรรม  ได้ใช้โยนิโสมนสิการสังเกตประกาศชี้แจงเหตุผลดังกล่าว ตามความเห็นของคนทั่วไปอาจถูกหรืออาจผิดประสาภูมิปัญญาของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง โดยเจตนายืนพื้นอยู่บนความอยากรักษาศรัทธาชาวพุทธที่มีต่อพุทธศาสนา  จึงขอแสดงความไม่เห็นด้วยและแสดงความสงสัยกับการกระทำของบ้านอารีย์ที่แสดงความคิดเห็นที่ก้าวร้าว  รุนแรง  อุกอาจ  จาบจ้วง กล่าวหาครูบาอาจารย์  ดังนี้


บ้านอารีย์:        1. การบรรยายธรรมหลายครั้ง หลายกรณีมีการกระทบกระทั่งไปยังสำนักต่างๆ แทบจะทุกสำนัก ในลักษณะที่สื่อให้เห็นว่า การปฏิบัติของสำนักอื่นๆนั้น ยังมีข้อบกพร่อง ยังไม่สมบูรณ์ ต้องเสริมด้วยวิธีของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ทำให้เกิดอกุศลขึ้นระหว่างหมู่ผู้ปฏิบัติ ที่มีศรัทธาในสำนัก ในครูบาอาจารย์ของตน ไม่ก่อให้เกิดสังคมของพุทธศาสนิกชนที่ร่มเย็นขึ้นได้ จนทำให้ต้องมีการตัดต่อ ตัดตอน ลบ เก็บสื่อการสอนอยู่เป็นระยะๆ

 

แพร:    ถ้าฟังดีๆ  ตั้งใจฟังดีๆ อย่ามีอคติ  ฟังที่หลวงพ่อเทศน์ให้จบ หลายๆรอบ แล้วจะรู้ว่าท่านสอนอะไร สอนยังไง  ทำไมถึงสอนแบบนั้น  หลวงพ่อท่านบอกหลักการและเหตุผลในการสอนแต่ละคนไว้เสมอ  ซึ่งหลวงพ่อพยายามบอกว่า  ไม่ให้ยกการปฏิบัติของสำนักต่างๆมากล่าวอ้าง  เพราะจะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน โดยเฉพาะกับคนที่ติดสำนักหรือติดครูบาอาจารย์ จะรู้สึกไม่ดีได้ ท่านบอกว่าการปฏิบัติในแต่ละแบบดีทั้งนั้น  ถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้อง  มีสติ และสม่ำเสมอ  เราสามารถเลือกวิธีปฏิบัติให้ถูกกับจริตของแต่ละคนได้  อกุศลจิตสามารถเกิดได้ในทุกขณะโดยเฉพาะมนุษย์  พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตมีธรรมชาติไหลลงต่ำ  คือ อยู่ดีๆก็พร้อมจะมีความคิดร้ายๆกับคนอื่นอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น  ทำไมเวลาหมู่ผู้ปฏิบัติมีจิตอกุศลขึ้นมาตามธรรมชาติ  จึงมาอ้างว่าเป็นเพราะหลวงพ่อ  ทำให้เกิดอกุศลจิตนั้น น่าสงสัยจริงๆค่ะ  ที่ว่ามานั้น  คิดเอง  เป็นเองหรือเปล่าคะ

 

บ้านอารีย์:        2. การบรรยายธรรมหลายครั้ง หลายกรณีและบทความข้อเขียนเล่มต่างๆ มีการกล่าวหว่านล้อม โน้มน้าว ชักจูง ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ว่า หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว รวมถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ ซึ่งเป็นธรรมล้ำสามัญมนุษย์  กรณีเช่นนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงตำหนิภิกษุที่มีพฤติกรรมดังกล่าวว่า เปรียบเสมือนสตรีที่เผยอวัยวะพึงสงวนให้เขาดู เพราะเห็นแก่เงินทองของต่ำทราม (เขียนแบบนี้ด่าแรงมากไปไหมค่ะ)

 

แพร:    ท่านแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ ตรงไหนค่ะ  แล้วคนเขียนประกาศของบ้านอารีย์คือใคร  ถึงได้กล้ามาตัดสินพระภิกษุรูปหนึ่งว่า ไม่ใช่พระอริยบุคคล  พระพุทธเจ้าทรงห้ามพระอวดอุตริมนุษยธรรม  คือ คุณวิเศษที่ไม่มีในตน  สิ่งที่ท่านสอนคนคิดไปเอง  แพรเชื่อว่า ท่านเจตนาสอนคนมากกว่าที่จะอวดตน  ท่านพยายามบอกในสิ่งที่ท่านเห็น ท่านทราบ  แต่บางอย่างคนอื่นไม่เห็น  แล้วคิดไปเองว่าไม่เป็นจริง  (ช่างกล้าเนาะ ไม่กลัวบาปกันเลยหรือ)  คิดบ้างไหมค่ะว่า ถ้าท่านเป็นพระอริยบุคคลจริงๆ  จะบาปขนาดไหน  อริยุปวาทะ คือ การกล่าวเหยียดหยามพระอริยะ  ทางไปคือ อบายภูมิ  มีนรกเป็นต้นค่ะ  (บุคคลกลุ่มนั้น จะพากันตกนรกก็งานนี้แหละ) หรือถ้าแม้ท่านไม่เป็น  แต่ด้วยคุณงามความดีที่ท่านสร้างมา  โดยเฉพาะการชักนำคนยุคใหม่ให้มาสนใจพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก  ก็ถือว่าท่านเป็นผู้มีคุณูปการต่อสังคมชาวพุทธ  หลายคนห่างเหินพระพุทธศาสนามาก่อน แต่เมื่อได้เรียนธรรมกับท่านชีวิตก็เปลี่ยนไปในทางที่ดี  รู้จักพระพุทธศาสนาดีขึ้น  หนึ่งในนั้นก็คือ  แพร  คนหนึ่งล่ะคะ  ฟังธรรมแล้วนำไปปฏิบัติ  ใช้ได้ผลดีจริงๆค่ะ

 

บ้านอารีย์:        3. แก่นการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ใช้การทักวาระจิต ทายใจเป็นหลัก และเป็นการใช้อย่างสม่ำเสมอ ในทุกคราวของการแสดงธรรม ทำให้เกิดการเสพติดของนักปฏิบัติ และเป็นวิถีทางการปฏิบัติแบบใหม่ ที่ผู้ปฏิบัติเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์จำนวนมาก ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ต้องอาศัยหวังพึ่งพิงปาฏิหาริย์ ทำลายหลักการ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ลงอย่างสิ้นเชิง วิกฤติการณ์นี้ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่สนใจปฏิบัติ เมื่อเข้ามาสู่การสอนในลักษณะนี้ ได้ก่อให้เกิดสภาพเหมือนการปฏิบัติธรรมกลายเป็นศาสตร์แห่งไสย แทนที่ศาสตร์แห่งพุทธะ…. (มีต่อค่ะ แรงกว่านี้ หาอ่านเองนะคะ)

 

แพร:    ใช่ค่ะ  จากการฟังธรรมของท่าน การสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ใช้การทักวาระจิต ทายใจด้วย แต่ไม่ใช่หลักการสอนค่ะ  เป็นเทคนิคการสอนค่ะ  แก่นการสอนของท่านจริงๆคือ ให้มีสติหรือรู้สึกตัวค่ะ  คิดเอง เออเองไปใหญ่ค่ะ อ่านดีๆนะคะจะเห็นว่า มีการกล่าวหาว่า การสอนของหลวงพ่อปราโมทย์  เป็นวิธีแบบไสยศาสตร์ด้วย (เฮ้อ!..คิดได้ไงเนี่ย) ถ้าฟังการสอนธรรมของท่านดีๆจะพบว่า  ท่านสอนให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ให้ดูตนเอง ดูกาย  ดูใจ   รู้ปัจจุบัน  ด้วยใจที่เป็นกลาง  ท่านไม่ได้สอนให้พึ่งท่าน นะคะ  ท่านสอนให้พึ่งตนเองค่ะ ตามหลักการ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”   คือ ให้เพียรพยายามดูตัวเองทั้งกายและใจ รู้สึกตัวบ่อยๆ  เผลอให้รู้ค่ะ อย่าส่งจิตออกนอก ให้ดูเข้ามาที่จิตตัวเอง หรือ โอปะนะยิโก  ควรน้อมเข้ามาดูตัวเองค่ะ  ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ  จะเห็นว่ามีการคิดตีความไปเองในทางที่ไม่ดี  เข้าข้างตัวเอง  ส่งจิตออกนอกทั้งนั้นค่ะ  แล้วจะบอกว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อได้ไง  ไม่ได้เอาคำสอนของหลวงพ่อไปปฏิบัติกันเลย  อย่างนี้เค้าเรียกว่าแอบอ้างค่ะ

 

บ้านอารีย์:        4. แนวทางการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ไม่มีขั้นตอนการปฎิบัติที่ชัดเจน จึงต้องอาศัยการถามตอบเป็นหลักนั้น ทำให้ไม่มีมาตรฐานทางธรรม เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นกับผู้ปฎิบัติ …. (มีต่อค่ะ แรงกว่านี้  หาอ่านเองนะคะ)

 

แพร:    ฟังยังไงค่ะถึงได้กล่าวหาว่าไม่ชัดเจน  แพรฟังธรรมของท่านแล้ว ก็ชัดเจนนะคะ  ท่านสอนให้มีสติ  ให้รู้สึกตัว  สอนให้ดูตัวเอง ไม่ใช่ไปดูคนอื่น หรือส่งจิตออกนอกฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ น่าเห็นใจนะคะ พยายามจะหามาตรฐานทางธรรมของหลวงพ่อ  คงจะลืมไปว่า  ความเข้าใจหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหรือการเข้าถึงธรรมไม่ได้มาจากการนั่งคิด  นอนคิด  หรือฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆนะคะ  จะรู้ได้แท้จริงต้องปฏิบัติเท่านั้นค่ะ  มันเป็นปัจจัตตัง  เวทิตัพโพ คือ พึงรู้ได้เฉพาะตน  ถ้าฟังธรรมแล้วไม่ปฏิบัติธรรม  ก็มีค่าเท่ากับ ไม่ได้ปฏิบัติค่ะ แสดงว่าคนที่คิดแบบนี้  ไม่ใช่ของจริงซะแล้วค่ะ

 

บ้านอารีย์:        5. ในการแสดงธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์หลายครั้ง ได้ดูแคลนแนวทางการปฎิบัติที่ทำความเพียรในรูปแบบ และข้อวัตรปฎิบัติต่างๆของครูบาอาจารย์ต่างสำนัก ด้วยอาการเยาะเย้ย เหยียดหยาม ทำนองว่าเป็นทุกขาปฎิปทา ไม่เหมาะกับปัญญาชนคนเมือง ทำให้ล่าช้า สู้การทำความเพียรด้วยการฟังซีดีของท่านบ่อยๆ ไม่ได้……..

แพร:    ฟังธรรมของหลวงพ่อตลอดค่ะ  ติดตามดาว์นโหลดธรรมเทศนาของท่านจากเว็บไซต์  แต่ไม่รู้สึกว่าหลวงพ่อท่านมีเจตนาจะเยาะเย้ย เหยียดหยามใครนะคะ  ภาษาพูดของท่านง่ายๆ  ท่านสอนธรรมให้เป็นเรื่องง่ายๆ  สามารถทำได้ทุกคน และเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ น่าเป็นห่วงนะคะ  คนเราถ้าลองคิดไม่ดีกับใครแล้ว  ก็เกิดอคติคิดไม่ดีกับผู้อื่นไปเรื่อยเปื่อย  แบบนี้ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  “ทัพพีไม่รู้รสแกง” ค่ะ  น่าสงสารจริงๆค่ะ

 

บ้านอารีย์:        นอกจากนั้น ท่านยังไม่ส่งเสริมการสวดมนต์ การทำวัตรเช้าเย็น……

แพร:    กลับไปฟังดีๆนะคะ  หลวงพ่อบอกว่าเราต้องทำในรูปแบบด้วย  ไม่ได้ให้ดูจิตอย่างเดียว  ชาวพุทธอย่างน้อยสวดมนต์ไหว้พระวันละครั้งก็ยังดี  สวดมนต์แล้วมันเผลอไปก็ให้รู้ ค่ะ นี่สิของจริงที่หลวงพ่อสอน  แพรเคยเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมที่ครูบาอาจารย์ท่านอื่น  ท่านก็ไม่เน้นให้สวดมนต์  หามรุ่งหามค่ำนะคะ  ท่านให้ปฏิบัติกรรมฐานเลยค่ะ  เพราะการสวดมนต์เปรียบเทียบแล้ว   เหมือนเอาไม้ซีก ไปงัดไม้ซุง  ถ้าจะมุ่งพ้นทุกข์ จะเสียเวลาค่ะ  เอาเวลามาปฏิบัติ  ภาวนาเยอะๆเลยดีกว่า  ท่านก็เมตตาโยมมากๆนะคะ  เห็นว่าอุตส่าห์ลางานมาปฏิบัติได้แล้ว  ท่านก็ให้ภาวนาเต็มที่ไปเลย  แสดงว่า  นอกจากฟังธรรมไม่เข้าใจแล้ว  ยังไม่เคยไปเรียนรู้  ปฏิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์ท่านอื่นเลยมั้งค่ะเนี่ย

 

บ้านอารีย์:        ยังมีข้อวัตรต่างๆที่ท่านละเลย เช่น การบิณฑบาตร เป็นต้น ซึ่งท่านไม่ได้ให้ความสนใจปฏิบัติในข้อวัตรที่จำเป็นเหล่านี้เลย…..

แพร:    พระสงฆ์หลายวัดโดยเฉพาะท่านเจ้าอาวาส หรือพระที่ชราภาพมาก ท่านก็ไม่ได้เดินบิณฑบาตนี่ค่ะ แต่ท่านก็อยู่ได้ด้วยอาหารของชาวบ้านที่นำไปถวายท่านค่ะ  ก็ถือว่ารับอาหารจากชาวบ้านเหมือนกัน  เพราะชาวบ้านไปทำบุญถึงที่  แล้วมันผิดตรงไหนค่ะ  หลวงพ่อเองท่านก็แสดงธรรมสอนโยมทุกวันไม่ได้หยุด  ท่านก็เหนื่อยมาก เพียงแค่ท่านไม่ได้ไปบิณฑบาตทุกวัน ผิดมากขนาดต้องต่อว่ากันรุนแรงเลยหรือค่ะ  ใจร้ายเกินไปหรือเปล่า

 

บ้านอารีย์:        6. จากการพบปะพูดคุยกับญาติธรรมจำนวนมาก ที่อาศัยเพียงการดูจิตในชีวิตประจำวัน โดยละเลยการปฏิบัติในรูปแบบ และการทำสมถะซึ่งเป็นพื้นฐานที่ก่อให้เกิดความตั้งมั่นของจิต ทำให้ไม่มีกำลังที่จะใช้ดูจิต ถูกอารมณ์ลากพาไป เห็นแต่เพียงอาการของจิต ไม่สามารถทำให้ลดละกิเลสได้ ซึ่งครูบาอาจารย์สำนักต่างๆ หลายสำนัก ล้วนมีความเห็นตรงกันว่า การทำสมถะมีความจำเป็นสำหรับทุกคน มิใช่บางคนเท่านั้น

แพร:    ญาติธรรมจำนวนมากที่อ้างถึงน่ะค่ะ เป็นกลุ่มบุคคลที่ปฏิบัติธรรมตามแนวการสอนของหลวงพ่ออย่างจริงๆจังๆหรือเปล่าค่ะ คิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของญาติโยมทั้งหมดที่ปฏิบัติค่ะ  ถึงได้ให้ผลสรุปแบบนี้  จะสรุปทั้งทีก็น่าจะมีหลักการแนวคิดทฤษฎีรองรับบ้าง  ไม่ใช่นั่งเทียนเขียนกันเอง  และที่กล่าวหาหลวงพ่อ ว่าท่านให้ละเลยการปฏิบัติในรูปแบบ และละเลยการทำสมถะ  ไม่จริงเลยค่ะ  จากการฟังธรรมของท่าน  ขอยืนยันนะคะว่าท่านสนับสนุนให้ปฏิบัติในรูปแบบและทำสมถกรรมฐานด้วยค่ะ  ท่านไม่ให้ทิ้งสมถกรรมฐาน ท่านให้ปฏิบัติควบคู่กับวิปัสสนากรรมฐานค่ะ  (ฟังกันยังไงค่ะเนี่ย)  เฉพาะบางคนที่อ้างว่าไม่ชอบไม่อยากทำสมถะ  ท่านก็สอนให้ดูกาย  ดูจิตก่อน พอปฏิบัติได้ ท่านก็ให้ปฏิบัติในรูปแบบค่ะ  น่าสังเกตการฟังธรรมของคนที่คิดแบบนี้นะคะว่า  จะตรงกับสุภาษิตไทยที่ว่า "ฟังไม่ได้ศัพท์  แล้วจับไปกระเดียด"  มากๆเลยค่ะ

 

บ้านอารีย์:        7. หลังจากที่บ้านอารีย์ได้ทำการตรวจสอบแล้ว พบข้อเท็จจริงว่า........ (มีต่อค่ะ)

แพร:    อันนี้แพรไม่รู้ข้อเท็จจริง  ตรวจสอบไม่ได้ ไม่มีหลักฐาน  ไม่อยากกล่าวอ้างแบบเลื่อนลอย ไร้สาระ  ขออนุญาตไม่แสดงความเห็นค่ะ

 

บ้านอารีย์:        8. บ้านอารีย์เห็นว่า หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช มีปฏิปทาสวนทางกับพระพุทธวจนะ ว่าด้วยการพยากรณ์อริยะผล ซึ่งเป็นวิสัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น  เป็นที่รับทราบกันดีว่า มีการพยากรณ์โสดาปัตติผลให้แก่ลูกศิษย์จำนวนอย่างน้อย 6 ราย อีกทั้งการพยากรณ์กันเองในหมู่ผู้แวดล้อม เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงติเตียน ดังในพระสูตรภิกษุโจรที่พยากรณ์กันเอง จนมีลาภสักการะจำนวนมาก

แพร:    ฟังดีๆจะได้ยินหลวงพ่อพูดอยู่บ่อยๆ  ท่านบอกว่า  ท่านไม่สามารถพยากรณ์ใครในเรื่องอริยะผลได้ เพราะเป็นวิสัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น  ท่านบอกว่าอย่ามาถามท่าน ท่านไม่บอก  แล้วท่านก็สอนว่าคำถามเหล่านี้  เป็นคำถามที่การมีคำตอบจะทำให้คนประมาทหรือท้อถอยจากการภาวนาค่ะ  ส่วนข่าวที่ว่า มีการพยากรณ์โสดาปัตติผลให้แก่ลูกศิษย์ อันนี้ไม่รู้ว่ามายังไง  คิดกันเอง  แล้วคุยกันเองในหมู่พวกพ้องหรือเปล่า  มิอาจทราบได้ กล่าวหาแบบไม่มีหลักฐาน แต่ที่รู้ๆ การกล่าวหากล่าวอ้างโดยยกคำว่า “พระสูตรภิกษุโจร”  ฟังแล้วเป็นคำด่าที่แรงมาก (ใครรู้สึกแบบนี้บ้างค่ะ) แบบนี้เค้าเรียกว่าด่าค่ะ  ไม่ใช่ยกตัวอย่าง ไม่น่าเชื่อนะคะว่า  บ้านอารีย์เคารพเทิดทูนพ่อแม่ครูอาจารย์ยิ่งชีวิต มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา มีหลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ  จะเขียนประกาศด่า  พระภิกษุซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ได้ขนาดนี้

            แล้วการที่ญาติโยมมีความศรัทธาในพระสงฆ์  เอาของไปทำบุญถวายท่าน  มันผิดตรงไหนค่ะ  คนเค้าอยากทำบุญน่ะ  ทรัพย์สมบัติของเค้าๆไม่เดือดร้อน  แล้วบ้านอารีย์เดือดร้อนทำไม  ของที่โยมทำบุญมามากๆ  หลวงพ่อท่านก็ให้เอาไปถวายวัดในต่างจังหวัดที่ขาดแคลนค่ะ และถ้าไปฟังธรรม เรียนการปฏิบัติภาวนากับท่านจริงๆ  จะได้ยินท่านยกย่องคนที่ถวายสักการะท่านด้วยการภาวนา หรือการปฏิบัติบูชาค่ะ ท่านไม่ได้ยกย่องคนที่ถวายสักการะท่านด้วยอามิสบูชาค่ะ  น่าสงสัยนะคะ  ผู้ที่คิดแบบนี้  เหมือนเป็นคนขี้อิจฉา  ไม่น่ารักเลยค่ะ 

 

บ้านอารีย์:        ด้วยความสุจริตใจที่บ้านอารีย์ยืนยันว่า การกระทำใดๆ ตลอดจนข้อเท็จจริง และเหตุผลที่บ้านอารีย์ได้นำมาเปิดเผยในประกาศฉบับนี้ เป็นการกระทำที่ไม่มีเจตนาก้าวล่วง ไปตำหนิหลวงพ่อปราโมทย์เป็นการส่วนตัว หากแต่เป็นไปเพื่อปกปักรักษาพระศาสนา ในฐานะที่เป็นชาวพุทธตามทำนองคลองธรรม อันจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไปในภายหน้า

แพร:    ประกาศว่ามาซะขนาดนี้  ยังจะบอกว่า  เป็นการกระทำที่ไม่มีเจตนาก้าวล่วง ไปตำหนิหลวงพ่อปราโมทย์เป็นการส่วนตัวอีกหรือค่ะ  เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าค่ะ  ใครมาอ่านประกาศนี้  เค้าก็คิดตรงข้ามกันทั้งนั้นแหละค่ะ  เฮ้อ!...เสียภาพพจน์บ้านใจดีหมดเลย

การประกาศแบบนี้ก่อให้เกิดวิกฤตศรัทธาสร้างความแตกแยกในสังคมพุทธศาสนิกชนอย่างเห็นได้ชัด   คิดเหมือนแพรไหมค่ะ  ว่า ทำไม๊ ทำไมพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  พระที่มีชื่อเสียง  มีลูกศิษย์มากมาย ถึงได้โดนข้อกล่าวหารุนแรงขนาดนี้  จากอดีตลูกศิษย์หรือผู้ที่เคยใกล้ชิด  น่าสงสัยจริงๆค่ะ  มีเบื้องหลังอะไร  เกี่ยวข้องกับการกระทำนี้  ถ้าสำรวจโพลในตอนนี้นะคะ  แพรเชื่อค่ะว่า  ความเชื่อมั่น  ความศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อ  ยังสูงเหมือนเดิมค่ะ และจะมากกว่าเดิมด้วย  เพราะมีข่าวลือแบบนี้เกิดขึ้น

 

สำหรับกรณีหลวงพ่อปราโมทย์ หลายคนอยากฟังคำอธิบายจากคุณดังตฤณ   อ่านได้ที่นี่ค่ะ 

http://www.dharmamag.com/  วารสารธรรมใกล้ตัว ฉบับที่ ๘๖

คุณดังตฤณ อธิบายได้ชัดเจน  ถูกต้อง น่าสนใจ  น่าติดตามมากค่ะ

 

โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านนะคะ

 

เปิดรับการแสดงความคิดเห็นจากพุทธศาสนิกชนที่เคยฟังธรรมและปฏิบัติธรรมตามคำสอนหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช  ค่ะ

 

 

หมายเลขบันทึก: 330283เขียนเมื่อ 23 มกราคม 2010 14:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2012 09:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

อ่านเพิ่มเติมจากข้อความ คุณ Realize Now

http://larndham.org/index.php?showtopic=38156&st=300#entry687913

เรียนพี่ๆเพื่อนๆสหธรรมิกทั้งหลายครับ

แรกเริ่มทีเดียวผมไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะมาโพสท์ในกระทู้นี้ แม้ว่าผมเองก็เป็นหนึ่งในศิษย์ของหลวงพ่อที่ถูก “ชักชวน” ให้ออกห่างจากหลวงพ่อปราโมทย์ แต่เมื่ออ่านกระทู้นี้ของคุณดังตฤณแล้วมันเหมือนภาพที่เลือนรางของจิ๊กซอว์ ได้ชัดเจนขึ้นเมื่อได้ใส่อะไรบางอย่างของข้อความคุณดังตฤณในกระทู้นี้เข้าไป

ก่อนจะลำดับเหตุการณ์ให้ฟัง ผมต้องขอออกตัวว่า ผมไม่ได้เป็นผู้รู้ และเรื่องนี้ก็เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวที่อาจเป็นจริง หรือเป็นเพียงอุปาทานทึกทักเอาเองของผม ขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณตามหลักกาลามสูตร ว่าอย่าเชื่อง่าย เพียงแต่รับฟังแบบฟังหูไว้หูก็พอ บางทีอาจคลายข้อสงสัยและเห็นภาพอะไรบางอย่างชัดขึ้นบ้างก็ได้ครับ

เริ่มมาจากคืนวันจันทร์ที่ 12 มกราคม 53 เวลาประมาณ 19.00 น. ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าแก่ทางธรรมคนหนึ่งซึ่งผมเคารพนับถือและชื่นชมในใจมานาน ซึ่งปรกติไม่ค่อยได้โทรหากันบ่อยนัก เขาโทรมาแสดงความชื่นชมความคงเส้นคงวาของผมในการอยู่ในวงการธรรมะมานาน และต่อด้วยการแสดงความรับผิดชอบว่าเขาเคยแนะนำผมให้รู้จักหลวงพ่อปราโมทย์ด้วยการให้หนังสือ “ทางเอก” และซีดีธรรมะของหลวงพ่อเมื่อประมาณต้นปี 2550 ซึ่งเขาแจ้งว่าส่วนตัวเขาเองเขาเคารพนับถือหลวงพ่อปราโมทย์มาก แต่เมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารนี้แล้ว จำเป็นต้องบอกผม ซึ่งเขาได้นัดให้ไปพบกันในเย็นวันพฤหัส ที่ 14 ม.ค. 53 ซึ่งผมต้องปฏิเสธไปอย่างเสียดายที่ผมติดภารกิจสำคัญไม่สามารถไปตามนัดได้ เมื่อผมปฏิเสธนัด เพื่อนของผมก็ได้กล่าวข้อความอีกพอสมควรที่น่าตกใจเกี่ยวกับหลวงพ่อปราโมทย์ แล้วก็วางหูไปโดยแจ้งว่าแล้วเราค่อยนัดพูดคุยกันอีกทีเมื่อมีโอกาส

หลังจากนั้นผมก็ทบทวนข้อมูลที่ได้ยินกับข้อมูลเดิมๆที่เคยได้รับในเว็บไซด์แห่งหนึ่ง ก็เห็นว่าไม่มีข้อกล่าวหาอะไรใหม่ ล้วนเรื่องเดิมๆที่ไร้มูลความจริง แต่...มันน่าประหลาดที่พอตกตอนค่ำกว่านั้น จิตของผมเริ่มกระสับกระส่าย อกุศลจิตผุดขึ้นเป็นระยะๆ อย่างน่าแปลกใจ ผมก็ตามดูตามรู้ไปเรื่อยๆตามที่เคยฝึกมา แต่ช่วงนั้นผมรู้สึกอ่อนเพลียและรีบเข้าพักผ่อน

วันอังคารทั้งวันคลื่นความเคลือบแคลงสงสัยแทบไม่ได้เข้ามาเลยยกเว้นช่วงตกค่ำ แต่พอถึงวันพุธ เวลาประมาณทุ่มเศษ ผมก็กลับมีอาการเหมือนเดิมคือความคิดแง่ลบ ความเคลือบแคลงสงสัย ได้ถาโถมมาเป็นชุดๆ จนผมรำคาญ เลยเข้าห้องแล้วเริ่มทำการภาวนาตามรูปแบบ โดยการดูลมหายใจ ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นรูปแบบที่ผมทำได้ถนัดมาก ความฟุ้งซ่านน่าจะหยุด แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น กระแสความรับรู้แง่ลบกลับถาโถมเข้ามาหนักขึ้นเป็นระลอกๆ จนผมนึกรำคาญ และช่วยคิดสอนจิตอีกครั้งว่า เออ...มันไม่ใช่เรา...มันเกิดขึ้นเพราะมันเป็นอนัตตา แต่แทนที่จะหยุด กระแสอกุศลกลับเกิดถี่ๆจนผมรำคาญ

ช่วงนั้นผมยอมรับว่าเป็นช่วงหนึ่งที่แย่มากๆ จิตเหมือนกำลังจะถูกห่อหุ้มด้วยบางสิ่งที่มืดกว่าปกติ(หมายถึงมืดกว่าความมืดของโมหะแบบหมวกกันน็อคของผมเองที่เคยเห็นอยู่บ่อยๆ ) ผมจึงคิดตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าหลวงพ่อปราโมทย์เป็นพระสุปฏิปันโนผู้สะอาดหมดจด และสหายทางธรรมท่านหนึ่งของผมซึ่งเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ขอให้เทวดาที่มีจิตเมตตาโปรดแจ้งให้สหายทางธรรมท่านนั้นโทรหาผมด้วยเพื่อสร้างปาฏิหาริย์ เพื่อลดความวิจิกิจฉาของผมด้วยเถิด (ช่วงนั้นผมไม่กล้าโทรไปเอง พอจับๆ โทรศัพท์ ความลังเลสงสัยมากมายที่พาลไปถึงสหายธรรมท่านนี้ก็วิ่งเข้ามาอยู่เรื่อย)

ประมาณครึ่งนาทีสหายทางธรรมท่านนั้นก็โทรเข้ามาเร็วทันใจเหมือนปาฏิหาริย์จริงๆ ผมดีใจมาก พอพูดคุยทักทายสักพักแล้วผมก็เริ่มเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง ท่านได้เตือนสติถึงเรื่องการภาวนาที่ผมเคยทำมาประมาณ 20 ปีก่อนหน้าพบหลวงพ่อปราโมทย์ ว่าเป็นอย่างไร พอพบท่านแล้วได้ฟังธรรมแล้วการภาวนาเป็นอย่างไร และต่อไปนี้ถ้าไม่มีหลวงพ่อแล้วจะภาวนาอย่างไร ซึ่งผมก็ได้ความกระจ่าง ช่วงนั้นจิตผมเหมือนมีความสว่างไสวขึ้นมาฉับพลัน และความลังเลสงสัยก็หมดไปหลังจากจบบทสนทนา

พอวันศุกร์รับทราบว่าทางบ้านอารีย์มีประกาศฯ ผมก็นึกถึงเรื่องราวว่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดกับผมไหม ถ้าผมไปตามนัดเพื่อพูดคุยและ “รับประทานอาหาร” ผมจะเป็นอย่างที่ "พวกเขา" เป็นไหมหนอ?

วันอาทิตย์ผมได้พบกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการสวนฯ ที่ถอนตัว แรกทีเดียวผมไม่ทราบว่าเขาถอนตัว แต่เห็นความผิดปกติระหว่างพูดคุยกัน ผมรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไป เมื่อหมดบทสนทนา เขาเหมือนจะ “ลอยๆ” แบบคนไม่เคยฝึกสติจน “ตื่น” ผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่างบริเวณขอบตาที่เปลี่ยนไป และทราบภายหลังจากที่สนทนาไประยะหนึ่งว่าเขาขอถอนตัวเพราะช่วยงานวัดไม่ได้มากนักเนื่องจากมีภารกิจมาก

เรื่องราวต่างๆยังคงครุกรุ่นในหัวผม จนกระทั่งได้อ่านบทความคุณดังตฤณ ผมเอาเรื่องราวมาปะติดปะต่อและพอเห็นเค้ารางของการอยู่เบื้องหลังของ “คนบางคนที่เรารู้กันดีว่าเขาคือใคร” ซึ่งเราจะประมาทเขาไม่ได้เลยทีเดียว เมื่อคิดทบทวนไปในช่วงคืนที่สับสนผมสังเกตเห็นว่า “กระแสความคิด” ที่บุกเข้ามายามค่ำคืนของวันพุธ มันแปลกประหลาด ไม่เหมือนปรกติธรรมดาอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อผมทำอานาปานสติ ปกติผมจะสังเกตเห็นว่าเมื่อจิตจะคิดผมมักสังเกตเห็น “ความไหวตัว” ของจิตก่อนเกิดกระแสความคิดผุดขึ้นมา แต่คืนวันนั้น “กระแสความคิดลังเลสงสัย” มันมาโดยไม่ได้เกิด “ความไหวตัว” แม้แต่เล็กน้อย คือผมเห็นจิตที่นิ่ง แล้วมีกระแสคุกคามจากภายนอกเป็น “คลื่นความคิด” ที่ไม่ได้ปรุงขึ้นเอง แต่น่าจะเป็นการส่งเข้ามาจากภายนอก

จนในที่สุดผมได้คุยกับคุณดังตฤณเมื่อคืนวานนี้ ผมจึงได้เล่าความแปลกประหลาดให้ฟัง ซึ่งคุณดังตฤณขอร้องให้ผมเล่าประสบการณ์ประหลาดให้คนอื่นๆฟังบ้างเผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับความเข้าใจเรื่องราวให้มากขึ้น และเผื่อว่าบางคนที่มีประสบการณ์แบบเดียวกับผมจะได้รับรู้ไว้บ้าง

ผมขอทิ้งท้ายว่าอย่าเพิ่งเชื่อเรื่องนี้ แต่อย่าเพิ่งปฏิเสธ ความแปลกประหลาดลี้ลับในโลกอาจมีอยู่ หรืออาจเป็นเพียงความวิตกกังวลจนเป็นอุปาทานจินตนาการของผมเองก็ได้ ขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณตามหลักความเป็นชาวพุทธที่ดีนะครับ

จากใจบก.ใกล้ตัว วารสารธรรมใกล้ตัว เล่มที่ ๘๖

สำหรับกรณีหลวงพ่อปราโมทย์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

หลายคนอยากฟังคำอธิบายจากผม

เพราะเชื่อว่าน่าจะรู้ตื้นลึกหนาบางดี

แต่ความจริงคือผมเอง

ก็ต้องพยายามสืบหาต้นตอและที่มาที่ไป

ต้องพยายามสร้างมุมมองและความเข้าใจ

อันเกิดจากการรวบรวมข้อมูลมาปะติดปะต่อไม่ต่างจากคนอื่น

สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้จึงมีค่าไม่ต่างจากความเห็นของคนทั่วไป

อาจถูกหรืออาจผิดประสาภูมิปัญญาของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

เจตนายืนพื้นอยู่บนความอยากรักษาศรัทธาชาวพุทธที่มีต่อพุทธศาสนา

ไม่ใช่มุ่งรักษาศรัทธาของชาวพุทธที่มีต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

คำอธิบายทั้งหมดมีความยืดยาว

ทางที่ดีที่สุดจึงอาศัยคำถามที่มีเข้ามาหาผมไม่ขาดเป็นตัวตั้ง

แล้วตอบจากประสบการณ์ตรงหรือด้วยข้อมูลเท่าที่ผมมี

เกริ่นไว้ก่อนว่างานนี้จะไม่มีใครได้ข้อมูลไปทั้งหมด

แต่โชคดีที่ไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดก็เข้าใจได้

เรื่องบางเรื่องรู้ครึ่งเดียวจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย

ตรงข้าม การอธิบายแบบให้เข้าใจหายสงสัยอย่างสิ้นเชิง

แบบต้องลงรายละเอียดตามลำดับ

อาจกระทบกระทั่งบุคคล

หรืออาจจะต้องเข้าเรื่องเหลือเชื่อเหมือนการ์ตูน

ผมทำไว้ในใจว่าโลกเป็นทุกข์อยู่แล้ว

ก็จะไม่ขอเขียนอะไรให้เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย

ต้องเป็นทุกข์เพิ่มแม้แต่คนเดียว

ถาม - การถอนตัวของคณะกรรมการสวนสันติธรรม

เป็นจำนวนหลายคนพร้อมกัน เกิดขึ้นได้อย่างไร?

ตอบ - จากการรับ "ต้นเสียง" ทางโทรศัพท์ด้วยตนเอง

ทำให้มั่นใจว่าเรื่องใหญ่นี้จุดชนวนขึ้นจากความเข้าใจผิด

และมุมมองสรุปที่ต่างกัน

ความเข้าใจผิดที่ว่า

ก็คือเห็นหลวงพ่อปราโมทย์เป็นศิษย์คิดล้างครู

เอาชื่อหลวงปู่ดูลย์มาแอบอ้างสร้างฐานความน่าเชื่อถือ

แล้วภายหลังก็ริอ่านชี้ว่าครูบาอาจารย์พูดผิด

สมควรได้รับการขยายความจากตน

ด้วยมุมมองส่วนตัวจากการเห็นผลงานของหลวงพ่อปราโมทย์

ผมคิดว่าท่านไม่ได้สร้างแผนแอบอ้างชื่อเสียงครูบาอาจารย์

แต่เป็นการกระจายกลิ่นหอมของชื่อเสียงครูบาอาจารย์

ให้ขจรไกลออกไปทั่วโลกเสียมากกว่า

โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีโอกาสรู้จักพระป่ามากนัก

ก่อนหน้าหลวงพ่อปราโมทย์จะโด่งดัง

จะมีสักกี่คนที่เคยได้ยินชื่อของหลวงปู่ดูลย์

แม้ท่านขึ้นทำเนียบ "พระที่จะต้องไม่ถูกลืม" มานาน

นอกจากนั้น มีใครเคยได้ยินคำว่า "ดูจิต" บ้าง

แม้หลวงพ่อชาและพระป่าหลายท่านใช้คำนี้กันบ่อยๆ

ก็เพิ่งจะด้วยความสามารถ

ในการ "ทำให้เชื่อด้วยของจริง" ของหลวงพ่อปราโมทย์นี่เอง

ทำให้คำว่า "ดูจิต" กลายเป็นหลักปฏิบัติอันศักดิ์สิทธิ์

เป็นทางเลือกสำหรับชาวบ้านชาวเมืองที่ต้องการเข้าถึงแก่นธรรม

โดยยังต้องประกอบอาชีพการงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเองอยู่

สรุปคือคนส่วนใหญ่

รู้จักหลวงปู่ดูลย์และเห็นค่าคำสอนของท่านกันมากขึ้นเรื่อยๆ

เนื่องจากเป็นอาจารย์ทางธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์

ไม่ใช่หลวงพ่อปราโมทย์นำยี่ห้อหลวงปู่ดูลย์มาจุดพลุ

สร้างกระแสความนิยมให้ตนเอง

ทุกวันนี้ พอผู้คนหลั่งไหลไปที่สวนสันติธรรม

ก็จะได้เห็นรูปปั้นหลวงปู่ดูลย์ยืนเด่นเป็นสง่าก่อนเป็นอันดับแรก

(มีบางคนอุตส่าห์มองแง่ลบว่าไม่ดีไม่งาม

ค่าที่ปล่อยให้ท่านยืนตากแดดตากฝนอย่างน่าสงสาร

ก็ขอให้คำนึงว่าพระพุทธรูปในวัดทั่วโลก ต่างก็นั่ง ยืน นอน

ตากแดดตากฝนไม่ต่างจากนี้เหมือนกัน)

ส่วนข้อหาดัดแปลงคำพูดครูบาอาจารย์นั้น

ด้วยมุมมองส่วนตัว

ผมเห็นว่าเจตนาของหลวงพ่อปราโมทย์

ไม่ใช่ริอ่านปรับปรุงคำพูดของครูบาอาจารย์ตามอำเภอใจ

แต่เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีของคนรุ่นใหม่

คือเข้าใจว่าคำพูดแท้ๆของหลวงปู่ดูลย์นั้น

เดิมเป็นอย่างหนึ่ง ก่อนจะถูกตกแต่งแล้วค่อยสืบทอดมา

ตลอดจนเพื่อให้เข้าใจว่าเดิมทีหลวงปู่ดูลย์ตั้งใจสื่อความหมายแบบไหน

สรุปคือหลวงพ่อปราโมทย์อยากให้เข้าใจหลวงปู่ดูลย์ที่แก่น ไม่ใช่ที่เปลือก

ทว่าด้วยมุมมองของคนอื่น นี่อาจเข้าข่ายดูหมิ่นอาจารย์ตนว่าพูดไม่ชัด

จำต้องตกแต่งแก้ไขให้ถูกต้องด้วยฝีมือตน

ซึ่งภายหลังเมื่อหลวงพ่อปราโมทย์เล็งเห็นมุมมองของคนอื่นเช่นนี้

ท่านก็สั่งตัดต้นเหตุปัญหา

เช่นแก้ไขตัดทอนหนังสือบางเล่มเสีย

เอาความเห็นทั้งหมดของท่านออก

เหลือไว้เพียงส่วนที่ยึดว่าเป็นคำของหลวงปู่ดูลย์

แต่อาจช้าเกินการณ์

เพราะหลายคนปักใจว่าท่านเป็นลูกศิษย์คิดล้างครูไปแล้ว

พากันกระพือความเชื่อนี้ไปทั่วแล้ว

ในแง่ของมุมมองสรุปที่มีต่อการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์

ที่ช่วยอ่านวาระจิตของลูกศิษย์เป็นรายๆ

ว่านั่นคือสร้างความอ่อนแอขึ้นในสังคมชาวพุทธ

ด้วยวิธีรวบอำนาจชี้ขาดไว้ในตนแต่ผู้เดียว

ก่อให้เกิดกระแสความต้องการการพึ่งพา

ไม่อาจเจริญสติได้ด้วยความเข้มแข็ง

โดยมีการเปรียบเทียบเหมือนนกถูกหักปีก

ที่คงไม่มีวันบินได้ด้วยตนเอง

จากมุมมองส่วนตัว

ผมเห็นเป็นตรงกันข้าม

ถามว่าที่ผ่านมาเคยมีใครระดมฆราวาสจำนวนมาก

ให้เข้ามามีกำลังใจเจริญสติร่วมกันเท่านี้บ้าง?

ผมไม่ได้พูดถึงการระดมคนมาชุมนุมกัน

เพื่อสร้างความเชื่อ หรือความประพฤติในระดับศีลธรรมจรรยา

แต่ผมกำลังพูดถึงการระดมคนมาเข้าถึงแก่นธรรม

เจริญสติเพื่อระงับดับเหตุแห่งทุกข์ทางใจ

ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่แท้จริงของพระพุทธศาสนาเรา

ผมทำหนังสือ "ดูจิตปีแรก" ซึ่งเป็นการรวมงานง่ายๆของท่าน

แจกจ่ายเป็นธรรมทานไปทั่วประเทศ จนถึงบัดนี้นับได้สองแสนเล่ม

จึงได้รับฟีดแบ็กโดยตรงมากมายก่ายกอง

บางคนแค่อ่านอย่างเดียว

จากที่อ่อนแออยากฆ่าตัวตาย

กลายเป็นอยากอยู่ต่อเพื่อปฏิบัติธรรม

จากคนที่เคยมืดด้วยความไร้ศรัทธา

กลายเป็นมีศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็ง

จากคนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมภาวนาได้ผล

กลายเป็นคนที่เชื่อมั่นว่าตนมีสิทธิ์บรรลุมรรคผลได้ในชาตินี้

หลักฐานโดยย่นย่อเพียงเท่านี้

ควรแก่มุมมองสรุปว่าหลวงพ่อปราโมทย์ทำให้สังคมพุทธอ่อนแอแน่หรือ?

ถาม - คณะกรรมการเคยสนิทกับหลวงพ่อปราโมทย์มาก

น่าจะรู้เห็นอะไรมาก แล้วมาลาออกพร้อมกัน

มิเป็นการแสดงความไม่ชอบมาพากลหรอกหรือ?

ตอบ - กรรมการและคนใกล้ชิดของท่าน

มีแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ลาออก ไม่ใช่ทั้งหมด

ผมเองไม่ได้ใกล้ชิดหลวงพ่อปราโมทย์เท่าบุคคลเหล่านั้น

ไม่ได้ติดตามท่านไปไหนต่อไหนเหมือนบุคคลเหล่านั้น

แต่ภาพของผมก็รวมอยู่ในบุคคลที่มีความผูกพันกับท่านด้วย

เพราะทุกวันนี้มีคนได้อ่าน "ธรรมะจากพระผู้รู้" หลายหมื่นคน

ผ่านนิตยสารธรรมะใกล้ตัวซึ่งผมกับน้องๆร่วมกันสร้างขึ้นมา

และด้วยเหตุของความเป็นคนที่มีภาพผูกพันกับท่าน

ผมจึงพอจะรู้จากประสบการณ์ตรงบ้างว่าเกิดอะไรขึ้น

ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขน่าลำบากใจ

ทั้งนี้ ผมไม่ได้หมายความว่าผู้เกี่ยวข้องที่อ้างถึงข้างต้น

จะได้รับประสบการณ์แบบเดียวกับผม

ขอให้ทราบว่านี่เป็นเพียงประสบการณ์เฉพาะตนเท่านั้น

งานนี้สำหรับผมแล้ว

มีการเล่นงานเอากับจุดอ่อนของคนส่วนใหญ่

นั่นคือความกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง

ความกลัวว่าลาภ ยศ สรรเสริญ และความสงบสุขจะหายไป

เริ่มต้นจากย้อนหลังไปประมาณสองอาทิตย์ก่อนเกิดเหตุ

เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง เตือนว่าให้ระวัง

ถ้าไม่ถอนตัว ไม่หาหลุมหลบภัย

จะพลอยร่างพลอยแหไปกับหลวงพ่อปราโมทย์ด้วย

เพราะกำลังจะมีการถล่มท่านครั้งใหญ่ และเห็นทีจะรอดยาก

จากนั้น เพิ่งล่าสุดวันสองวันนี้เอง

มีใครคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก

พยายามส่งสัญญาณเตือนมาจากทางไกล

ว่าจะมีการเล่นงานผมทางกฎหมายเป็นรายต่อไป

หลังจากเอาผิดทางกฎหมายกับหลวงพ่อปราโมทย์ได้สำเร็จ

การยกเลิกกำหนดการเทศน์กะทันหันของสำนักพิมพ์ DMG ก็ดี

การขอระงับการเผยแพร่คำสอนของบ้านอารีย์ก็ดี

ตลอดจนการถอนตัวของคณะกรรมการสวนสันติธรรมก็ดี

อาจเกิดจากความคลางแคลงของบรรดาท่านผู้มีเกียรติ

เพราะรู้เห็นเรื่องไม่ดีใดๆของหลวงพ่อปราโมทย์หรือเปล่าผมไม่ทราบ

ทราบแต่มีการวางแผนอย่างชัดเจน

ยืนพื้นอยู่บนความเชื่อที่ว่า

ถ้าคนสนิทถอนตัวพร้อมกันทั้งยวง วิกฤตศรัทธาจะตามมา

เพราะผู้คนคงไปร่ำลืออย่างกว้างขวาง

ว่าพระรูปนี้ต้องมีบาปผิดติดตัวอย่างมหันต์แน่นอน

พระพุทธเจ้าตรัสว่าจิตมีธรรมชาติไหลลงต่ำ

คืออยู่ดีๆก็พร้อมจะมีความคิดร้ายๆกับคนอื่นอยู่แล้ว

ความจริงถ้าไม่มีแถลงการณ์ใดๆออกมาเลย

ทุกอย่างอาจอึมครึม กลายเป็นจิตวิทยามวลชนที่ทรงพลังกว่านี้

แต่เมื่อมี คำประกาศจากบ้านอารีย์ ชี้ความผิดของหลวงพ่อปราโมทย์ออกมา

ก็กลายเป็นว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร

เนื่องจากทุกคนมองว่าการชี้โทษทุกข้อของบ้านอารีย์

หาใช่ความผิดอุกฉกรรจ์อันควรเอาโทษขนาดต้องถล่มให้ล่มจมไม่

ความรู้สึกมวลรวมจึงกลายเป็นโล่งอก ไม่มีอะไรในกอไผ่

และมองตามๆกันว่าหลวงพ่อถูกประทุษร้าย

คราวนี้ความไม่ชอบมาพากลจึงไม่ได้ตกอยู่กับฝ่ายหลวงพ่อ

แต่กลับไปตกอยู่ที่กลุ่มบุคคลเบื้องหน้าเบื้องหลังการจัดการหลวงพ่อมากกว่า

ถ้าขอได้ก็ขอทุกคนอย่าเพิ่งก่นด่าหรือเคียดแค้นชิงชังกลุ่มบุคคลเหล่านี้

เพราะหากคุณรู้เบื้องหลังทั้งหมด

ก็จะมีความรู้สึกเห็นใจพวกเขาในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ไม่ใช่ในฐานะของเพื่อนที่กลายเป็นศัตรู

ผมบอกได้แค่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตา

เป็นอะไรที่เราจะอาศัยเพียงสมมติฐานว่าเคยสนิทต้องรักกันตลอดไม่ได้

คลื่นรบกวนทางความคิดคือตัวตัดสินชี้ขาดว่าศรัทธาจะโดนซัดพาไปทางไหน

ขอยกตัวอย่างบุคคลที่มีตัวตนจริง เคยเป็นคนสนิทหลวงพ่อปราโมทย์

และเกือบจะต้องถอนตัวไปสักรายหนึ่ง

เขาใช้นามแฝงในลานธรรมว่า Realize Now

อ่านความเป็นมาเป็นไป แล้วคุณจะมองเห็นกระบวนวิธีทำลายศรัทธาชัดขึ้น

ถาม - คนสนิทของหลวงพ่อที่ถอนตัวไป

ต่างก็เคยมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในตัวหลวงพ่อ

เหตุใดหลวงพ่อจึงรักษาศรัทธาไว้ไม่ได้?

ตอบ - แสงเทียนในความมืดนั้น

จะส่องสว่างได้ดีเมื่อคุณอยู่ไกลออกมาในระยะห่างหนึ่ง

แต่ถ้าอยู่ใกล้เกินไป บางทีเงาร่างของคุณเองอาจบดบังแสงเทียนไว้จนมิด

ทำให้รู้สึกคล้ายเปลวเทียนไม่มีแสงสว่าง หรือสว่างเพียงริบหรี่ได้

แนวทางการสอนแบบจี้เป็นคนๆของหลวงพ่อปราโมทย์นั้น

เลี่ยงไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดความคาดหวัง

ว่ายิ่งใกล้ชิดจะยิ่งมีสิทธิ์ได้ทางลัดถึงตัวถึงใจกว่าคนอยู่ไกลห่าง

แต่ข้อเท็จจริงคือเมื่อเป็นกันเองมากขึ้น

ก็อาจก่อให้เกิดความสนใจ เกิดความคาดหวังในตัวท่านต่างๆนานา

ดึงให้สติเผลอไปยึดเรื่องข้างนอกมากกว่าเข้ามารู้เรื่องข้างในได้ง่ายๆ

ผมกำลังบอกคุณๆว่าศรัทธาเท่ากัน แต่ยิ่งอยู่ห่าง

ความคาดหวังในการรับความช่วยเหลือด้วยทางลัดยิ่งน้อย

ความตั้งใจสดับฟังเอาไปปฏิบัติจริงยิ่งมาก

แทนที่จะสงสัยว่าทำไมหลวงพ่อรักษาศรัทธาคนกลุ่มน้อยไม่ได้

ผมอยากให้คุณฉุกใจคิดว่าทำไมเกิดเรื่องแล้วจึงไม่เกิดวิกฤตศรัทธา?

นั่นก็เพราะศรัทธาส่วนใหญ่อยู่ในระยะห่าง รับแสงแต่เพียงพอดี

มีแก่ใจเจริญสติอย่างจริงจัง จึงบังเกิดผลอันสุกสว่างแก่ตัว

เหมือนอาศัยเปลวเทียนเก่าต่อเปลวเทียนใหม่

รู้อยู่ข้างในว่าธรรมะที่เกิดขึ้นกับตนเป็นของจริง สว่างจริง

ส่วนของข้างนอกคือครูบาอาจารย์หรือแม้แต่พระพุทธเจ้า

จะจริงหรือไม่จริง สว่างหรือมืด ก็คงไม่สำคัญอะไรกับตนอีกแล้ว

ของจริงข้างนอกถูกบิดเบือนหรือลบให้เลือนไปได้

แต่ของจริงข้างใน อย่างไรก็ไม่มีทางทำให้กลายเป็นของปลอม

สรุปคือถ้าพยายามเข้าใกล้หลวงพ่อให้น้อยลง

ใส่ใจปฏิบัติจริงให้มากขึ้น

อาจมีสิทธิ์ประสบผลสำเร็จมากกว่าคนใกล้ชิดก็ได้

เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

ต่อให้จับสังฆาฏิ (ผ้าซ้อนทับจีวร) ของพระองค์ไม่ปล่อย

ก็ไม่ชื่อว่าอยู่ใกล้ท่าน

คนจะเห็นท่านจริงคือต้องเห็นธรรมเท่านั้น

คนเรามักลืมที่มาของตัวเอง

นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

เพราะแม้แต่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเอง

เลี้ยงดูตนมาจนเติบใหญ่

ก็มีน้อยคนที่ระลึกถึงพระคุณได้

เราจึงเห็นโลกนี้ว่ามีบางคนทิ้งพ่อแม่ได้

หรือกระทั่งฆ่าพ่อแม่เสียก็ได้ เมื่อลืมตัวลืมใจ

ธรรมชาติของคนโดยมาก ไม่ต่างจากกลุ่มนกน้อย

เห็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาก็แย่งกันเข้ามาเกาะ

แต่พอเห็นต้นไม้ทำท่าจะโค่นล้มก็แตกฮือเอาตัวรอด

น้อยคนจะทำตัวเหมือนกลุ่มช้างใหญ่

ที่เข้ามาอาศัยร่มเงาไม้ใหญ่สบายตัวแล้ว

พอเห็นต้นไม้จะโค่นก็ปักหลักช่วยกันค้ำยันเอาไว้

สรุปคือธรรมดาโลกครับ

ไม้ใหญ่ไม่ได้มีต้นเดียว

จะบินไปทางไหนก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจเฉพาะกาล ไม่ว่ากัน

ถาม - เกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว จะให้ทำใจเชื่อใครได้ด้วยวิธีไหน?

ตอบ - ทั้งโลกนี้จริงหมดด้วยตัวของมันเองเป็นธรรมดา

ความคิดของเราเท่านั้นที่ยากจะรับความจริงตามธรรมดาโลก

ขณะเกิดเรื่องราวแตกแยก

ข้อมูลที่มาจากอคติ ล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น

ส่วนการรับฟังข้อมูลด้วยใจเป็นกลาง

จะได้ข้อสรุปเป็นจริงในที่สุด

คิดถึงพระพุทธเจ้าไว้ แล้วใจจะอบอุ่น

เมื่อใจอบอุ่นพอ คุณจะค่อยๆรู้สึกว่าเริ่มสำรวจใจตัวเองได้

ดูให้ชัดว่าใจอยากรับฟังทางไหนให้สอดคล้องกับความอบอุ่น

ก็ขอให้เชื่อวาระแห่งใจในบัดนั้นเถิด

อย่ารู้สึกผิดถ้าคุณคิดไม่ดีหรืออยากถอยเท้าออกไป

ขณะเดียวกันอย่ารู้สึกว่าถูกต้องกับการหุนหันเข้าข้างใคร

ขอเพียงมีข้อมูลมากพอ

จะเกิดอะไรขึ้นกับการตัดสินใจก็คงต้องเป็นไปตามนั้น

ต่างคนต่างมีพื้นหลังไม่เหมือนกัน

แม้อยู่บ้านเดียวกันก็อย่านึกว่าต้องตัดสินใจเชื่อให้ตรงกัน

กรณีการขุดคุ้ยเอาอดีตไม่ดีไม่งามของใครมาแฉ

คุณควรถามตัวเองว่ามีใครบ้าง

ที่ทำแต่เรื่องดีเรื่องงามมาตลอด?

ถ้าคนเราลงตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามเสียอย่าง

อย่างไรก็ต้องขุดคุ้ยอะไรสักเรื่องมาประจานจนได้

ผมเห็นพระใดดังขึ้นมา ก็มีทั้งคนรักคนชัง

มีคนเชียร์ มีคนโจมตีเหมือนกันหมด

นึกว่าตีใครพังแล้วเอาคนใหม่ขึ้นมาแทนจะไม่โดนหรือ?

หรือว่าเมื่อใครคนหนึ่งถูกตีพังไปแล้ว

จะมีใครที่สมบูรณ์แบบ ทั้งพฤติกรรมในอดีต

และความงามพร้อมในปัจจุบันมาแทนที่ได้หรือ?

ประเด็นมันอยู่ที่ว่า

เราจะตั้งใจทำให้ใครคนหนึ่งพังเพื่ออะไรเท่านั้นเอง

ผลลัพธ์ไม่ได้ช่วยให้โลกดีขึ้นกว่าเดิมได้หรอก

ขอให้คำนึงว่าใจคนเราครุ่นคิดถึงแต่มุมมองของตน

ความเห็นของตน ตลอดจนการตกลงร่วมกันของหมู่พวก

ไม่ได้ผูกโยงกับประโยชน์ของคลื่นมหาชน

ถ้าใครอ้างให้คุณได้ยินว่าคิดถึงพระศาสนา ทำเพื่อพระศาสนา

ก็ควรดูที่ผลงานของคนคนนั้นดีกว่า

กรณีหลวงพ่อปราโมทย์ ผมรอฟังการชี้ผิดเอาโทษท่านอยู่

หากพบหลักฐานว่าผิดอาบัติร้ายแรงจริง

ก็ควรปรับสึกเสียตามกระบวนการ

ผมอาจเข้าร่วมช่วยขอร้องให้ท่านสึกด้วยอีกคนหนึ่ง

แต่นี่เท่าที่ทราบล่าสุด

จะมีการโจทก์เอาผิดดื้อๆโดยไม่มีหลักฐาน

หาว่าท่านผิดศีลข้อ ๓

หรือหาว่าท่านส่งเมลถึงผม บอกว่าสาวๆที่มาวัดน่าปล้ำหลายคน

ถ้าคุณไปได้ยินคำนี้ที่ไหน ก็ขอได้รับคำยืนยันจากผมว่าไม่จริง

อย่าว่าแต่ท่านจะพูดเฉียดเรื่องนี้ขณะเป็นพระ

แม้ครั้งเมื่อรู้จักกันฉันฆราวาส

ผมก็ไม่เคยได้ยินถ้อยคำคึกคะนองทำนองนี้

จากปากท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว

จริงๆแล้วข่าวเทือกนี้ช่วยให้ผมเองสบายใจด้วยซ้ำ

เพราะท่านคงไม่มีความผิดอะไรเป็นแน่

จึงต้องกุเรื่องโกหกขึ้นกล่าวหากันแบบไม่มีมูลความจริง

ถาม - คุณดังตฤณมีส่วนได้ส่วนเสียกับหลวงพ่อปราโมทย์หรือเปล่า?

ตอบ - คนส่วนใหญ่รู้จักผมจากหนังสือ "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน"

ไม่ได้รู้จักเพราะผมมีความเกี่ยวข้องอะไรกับท่าน

ท่านไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือให้

ท่านไม่ได้ช่วยคิดช่วยเขียนส่วนใดส่วนหนึ่ง

แล้วท่านก็ไม่ได้ช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยประชาสัมพันธ์

เพราะฉะนั้น ในแง่ชื่อเสียงแล้ว

ถ้าคิดถึง "ส่วนได้" ผมไม่น่าจะได้ผลประโยชน์อะไรจากชื่อเสียงของท่าน

ผมร่วมสร้างสวนสันติธรรมไปหนึ่งแสน

ทำบุญวันทอดกฐินที่สวนสันติธรรมปีละเป็นหมื่น

ถวายอุปกรณ์บำรุงธาตุขันธ์อีกเท่าใดจำไม่ได้ถนัด

แม้ตอนไปช่วยท่านสอนที่ศาลาใหญ่

นอกจากไม่มีค่าตัวให้ยังต้องควักเงินหย่อนตู้บริจาคอีก

เมื่อจะมีการจัดพิมพ์หนังสือบูชาครูบาอาจารย์ของท่าน

ก็ทุ่มเงินก้อนใหญ่ลงไปเป็นแรงเรียกกระแสสนับสนุน

แถมเมื่อสำนักพิมพ์ของตัวเองจะพิมพ์หนังสือ "ดูจิตปีแรก"

เพื่อแจกเป็นธรรมทานไปตามที่ต่างๆ

ผมก็ลงขันร่วมกับญาติธรรมอื่นๆอีกด้วย ไม่ใช่เป็นผู้รวบรวมอย่างเดียว

เพราะฉะนั้น ในแง่เงินทองแล้ว

ถ้าคิดถึง "ส่วนเสีย" ผมน่าจะเสียแบบไม่เห็นทางได้อะไรคืนจากท่านเลย

ตอนแม่ผมป่วยหนัก ท่านไปเยี่ยมและแผ่เมตตาให้แม่ถึงบ้าน

ตอนแม่ผมใกล้ตาย ท่านก็ไปให้กำลังใจจนแม่ผมเข้มแข็งขึ้น

ตอนแม่ผมตายแล้ว ท่านก็ไปช่วยวันเผาส่งแม่ขึ้นฟ้า

เพราะฉะนั้น ในแง่บุญคุณ ผมต้องจดจำไม่ลืม

ถาม - คุณดังตฤณเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์หรือเปล่า?

ตอบ - คำถามทำนองนี้เคยเป็นเหตุให้คิดเขียน

"ก่อนเกิดเป็นดังตฤณ" ขึ้นมา เพื่อให้เกิดความชัดเจน

แล้วก็จะได้ไม่ต้องตอบคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา

หรืออย่างน้อยก็จะได้ตอบน้อยลงกว่าเดิมบ้าง

คำถามนี้เหมือนมีอาถรรพณ์นะครับ

เพราะถามในที่สาธารณะกันหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

แต่มักมีเหตุให้ไม่ได้ตอบ

เพราะมักเป็นคำถามที่รวมๆปนๆกันมาหลายข้อก่อนหมดเวลา

ไม่เหลือเวลาพอให้ได้ไขข้อข้องใจ

เพิ่งจะมีตอนไปบรรยายที่คณะแพทยศาสตร์เชียงใหม่

ถามแล้วผมถึงได้ตอบชัดถ้อยชัดคำเป็นครั้งแรก

ใจความสรุปของคำตอบคือ

ผมเป็นลูกศิษย์ทางความรู้ของพระพุทธเจ้า

ผมมีหลวงพ่อพุธเป็นพระอุปัชฌาย์อบรมสั่งสอนตอนอายุ ๒๐

ส่วนหลวงพ่อปราโมทย์นั้น ผมได้ความรู้จากท่านมากมาย

แต่โดยความสัมพันธ์คือพี่กับน้องที่รักและนับถือกันมาก

ผมเคยอยากเชิดชูสนับสนุนท่าน

กำลังเชิดชูสนับสนุนท่าน

และจะเชิดชูสนับสนุนท่านไม่เปลี่ยน

ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ฉันพี่กับน้อง

แต่เพราะไม่เห็นใครที่ทำให้ฆราวาสตื่นตัวอยากเจริญสติ

ค้นหาแก่นธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้เท่าท่านต่างหาก

ถ้าไม่ใช่ด้วยเหตุนี้แล้ว ต่อให้สนิทกันขนาดไหน

ผมก็คงไม่ใส่ใจร่วมผลักดันให้ผู้คนมารู้จักท่านอย่างที่เห็น

พบหน้ากันครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อนสมัยท่านเป็นฆราวาส

ท่านหันไปบอกลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งที่นั่งข้างๆว่า

ผมมาคนละแบบกับท่าน ขยายความคือ

ของท่านเริ่มต้นและดำเนินไปด้วยการเน้นดูอาการของใจ

ส่วนผมเริ่มต้นและดำเนินไปด้วยการเน้นดูสภาพทางกาย

แต่ไม่ว่าจะเริ่มต้นและดำเนินด้วยการเน้นกายหรือใจ

จุดสรุุปก็คือประสบการณ์เห็นกายใจไม่เที่ยงอย่างทั่วถึง

เห็นว่าทั้งกายและใจนี้ไม่ใช่ตัวตน

ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

ตรงตามจุดมุ่งหมายเชิงปฏิบัติอันสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา

ความรู้และประสบการณ์บนเส้นทางเจริญสติของท่าน

ตลอดจนความสามารถในการใช้คำอธิบายสภาวะ

ท่านก็เหนือกว่าผมมากนัก

แม้มีประสบการณ์เหมือนๆกัน

แต่ผมก็ใช้คำไม่ได้เหมือนท่าน

เช่น เมื่อจิตกับกายแยกกัน จะรู้สึกเหมือนมีช่องว่างระหว่างกายกับจิต

ตรงนี้มีบัญญัติไว้เป็นมาตรฐานตามตำราคือ "นามรูปปริจเฉทญาณ"

และตอนเกิดประสบการณ์ดังกล่าว

ผมก็จำแค่ "นามรูปปริจเฉทญาณ" ไว้กำกับภาวะ

คือบอกตัวเองว่าขณะนี้เกิด "นามรูปปริจเฉทญาณ"

หรือเมื่อครู่ "นามรูปปริจเฉทญาณ" ตั้งอยู่และหายไปแล้ว

จิตตกกลับมาสู่ภาวะสามัญ ไร้ญาณอันเป็นทางสู่ความพ้นทุกข์แล้ว

ต่อเมื่อฟังคำอธิบายสภาวะแบบง่ายๆจากท่าน

จึงเป็นจุดหักเหสำคัญ เมื่อพูดกับคนอื่น

ก็เริ่มรู้จักใช้คำง่ายๆ ฟังแล้วรู้เรื่องเหมือนท่านบ้าง

(ซึ่งต่อมาก็พบว่าแม้ใช้คำง่ายขนาดไหน

ก็ไม่มีทางฟังรู้เรื่องอยู่ดีสำหรับคนไม่ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกัน)

สรุปคือผมจำเป็นต้องบอกว่า "ไม่ใช่ลูกศิษย์ท่าน"

เหตุผลสำคัญคือเพื่อให้ชัดเจนว่าทำไมบางคำพูดจึงเหมือนกัน

แต่บางคำจึงดูขัดกัน โดยเฉพาะแนววิธีเริ่มเจริญสติ

มันเป็นเรื่องของพื้นหลังและการตั้งต้นประสบการณ์ทางธรรม

ไม่ใช่เรื่องของการไม่ลงรอยเดียวกัน

ท่านเคยบอกกับผมว่าคงต้องแยกกันทำงาน

ไม่เช่นนั้นคนจะสับสนได้

แต่หลายปีต่อมามีคนกังขา ผมพูดอย่าง ท่านพูดอีกอย่าง

แล้วนิสัยคนเราก็ชอบเข้าทางโน้นทีทางนี้ทีเพื่อย้ำความแน่ใจ

ผมเห็นเป็นวี่แววความขัดแย้งระยะยาว

จึงไปกราบและช่วยท่านสอนที่สวนสันติธรรมให้คนเห็นเสีย

เป็นอันระงับความสงสัยเสียได้ว่าใครยอมรับนับถือใคร

ถาม - หลวงพ่อปราโมทย์สำคัญอย่างไร

คุณดังตฤณถึงยกท่านอยู่คนเดียว?

ตอบ - ผมไม่ได้ยกท่านคนเดียว

ผมพูดเสมอว่าคนที่มีบุญคุณให้ความรู้กับผมมีใครบ้าง

แล้วก็ยกย่องเสมอว่าปราชญ์ทางพุทธท่านใดน่ากราบไหว้บ้าง

เพียงแต่อาจจะกระจัดกระจาย คนส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยเห็น

เห็นแต่ที่ผมยกท่านเป็นคอลัมน์ยืนโรงคือ "ธรรมะจากพระผู้รู้"

ซึ่งมีมาในนิตยสารธรรมะใกล้ตัวโดยตลอด

ท่านสำคัญแค่ไหน ผมดูจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับพุทธศาสนา

พุทธจะพังเพราะฆราวาสไม่รู้ ไม่ใช่เพราะพระไม่ดี

พูดอย่างนี้อาศัยเหตุอะไร?

เหตุคือคนเราอยู่ๆเกิดมาเป็นพระเลยไม่ได้

ต้องเป็นฆราวาสก่อน

ตอนเป็นฆราวาสจะรู้หรือเข้าใจพุทธอย่างไร

พอเป็นพระก็มีแนวโน้มจะพัฒนาต่อยอดจากตรงนั้น

ถ้าเป็นฆราวาสที่รู้ไม่ดี รู้ไม่พอ หรือรู้ไม่ถูก

พอเป็นพระก็มีสิทธิ์หลงกับอะไรที่ไม่ถูกและไม่ดีพอได้

สถานการณ์ของพุทธในไทยทั้งอดีตและปัจจุบันเป็นอย่างไร?

พระส่วนใหญ่ท่องจำแต่บทสวดงานศพ

มีการสอนในชั้นเรียนนักธรรมว่ามรรคผล ฌาน ญาณ สมัยนี้ไม่มีแล้ว

แถมมีลูกชาวบ้านที่นุ่งเหลืองห่มเหลืองโดยไม่ได้พกความละอายเข้ากุฏิ

จึงใจกล้าหน้าทนเอาสื่อลามกเข้าไปสะสมในกุฏิกันมากขึ้นทุกที

ฆราวาสส่วนใหญ่เลยมีโอกาสกราบไหว้ก็เพียงพระที่ไม่ทำตามกติกา

ที่ตกลงไว้กับพระพุทธเจ้าในวันบวช

ที่ว่าจะบวชเข้ามาเพื่อจุดประสงค์สำคัญ

คือบำเพ็ญเพียรเพื่อเอามรรคผลนิพพานกัน

ส่วนพระที่ปฏิบัติจริง ก็มักอยู่ในที่ที่ห่างจากฆราวาส

หรือไม่ก็สอนฆราวาสเฉพาะในเรื่องบุญกุศลและศีลธรรมจรรยา

ซึ่งสมัยนี้ชาวบ้านมักเบือนหน้าหนีมากกว่าหันหน้าฟัง

ช่องว่างระหว่างฆราวาสกับพระจึงถ่างกว้างมาตลอด

แล้วฆราวาสที่ไหนจะเอากำลังใจมาเดินจงกรม นั่งสมาธิ

หรือเจริญสติเอามรรคผลนิพพานตามรอยบาทพระศาสดาได้เล่า?

อย่างมากก็อาศัยพุทธศาสนาเป็นบันไดไปสวรรค์กันเท่านั้น

จุดสรุปคือลงเอยว่าฆราวาสส่วนใหญ่มองไม่เห็น

ว่าแก่นพระศาสนาอยู่ตรงไหน

อย่าคิดว่าเรื่องเล็กนะครับ

ชาวพุทธที่ไม่รู้จักศาสนาของตัวเองยิ่งมีมาก

ก็ยิ่งเหมือนพุทธศาสนามีศักดิ์ศรีเป็นแค่ขอนไม้กันจม

ไม่ถึงขั้นเรือใหญ่ที่พร้อมพาไปถึงฝั่งแห่งความปลอดภัยตามที่เป็น

ฆราวาสมีความต้องการแค่ให้พระสวดให้ฟัง

หรือเทศน์เรื่องศีลธรรมง่ายๆให้รู้สึกว่าได้บุญ

พระส่วนใหญ่ก็จัดให้ตามนั้น เน้นท่องสวด

เน้นเทศนาเฉพาะศีลธรรมระดับต้นๆ ฟังง่ายๆ

หรือใส่ความเห็นส่วนตัว หยอดมุขให้คนฟังติดใจ

คนเขาถึงชอบพูดกันว่าศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดี

แล้วในความจดจำสืบๆมาก็คือทุกศาสนาเหมือนกันหมด

คือทำให้เป็นคนดี มีแค่หยิบมือที่เข้าใจว่าพุทธศาสนา

บอกทางให้พ้นจากความเป็นคนดีที่สีหน้าเศร้าสร้อยได้ด้วย

เมื่อผลงานของหลวงพ่อปราโมทย์เป็นที่ประจักษ์

ว่าชักพาคนอยู่บ้านมาเป็นคนเข้าวัดได้มหาศาล

ผมจึงไม่ลังเลที่จะสนับสนุนท่าน

ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมสนับสนุนท่านอื่น

แล้วก็ไม่ได้ประกาศว่าจะเจริญสติได้

ต้องมาลงให้หลวงพ่อปราโมทย์เท่านั้น

การเขียนทั้งหมดนี้

ใจไม่ได้เล็งอยู่ที่การช่วยกู้ชื่อเสียงให้หลวงพ่อปราโมทย์

แต่ในเมื่อชื่อเสียงของพระศาสนาผูกอยู่กับกรณีของท่าน

เนื่องจากรวมคนเข้าไว้ด้วยกันหลายฝ่าย

ฝ่ายรู้เรื่อง ฝ่ายไม่รู้เรื่อง ฝ่ายสมัครใจเดาโดยไม่รับฟังใดๆ ฯลฯ

ถ้าพอจะช่วยให้ชาวพุทธมีใจเป็นกุศลขึ้น สบายใจขึ้น หนักแน่นขึ้น

หลังจากเกิดกรณีหลวงพ่อปราโมทย์

ผมก็ถือว่าการลงแรงอธิบายครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว

จุดยืนของนิตยสารธรรมะใกล้ตัว

มีคอลัมน์ "ธรรมะจากพระผู้รู้" นำหน้า

ผมได้กราบเรียนท่านโดยตรงแล้วว่าจะให้คงไว้ต่อไป

ไม่ถอดออกตามคำขอของหลายฝ่าย

มิฉะนั้นเท่ากับเป็นการเสริมให้ผู้คนนึกว่าผมถอนตัวอีกคน

จึงขอประกาศเป็นทางการ

ว่าคอลัมน์ "ธรรมะจากพระผู้รู้" ในนิตยสารธรรมะใกล้ตัว

ต่อไปนี้จะอยู่ในการตัดสินใจและรับผิดชอบของผมเพียงผู้เดียว

ว่าจะให้อยู่หรือไม่อยู่ต่อ

ผมจะไม่ยกการตัดสินใจใดๆให้ใครแม้เป็นที่ประชุมทีมงาน

ถ้ามีการข่มขู่กันจะได้ข่มขู่ถูกตัว อย่าไปข่มขู่คนอื่นเลยนะครับ

ดังตฤณ

มกราคม ๕๓

หลวงพ่อปราโมทย์สอนถูกแล้ว

ลองหาอ่านพาหิยะสูตรก็จะรู้เอง

อนุโมทนากับผู้มีศรัทธาตั้งมั่นในหลวงพ่อปราโมทย์

และขอให้เจริญในธรรมทุกคน สาธุ สาธุ สาธุ

คำชี้แจงของสวนสันติธรรม ฉบับที่ ๙

เรื่องข้อกล่าวหาบางเรื่อง

ตามที่มีผู้กล่าวติเตียนหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในประเด็นต่างๆ หลายเรื่อง บางเรื่องสวนสันติธรรมได้แยกชี้แจงไว้ต่างหากแล้ว ส่วนกรณีที่ยังไม่ได้ ชี้แจง ก็ขอ ชี้แจง เป็นข้อๆ ดังนี้คือ

๑. การแสดงธรรมกระทบสำนักอื่นแทบจะทุกสำนัก ในลักษณะที่สื่อให้เห็นว่าการปฏิบัติของสำนักอื่นๆนั้นยังมีข้อบกพร่อง ยังไม่สมบูรณ์ ต้องเสริมด้วยวิธีของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

คำชี้แจง หลวงพ่อปราโมทย์ไม่เคยคิดจะแสดงธรรมเพื่อติเตียนแนวทางการปฏิบัติของสำนักอื่น แต่กล่าวเนืองๆ ว่า “ไม่มีวิธีการปฏิบัติแบบใดที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนแม้แต่การดูจิต แต่มีวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล” และ “ผู้ปฏิบัติพึงเลือกรูปแบบของวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมกับตนเอง วิธีใดทำแล้วเกิดสติ สมาธิ และปัญญาก็ใช้ได้ทั้งนั้น” สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ตั้งใจจะชี้ชวนให้เพื่อนนักปฏิบัติเห็นก็คือ ทำอย่างไรจะก้าวข้ามจากการติดเปลือกคือรูปแบบของการปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงแก่นธรรมตามที่ครูบาอาจารย์ท่านต้องการสื่อ ซึ่งแต่ละสำนักล้วนแต่ดีๆ ด้วยกันทั้งนั้น

อย่างไรก็ตามหากคำพูดหรือการกระทำใดๆ ของหลวงพ่อปราโมทย์ จะทำให้ครูบาอาจารย์ของสำนักต่างๆ รู้สึกว่าถูกกระทบ หลวงพ่อปราโมทย์ก็ขอกราบขอขมามา ณ โอกาสนี้ด้วย

๒. มีการตัดต่อ ตัดตอน ลบ เก็บสื่อการสอนอยู่เป็นระยะๆ

คำชี้แจง การแสดงธรรมด้วยวาจากับผู้ฟังธรรมที่อยู่ต่อหน้า แตกต่างจากการเผยแพร่ธรรมทางสื่อ เพราะการแสดงธรรมที่ผู้ฟังนั่งอยู่เฉพาะหน้า หากมีประเด็นที่อธิบายยังไม่ชัดเจน หรือผู้ฟังมีข้อสงสัยประการใดก็สามารถสอบถามผู้แสดงธรรมได้ทันที จึงต่างจากการใช้สื่อที่ต้องพิถีพิถันตัดส่วนที่ไม่ชัดเจน ส่วนที่อาจมีประเด็นที่ต้องซักถามเพิ่มเติม หรือส่วนที่หากฟังไม่ดีก็อาจเข้าใจผิดได้ ออก เพราะผู้ฟังทางสื่อไม่มีโอกาสถามปัญหาข้อสงสัยใดๆ ได้

๓. มีการกล่าวหว่านล้อม โน้มน้าว ชักจูง ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ว่า หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว รวมถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ

คำชี้แจง ในความเป็นจริงหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้กระทำเช่นนั้น เพียงแต่บางคราวได้เล่าถึงการละกิเลสของพระอริยบุคคลแต่ละชั้น ซึ่งก็เป็นไปตามพระไตรปิฎก และบางทีก็บอกเล่าถึงสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังมา ส่วนเรื่องอิทธิปาฏิหารย์ต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังหรือพบเห็นมา ก็เป็นเพียงส่วนเสริมเพื่อ “แก้เบื่อ” หรือ “แก้ง่วง” ของผู้ฟังธรรมเป็นครั้งคราวเท่านั้น ซึ่งวิธีการแสดงธรรมโดยเล่าเรื่องเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติมาแต่ครั้งโบราณกาล แม้ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาก็มีเรื่องจำพวกนี้อยู่มาก อันเป็นการอนุเคราะห์แก่ผู้ฟังเท่านั้น สำหรับการที่ญาติโยมจะคาดเดาเอาว่าหลวงพ่อปราโมทย์บรรลุคุณธรรมขั้นใดนั้น หลวงพ่อปราโมทย์ก็ได้ปรามอยู่เนืองๆ ว่าไม่สมควรคิด เพราะในยุคนี้ไม่มีผู้ใดมีสิทธิพยากรณ์มรรคผลได้ ในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ดำรงพระชนม์อยู่แล้ว จุดสำคัญที่หลวงพ่อปราโมทย์เน้น ไม่ใช่การ “ได้เป็น ได้มีอะไร” แต่อยู่ที่การ “ละกิเลสได้” เท่านั้น

๔. แก่นการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ใช้การทักวาระจิต ทายใจเป็นหลัก และเป็นการใช้อย่างสม่ำเสมอ ในทุกคราวของการแสดงธรรมทำให้เกิดการเสพติดของนักปฏิบัติ และเป็นวิถีทางการปฏิบัติแบบใหม่ ที่ผู้ปฏิบัติเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์จำนวนมาก ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ก็ไม่อนุญาตให้พระลูกศิษย์รูปใดกระทำเช่นนั้น และการบอกสภาวะของหลวงพ่อปราโมทย์ก็ผิด พึ่งพาอะไรไม่ได้

คำชี้แจง

๔.๑ ผู้ตั้งประเด็นไม่เข้าใจว่าอะไรคือแก่น และอะไรคือวิธีการ จึงไม่เคยเข้าใจหลวงพ่อปราโมทย์อย่างที่ผู้คนอีกมากมายเข้าใจกัน

๔.๒ แท้จริงแก่นคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์คือการเจริญไตรสิกขา (ศีล สมาธิและปัญญา) แต่ต้องเจริญด้วยความมีสติกำกับตลอดสายของการปฏิบัติ ซึ่งการที่บุคคลจะเกิดสติได้เนืองๆ จะต้องจดจำลักษณะเฉพาะ(วิเสสลักษณะ)ของรูปนามแต่ละอย่างได้แม่นยำ โดยการหัดรู้หัดดูสภาวะด้วยตนเองเนืองๆ ก็เมื่อศิษย์ที่หัดรู้หัดดูสภาวะแล้วเกิดความไม่แน่ใจ หรือจิตใจไปติดค้างอยู่กับสภาวะอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ชอบที่ครูบาอาจารย์จะเมตตาอนุเคราะห์ชี้แจงให้ทราบเมื่อจำเป็น

๔.๓ แม้ในสมัยที่หลวงพ่อปราโมทย์ศึกษาธรรมอยู่กับครูบาอาจารย์ ท่านก็บอกสภาวะที่หลงไปติดไปข้องให้เช่นกัน เช่นหลวงปู่สิมเคยเตือนหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ให้ติดอยู่กับอารมณ์ภายในที่ละเอียด โดยที่ไม่ต้องถามอะไรท่านเลย และท่านอาจารย์พระมหาบัว เคยเตือนว่า” ที่ว่าดูจิตนั้น ตอนนี้ดูไม่ถึงจิตแล้ว” เป็นต้น ดังนั้นการที่ครูบาอาจารย์แนะนำในเรื่องของสภาวะ จึงไม่ใช่เรื่องการปฏิบัติแบบใหม่อย่างที่ผู้ตั้งประเด็นเข้าใจผิด

๔.๔ ศิษย์ของหลวงพ่อปราโมทย์มีจำนวนมากมาย ส่วนใหญ่อาศัยเพียงการอ่านหนังสือหรือฟัง CD แต่สามารถปฏิบัติจนเห็นผลความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจได้ด้วยตนเอง โดยไม่มีโอกาสถามเรื่องสภาวะหรือสิ่งใดจากหลวงพ่อปราโมทย์เลย และแม้คนที่มีโอกาสถาม หากถามเพราะเสพติดก็จะถูกหลวงพ่อปราโมทย์กระหนาบทันที เนื่องจากหลวงพ่อปราโมทย์เน้นการพึ่งตนเองเป็นหลัก และไม่ชอบให้ศิษย์เคลิบเคลิ้มติดอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดแม้กระทั่งองค์ท่าน อนึ่งถ้าสังเกตให้ดี เราจะพบนักเสพติดครูบาอาจารย์อยู่ในสำนักปฏิบัติธรรมทั่วไป ดังนั้นการจะติดหรือไม่ จึงอยู่ที่ความเข้มแข็งหรืออ่อนแอทางจิตใจของแต่ละคนเป็นสำคัญ ไม่ได้เสพติดเฉพาะการมาคอยถามสภาวะจากหลวงพ่อปราโมทย์เท่านั้น

๔.๕ ไม่เฉพาะหลวงปู่ดูลย์ที่ไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ดูจิตผู้อื่น ถึงหลวงพ่อปราโมทย์ก็เจริญรอยตามหลวงปู่ดูลย์เช่นกัน เพราะได้ย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาว่าให้ดูจิตตนเอง แม้แต่ “ผู้ที่ออกประกาศตั้งข้อติเตียนหลวงพ่อปราโมทย์ในคราวนี้” ก็เคยถูกหลวงพ่อปราโมทย์ห้ามปรามมาแล้วว่าอย่าดูจิตผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่มีพยานรู้เห็นอยู่หลายคน

๔.๖ หลวงพ่อปราโมทย์บอกสภาวะผิดหรือถูก เจ้าตัวย่อมรู้ด้วยตนเอง แต่มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งคือ บางสิ่งที่ครูบาอาจารย์บอกนั้น บางคราวต้องใช้เวลาอีกหลายวัน หลายเดือน หรือหลายปี จึงจะเห็น หรือทำตามที่ครูบาอาจารย์บอกได้

๕. แนวทางการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ไม่มีขั้นตอนการปฎิบัติที่ชัดเจน จึงต้องอาศัยการถามตอบเป็นหลักนั้น ทำให้ไม่มีมาตรฐานทางธรรม เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นกับผู้ปฎิบัติ

คำชี้แจง

๕.๑ แนวคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจน คือหลักไตรสิกขา และมีเหตุมีผลในทุกประเด็น ทำให้ผู้ที่มีใจเปิดกว้างสามารถยอมรับคำสอนได้เร็วและแม่นยำ และเกิดความศรัทธาในพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาที่สมบูรณ์ด้วยเหตุผล สำหรับการแสดงธรรมแม้ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ทรงใช้วิธีถามตอบอยู่บ่อยครั้ง จนผู้ฟังเข้าใจหลักการและวิธีการแจ่มแจ้งแล้วจึงไปลงมือปฏิบัติ และมีหลายต่อหลายกรณีที่ท่านใช้การถามตอบปัญหา จนผู้ฟังบรรลุมรรคผลได้

๕.๒ สำหรับผู้ที่ถามปัญหา เขาย่อมรู้สึกว่าเขาจำเป็นจะต้องถาม จึงไม่ควรไปตำหนิว่าเขาฟุ้งซ่าน ส่วนบางคนที่ถามด้วยความฟุ้งซ่านจริงๆ หลวงพ่อปราโมทย์ก็ไม่ตอบคำถามอันไม่เกิดประโยชน์ต่อการปฏิบัตินั้น

๕.๓ ที่ว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนไม่มีมาตรฐานทางธรรมนั้น ยังไม่ชัดเจนว่าคำว่า “มาตรฐานทางธรรม” หมายความว่าอย่างไร แต่สวนสันติธรรมเห็นว่าคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์มีมาตรฐาน เพราะพยายามให้สอดคล้องกับพระปริยัติธรรมมากที่สุด

๖. คำตอบที่ได้จากหมู่ผู้สอนที่ได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อปราโมทย์ให้สอน ก็ขัดแย้งกันเอง จนนำมาซึ่งความสับสน เหนื่อยหน่าย เสื่อมความเพียรในการมุ่งหน้าเข้าสู่การปฎิบัติที่แท้จริง ขาดศรัทธาและความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของตนเอง ในการจะปฎิบัติธรรมให้ได้ผล

คำชี้แจง

๖.๑ การสอนกรรมฐานนั้น ไม่มีครูบาอาจารย์องค์ใด ท่านใด หรือผู้ช่วยสอนคนใดที่ได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อปราโมทย์ ที่จะสอนเหมือนกันทุกอย่าง เพราะจริตนิสัยและประสบการณ์การปฏิบัติของอาจารย์แต่ละท่านย่อมจะแตกต่างกัน เช่นหลวงปู่ดูลย์เน้นให้ดูจิต ในขณะที่ครูบาอาจารย์อีกหลายองค์เน้นให้ดูกาย ดังนั้นผู้เรียนจึงต้องเลือกอาจารย์ให้เหมาะกับตนเอง การเรียนกับหลายอาจารย์จนเกิดความสับสนแล้วจะบ่นว่าอาจารย์สอนต่างกัน จึงเป็นความบกพร่องของผู้เรียนเอง ไม่ใช่ความบกพร่องของอาจารย์ ด้วยเหตุนี้เองหลวงพ่อปราโมทย์จึงบอกอยู่เสมอว่า จะเรียนอย่างใดก็เอาสักอย่างหนึ่ง มิฉะนั้นจะเอาดีไม่ได้เลย

๖.๒ ผู้ศึกษาธรรมแนวหลวงพ่อปราโมทย์อย่างแท้จริงจำนวนมาก จะเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจนตนเองและผู้แวดล้อมรู้สึกได้ ความทุกข์ในชีวิตลดลง มีความสุข และเห็นผลการปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดศรัทธาแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนา อันนำไปสู่ความมีฉันทะที่จะพากเพียรปฏิบัติธรรมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ส่วนบางคนที่ไม่ชอบใจแนวทางที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน ก็สามารถเปลี่ยนไปปฏิบัติในแนวทางอื่นได้เสมอ เพราะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ทุกคนที่ศึกษาแนวทางนี้จะได้ผลเท่ากันทุกคน

๗. หลวงพ่อปราโมทย์ดูแคลนแนวทางการปฎิบัติที่ทำความเพียรในรูปแบบ และข้อวัตรปฎิบัติต่างๆ ของครูบาอาจารย์ต่างสำนัก ทำนองว่าเป็นทุกขาปฎิปทา ไม่เหมาะกับปัญญาชนคนเมือง ทำให้ล่าช้า สู้การทำความเพียรด้วยการฟังซีดีของท่านบ่อย ๆ ไม่ได้ นอกจากนั้น ท่านยังไม่ส่งเสริมการสวดมนต์ การทำวัตรเช้าเย็น ซึ่งถือว่าขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับปฏิปทาของครูบาอาจารย์ ยังมีข้อวัตรต่างๆ ที่ท่านละเลย เช่น การบิณฑบาตร เป็นต้น

คำชี้แจง

๗.๑ ผู้ตั้งประเด็นคงไม่เคยฟังคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ จึงไม่ทราบว่า หลวงพ่อปราโมทย์เน้นให้ทำความเพียรตามรูปแบบ หรือแม้กระทั่งการทำสมถกรรมฐาน เพียงแต่บางคนที่ทำความสงบแบบเคร่งเครียดหรือติดความซึมเซาเท่านั้น ที่จะให้หยุดการทำสมถกรรมฐานไว้ชั่วคราวก่อน เมื่อตั้งสติได้แล้ว ก็ต้องกลับมาทำใหม่

๗.๒ หลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้ดูแคลนผู้ที่มีทุกขาปฏิปทา และทุกขาปฏิปทาก็ไม่ได้เกี่ยวกับการเป็นคนเมืองหรือคนชนบท แต่เกี่ยวกับระดับความรุนแรงของกิเลสของบุคคลนั้น

๗.๓ หลวงพ่อปราโมทย์ไม่เคยกล่าวว่าการฟัง CD คือการทำความเพียร แต่กล่าวว่าการทำความตั้งมั่นของจิต และการมีสติรู้รูปนามตามความเป็นจริงต่างหาก คือการทำความเพียร

๗.๔ หลวงพ่อปราโมทย์ส่งเสริมการทำวัตรสวดมนต์ ทั้งในสวนสันติธรรมและทั้งผู้ปฏิบัติที่อยู่ตามบ้าน เพียงแต่ไม่เน้นการสวดมนต์พร้อมกันเท่านั้น ซึ่งวัดกรรมฐานหลายแห่งก็ใช้หลักการอันนี้ เพื่อไม่ให้ผู้ปฏิบัติต้องคลุกคลีกันมาก แต่ให้ปลีกตัวเร่งความเพียรให้เต็มที่ตามอัธยาศัย สำหรับเรื่องการออกบิณฑบาตนั้น สวนสันติธรรมได้มีคำชี้แจงไว้ต่างหากแล้ว

๘. การดูจิตในชีวิตประจำวันไปเลย โดยละเลยการปฏิบัติในรูปแบบ และการทำสมถะซึ่งเป็นพื้นฐานที่ก่อให้เกิดความตั้งมั่นของจิต ทำให้ไม่มีกำลังที่จะใช้ดูจิต ถูกอารมณ์ลากพาไป ซึ่งครูบาอาจารย์สำนักต่างๆ หลายสำนัก ล้วนมีความเห็นตรงกันว่า การทำสมถะมีความจำเป็นสำหรับทุกคน มิใช่บางคนเท่านั้น

คำชี้แจง

๘.๑ หลวงพ่อปราโมทย์เน้นอยู่ตลอดเวลาว่า ต้องรู้อารมณ์ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง และเน้นทั้งการเจริญสติในชีวิตประจำวันและการทำตามรูปแบบ

๘.๒ ส่วนที่ว่าครูบาอาจารย์หลายสำนัก เน้นว่าการทำสมถกรรมฐานจำเป็นสำหรับทุกคนนั้น ก็น่ารับฟังไว้ ในขณะที่ครูบาอาจารย์บางสำนัก ไม่ให้ทำสมถกรรมฐานเลยก็มี ส่วนหลวงพ่อปราโมทย์จะสอนแบบผสมผสาน คือใครควรทำสมถกรรมฐานก่อนก็ทำ ใครควรหัดเจริญสติไปก่อนก็ทำ แต่สุดท้ายก็ต้องมีทั้งความสงบและปัญญา แต่เพียงระดับความลึกของความสงบไม่เท่ากันเท่านั้น

๙. เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลวงพ่อมนตรีและหลวงพ่อปราโมทย์

คำชี้แจง สวนสันติธรรมได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ในคำชี้แจงที่ออกไปก่อนหน้านี้แล้ว

๑๐. หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช มีปฏิปทาสวนทางกับพระพุทธวจนะ ว่าด้วยการพยากรณ์อริยะผล ซึ่งเป็นวิสัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เป็นที่รับทราบกันดีว่ามีการพยากรณ์โสดาปัตติผลให้แก่ลูกศิษย์จำนวนอย่างน้อย ๖ ราย

คำชี้แจง หลวงพ่อปราโมทย์ไม่เคยพยากรณ์อริยผลให้ผู้หนึ่งผู้ใด และกล่าวอยู่เนืองๆ ว่า “เอกสิทธิ์ในการพยากรณ์มรรคผลเป็นของพระพุทธเจ้าเท่านั้น” อย่างมากก็ยอมรับว่าบุคคลผู้นั้นมีความเข้าใจธรรมะพอจะช่วยสอน หรือพอจะปฏิบัติด้วยตนเองต่อไปได้เท่านั้น

สวนสันติธรรมเห็นว่า กลุ่มผู้ตั้งประเด็นโจมตีหลวงพ่อปราโมทย์ควรศึกษาสิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อน มิฉะนั้นจะกลายเป็นการด่วนตัดสินผู้อื่นด้วยความรู้สึกแทนข้อเท็จจริง

หมายเหตุ ประกาศเมื่อวันที่ ๒๐ ม.ค. ๒๕๕๓

http://wimutti.net/forum/index.php?topic=2035.0

คำชี้แจงของสวนสันติธรรม ฉบับที่ ๘ (แก้ไข)

เรื่องการสร้างข้อมูลเท็จเพื่อใส่ร้ายป้ายสีหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ตลอดเวลาประมาณ ๒ ปีที่ผ่านมา ได้มีการสร้างข้อมูลเท็จนานาชนิดเพื่อสร้างความเสื่อมเสียให้กับหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช จนมีข่าวความเสื่อมเสียมากมายหลายเรื่องด้วยกัน

ข่าวความเสื่อมเสียทั้งหลายนั้น พอจะจำแนกได้หลายประเภทคือ (๑) ความไม่ดีงามก่อนที่จะบรรพชาอุปสมบท เพื่อปูพื้นให้เห็นว่าหลวงพ่อปราโมทย์เป็นคนไม่ดีมาก่อน (๒) ความไม่ดีงามในขณะครองเพศบรรพชิต เช่นการดูหมิ่นครูบาอาจารย์ของตนเอง และครูบาอาจารย์สำนักอื่นๆ การมีปัญหาเรื่องผู้หญิง การมีปัญหาเรื่องฉ้อโกง ทั้งโกงเงินวัดและเงินของญาติโยม ด้วยวิธีการนานาชนิด และการสอนกรรมฐานด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ

การสร้างข่าวความเลวร้ายเกือบทั้งหมดจะมีลักษณะสำคัญ ๒ อย่างคือ (๑) การบิดเบือนข้อมูลเก่า และ (๒) การสร้างข้อมูลใหม่ กล่าวคือ

๑. การบิดเบือนข้อมูลเก่า จะเป็นการนำข้อมูลที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย หรือไม่ปะติดปะต่อ มาบอกเล่าผ่านการพูด การเขียนหนังสือ การส่งอีเมล์ การโพสต์ความเห็น ฯลฯ โดยแต่งเติมและบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิดในทางเสื่อมเสีย เช่นเมื่อหลวงพ่อปราโมทย์เล่าว่า “เคยศึกษาธรรมะของท่านอาจารย์พุทธทาส แล้วเกิดมิจฉาทิฏฐิโดยสำคัญผิดว่าท่านสอนว่าตายแล้วสูญ ทั้งนี้เพราะศึกษาคำสอนของท่านอย่างไม่ถ่องแท้” ก็บิดเบือนเป็นว่า “หลวงพ่อปราโมทย์ปรามาสว่าท่านพุทธทาสภิกขุเป็นมิจฉาทิฏฐิ” หรือเมื่ออ่านข้อเขียนสมัยที่หลวงพ่อปราโมทย์ยังเป็นฆราวาส ก็โจมตีว่าเป็นการหลอกลวง ซึ่งเป็นการพูดโดยไม่มีหลักฐานใดๆ มารองรับเลย

๒. การสร้างข้อมูลใหม่ หลายกรณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่เป็นความผิดร้ายแรงสำหรับพระ จะมีการสร้างเรื่องและเผยแพร่ออกไปทาง internet บ้าง การพูดคุยบ้าง เมื่อข่าวแพร่ไปกว้างขวางจนไม่ว่าจะไปที่ใดก็มีคนพูดถึงเรื่องนั้น ก็จะเกิดภาพลวงตาว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะใครๆ ก็รู้เหมือนๆ กัน เช่นเรื่องที่ว่าหลวงพ่อปราโมทย์เขียนอีเมล์ไปเล่าเรื่องที่ผิดศีลข้อ ๓ ให้คุณดังตฤณฟัง ทั้งที่หากหลวงพ่อปราโมทย์จะทำเช่นนั้นจริง ก็คงไม่เปิดเผยให้คนอื่นรู้

บางกรณีก็ไม่ใช่เพียงการพูดหรือการเขียน แต่ถึงกับมีการจัดฉากเพื่อบันทึกภาพและเสียง เช่นมีการปล่อยข่าวว่าหลวงพ่อปราโมทย์เรียกร้องเงินทองจากหญิงคนหนึ่งซึ่งป่วยหนัก เพื่อแลกกับการช่วยรักษาโรคให้ ซึ่งเมื่อแรกที่สงฆ์สวนสันติธรรมได้ยินเรื่องนี้ ก็คิดว่าเป็นข่าวลืออย่างเลื่อนลอยเช่นเดียวกับข่าวอื่นๆ ต่อเมื่อทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงนึกได้ว่า น่าจะมีการจัดฉากในเรื่องนี้ขึ้นจริงๆ โดยในวันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนญาติโยมและสนทนากับพระอาคันตุกะเสร็จแล้ว และสงฆ์พากันกราบพระประธานในศาลาใหญ่พร้อมกันแล้ว ได้มีพระกราบเรียนหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนจะกลับเข้าห้องพักว่า ขอให้เมตตาช่วยรับปัจจัยทำบุญของหญิงผู้หนึ่งซึ่งป่วยหนักใกล้ตาย และญาติพาตัวมา เพื่อสงเคราะห์ให้เธอผู้นั้นได้ชื่นใจ (ปกติหลวงพ่อปราโมทย์ไม่รับการถวายสิ่งใดโดยตรงจากญาติโยมเพราะไม่ค่อยมีเวลา) เมื่อหลวงพ่อปราโมทย์ถามพระว่า “เป็นใครหรือ?” พระก็ตอบว่า “ไม่เคยเห็นหน้า”

จากนั้นพระได้เรียกคณะของคนป่วย(มีประมาณ ๔ คน) ให้มาถวายใบปวารณาที่ริมอาสนะสงฆ์ซึ่งมีคนเดินผ่านไปมาวุ่นวายอยู่ด้านข้าง โดยทั้งผู้ถวายและหลวงพ่อปราโมทย์ต่างก็ยืนอยู่ในที่เปิดเผยนั้นเอง จุดที่น่าสงสัยก็คือ มีหญิงคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ด้านขวามือของหลวงพ่อปราโมทย์ ได้ขออนุญาตถ่ายภาพและถ่ายวีดิโอด้วยกล้องถ่ายรูป อีกคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ทางด้านซ้ายได้ยื่นโทรศัพท์มือถือเข้ามาใกล้หลวงพ่อปราโมทย์เพื่อบันทึกเสียง และเมื่อหญิงสูงอายุที่ว่าเป็นคนป่วย ยื่นพานถวายใบปวาราณาและหลวงพ่อปราโมทย์รับแล้ว หญิงอีกคนหนึ่งที่ยืนประคองหญิงสูงอายุอยู่ทางด้านหลัง ได้ถามนำขึ้นในทำนองว่า “ทำบุญแล้วจะหายป่วยไหมคะ” ซึ่งคำถามเช่นนี้เป็นการบีบให้พระจำเป็นต้องพูดให้กำลังใจ เพราะคงไม่ใจร้ายพอที่จะกล่าวว่า “ตายแน่” หลวงพ่อปราโมทย์ก็ต้องตอบไปด้วยความเมตตาในทำนองที่ว่า “ทำบุญแล้วก็หายป่วยได้” และหลวงพ่อปราโมทย์ได้อธิบายขยายความให้อีกหน่อยหนึ่งว่า “แต่ขอให้คิดถึงบุญที่ทำแล้วบ่อยๆ จนจิตเกิดปีติ เมื่อจิตเกิดปีติแล้วโรคภัยบางอย่างก็พอจะหายได้” จากนั้นหลวงพ่อปราโมทย์ก็ส่งใบปวารณาให้พระซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ โดยไม่ได้สนใจว่าใบปวารณานั้นลงชื่อใครและเขียนยอดเงินไว้เท่าใด เพราะหลวงพ่อปราโมทย์มีปกติว่าไม่เน้นให้ลูกศิษย์ถวายเงินทอง แต่เน้นให้ปฏิบัติถวาย

สวนสันติธรรมเข้าใจว่าจะเป็นเหตุการณ์นี้เอง ที่อาจมีการทำให้กลายเป็นว่าหลวงพ่อปราโมทย์หลอกลวงให้มาทำบุญ เพื่อแลกกับการรักษาโรค

สวนสันติธรรมขอให้เพื่อนชาวพุทธทบทวนเรื่องราวเกี่ยวกับพระภิกษุผู้มีชื่อเสียง และถูกกล่าวโทษร้ายแรงในอดีตดูเถิดว่า แต่ละท่านถูกโจมตีด้วยข่าวร้ายแรงเพียงไม่กี่เรื่อง และกว่าจะหาข้อมูลมาเปิดโปงได้ก็ต้องใช้ความพยายามมากมาย แต่กรณีหลวงพ่อปราโมทย์กลับปรากฏข่าวความเสียหายผ่านทาง internet ต่อเนื่องเป็นปีๆ ซึ่งหากหลวงพ่อปราโมทย์ทำผิดจริง ก็ต้องนับว่าเป็นคนที่ทำความผิดได้มากมายในทุกด้าน และเป็นการทำความผิดที่ไม่มีการปกปิดด้วย จึงมีผู้รู้เห็นนำมาเปิดโปงได้ง่ายๆ ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความจงใจที่จะสร้างข่าวความเสียหายขึ้นมา ซึ่งการใส่ร้ายด้วยวิธีการอันเป็นเท็จทั้งหลายนี้ เป็นศิลปะที่กลุ่มผู้มุ่งทำลายหลวงพ่อปราโมทย์บางคนมีความเชี่ยวชาญมากเป็นพิเศษ

นอกเหนือจากการใส่ร้ายแล้ว กลุ่มผู้มุ่งทำลายหลวงพ่อปราโมทย์ยังมีแผนการทำงานต่อเนื่องอย่างเป็นขั้นตอน เช่น (๑) การดึงตัวบุคคลบางคนไปเป็นพวก ด้วยการข่มขู่บ้าง หรือโดยอาศัยความน่าศรัทธาของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง ซึ่งมีคนส่งข้อมูล “ความผิดร้ายแรง” ของหลวงพ่อปราโมทย์ไปให้ท่าน เพื่อให้ท่านกล่าวถึงหลวงพ่อปราโมทย์ในทางที่ไม่ดีต่อผู้ที่รู้จักหลวงพ่อปราโมทย์ เพื่อดึงบุคคลเหล่านั้นไปเป็นพวก แล้วนัดหมายให้กระทำการบางอย่างพร้อมๆ กัน เพื่อสร้างข่าวที่เสื่อมเสียให้เกิดขึ้น รวมทั้งให้บุคคลเหล่านั้นไปชักชวนผู้อื่นมาร่วมขบวนการณ์ด้วย (๒) การจัดฉากจะให้เกิดการจับกุมในที่สาธารณะ (๓) การเตรียมการแถลงข่าวภายหลังการจับกุม (๔) การติดต่อนักกฏหมายและผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำคดีพระดังในอดีต เพื่อเตรียมการฟ้องร้องกล่าวโทษ ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้น่าจะวิเคราะห์ได้ว่าเป็นการวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ซึ่งหากไม่ใช่ผู้ที่มีความอาฆาตแค้นหลวงพ่อปราโมทย์อย่างรุนแรง ก็ไม่น่าจะมีแรงจูงใจให้พยายามทำลายล้างหลวงพ่อปราโมทย์ได้รุนแรงและต่อเนื่องยาวนานถึงขนาดนี้ สมควรที่สังคมจะช่วยกันจับตาดูว่า ใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวและวางแผนการอันซับซ้อนนี้

หมายเหตุ ประกาศเมื่อวันที่ ๒๐ ม.ค. ๒๕๕๓

http://wimutti.net/forum/index.php?topic=2034.0

ธรรมะใกล้ตัวฉบับ Lite ฉบับวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๓

ขอคุยต่ออีกฉบับหนึ่งนะครับ เกี่ยวกับกรณีหลวงพ่อปราโมทย์ เพราะกำลังเป็นที่สนใจในวงกว้างขณะนี้

และเช่นเคยครับ ขอเขียนในลักษณะถามตอบเป็นประเด็นๆ

เนื่องจากเนื้อหามีความยืดยาว หากไม่แจกแจงตามข้อสงสัยในใจ

ก็อาจต้องอ่านต่อเนื่องแบบหลงประเด็นได้

ถาม – สไตล์ที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน

จัดเป็นการสอนในแบบของพุทธหรือไม่?

ตอบ – หลายคนกล่าวว่าการทักจิต ดักจิตของหลวงพ่อปราโมทย์

เป็นการทำให้หลงงมงายในตัวท่าน

และไม่ใช่วิธีการอันพึงปฏิบัติในขอบเขตของพุทธ

เพราะไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์ท่านใดทำกัน

ข้อเท็จจริงก็คือครูบาอาจารย์พระป่า

ท่านช่วยลูกศิษย์ลูกหาด้วยวิธีทำนองเดียวกันเป็นปกติ

เอาจากตัวผมเองเป็นพยานยืนยัน

เคยมีครูบาอาจารย์พระป่าหลายรูปเมตตาบอกให้ลัดๆตรงๆ

บางทีก็พูดชัดๆว่าทำงั้นใช้ได้ ทำงี้ยังไม่ใช่

หรือบางทีก็อาศัยภาษากาย

วันไหนเราทำตัวดีท่านก็ยิ้มแย้มพูดจาต้อนรับเอ็นดู

วันไหนเรามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็เบือนหน้าใส่โดยไม่ต้องสอบสวน

ให้เราสังเกตจากปฏิกิริยาอาการของท่าน

แล้วไปสำรวจตนเองเอาตามปัญญา

ที่สำคัญแม้ปัจจุบันก็มีหลายสำนัก

สอนแบบเดียวกับหลวงพ่อปราโมทย์อย่างไม่เป็นทางการ

คือไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าร่วม

เว้นแต่จะมีคนวงในที่รู้จักเป็นผู้ชักชวนเข้ามา

สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำมีข้อต่างที่สำคัญ

นั่นคือการสอนวงกว้างเป็นปกติ

แบบเปิดเผยต่อสาธารณะว่าท่านช่วยสอนให้แบบนี้ก็ได้

ถ้าใครปฏิบัติจริงก็สามารถรับฟังว่าดีขึ้น แย่ลง ตรงทาง ผิดทาง

และที่ท่านมักใช้คำง่ายๆไม่ค่อยลงรายละเอียด

ก็เพราะเวลาสำหรับเจาะเป็นคนๆมีไม่มากนัก

การจาระไนรายละเอียดให้แต่ละคนนั้น

กินเวลาไม่ต่ำกว่า ๕ นาที หรือให้ดีต้องเกิน ๑๐ นาทีขึ้นไป

ลองคำนวณจากกลุ่มคนที่ไปให้ท่านสอนในแต่ละวัน

ตีเสียว่าวันละ ๕๐ ถ้าจี้กันครบทุกคนก็ ๒๕๐-๕๐๐ นาที

ไม่มีทางที่ใครจะทำให้ครบได้ไหวทุกวัน

แต่รูปแบบถามตอบให้ได้ยินโดยทั่วกัน

ก็มีส่วนช่วยลดข้อจำกัดเรื่องเวลาลงไปได้

เพราะเมื่อได้ยินปัญหาและคำไขจากกรณีของคนอื่น

ก็มีสิทธิ์ตรงกับปัญหาเฉพาะตน

เมื่อได้คำตอบแล้วจึงไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงตาตนอีก

เรียกว่าเป็นการอาศัยมวลชน

เป็นเครื่องกระทบช่วยให้เข้าใจมาถึงปัญหาของตน

ไม่ใช่อาศัยมวลชนเป็นเครื่องกล่อมให้คล้อยตามกัน

ย้อนมาถึงตัวข้อสงสัยที่ว่า "นี่เป็นพุทธหรือเปล่า?"

ก็ขอให้ดูจากพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑

ที่มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเข้าที่สงัดแล้วเล็งดูด้วยญาณ

เกิดความสงสัยว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมามากมายหลายพระองค์

แต่พระพุทธศาสนาของแต่ละพระองค์ก็มีอายุไม่เท่ากัน

บ้างก็ตั้งอยู่ได้นาน บ้างก็ตั้งอยู่ได้เดี๋ยวเดียว

พอมีโอกาสพระสารีบุตรเลยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า

เหตุอันใดทำให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่นานบ้าง ไม่นานบ้าง

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสารีบุตร

พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี

พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน

เพราะเหล่าท่านทรงท้อพระหฤทัย

ที่จะแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย

บทธรรมต่างๆที่สาวกจะอาศัยท่องจำสืบต่อมีอยู่น้อย

อีกทั้งกฎกติกาวินัยสงฆ์ต่างๆก็ไม่มี

เมื่อพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกดั้งเดิมอันตรธานไป

พระพุทธศาสนาของพระองค์ท่านเหล่านั้น

จึงพลอยอันตรธานตามไปด้วยในฉับพลันทันที

ถามว่าพระองค์ท่านเหล่านั้นสอนพระสาวกอย่างไร

พระพุทธเจ้าพระนามว่า "เวสสภู"

ทรงกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ด้วยพระหฤทัยแล้วทรงสอน

ภิกษุสงฆ์ประมาณพันรูปในป่าอันน่ากลัวสำหรับมนุษย์แห่งหนึ่ง

โดยตรัสสั่งว่าพวกเธอจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น

จงทำในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำในใจอย่างนั้น จงละส่วนนี้

จงเข้าถึงส่วนนั้นอยู่เถิด ทำเช่นนี้อยู่ไม่นาน

จิตของภิกษุประมาณพันรูปนั้น

ก็ได้หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น

สรุปคือวิธีการสอนแบบทักจิต ดักจิตนี้

พระพุทธเจ้าในอดีตเคยทรงทำมาก่อน

และปัจจุบันก็ยังมีครูบาอาจารย์ทางพุทธมากมาย

ถือปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลลูกศิษย์กันอยู่

เป็นความสามารถประกอบกับ "ความเต็มใจเหนื่อย" ของแต่ละท่าน

จะไปหาว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตของพุทธศาสนาคงไม่ได้

แน่นอนว่าถ้าหลวงพ่อปราโมทย์เป็นต้นลัทธิใหม่

และสอนแบบดักจิตกันอย่างเดียว

ลัทธินี้คงอยู่ไม่ได้นาน

แต่นี่ท่านประกาศตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์

ย่อยเรื่องยากจากพระไตรปิฎกให้กลายเป็นเรื่องง่าย

ทั้งผ่านคำพูดและหนังสือมากมาย

จึงต้องว่าท่านเป็นกลจักรหนึ่งที่กำลังช่วยยืดอายุพระศาสนา

กระทำตนเป็นคนร่วมสมัยที่ยกระดับความเข้าใจของคนยุคเดียวกัน

ให้ลอยขึ้นพ้นความเชื่อแบบเดิมๆว่าศาสนามีไว้ขึ้นหิ้งก็พอ

ถาม – ถ้าแนวที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนเป็นพุทธที่ถูกต้อง

เหตุใดช่วงหลังจึงมีการประโคมข่าวว่าผิด

แล้วก็ได้ยินว่าพระมีชื่อเสียงเริ่มออกมาร่วมเคลื่อนไหวด้วย?

ตอบ – กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวแบบจะสึกพระให้ได้นั้น

หลายคนเคยอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อปราโมทย์มาก่อน

นอกจากจะตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องจากมา

ก็ควรตั้งคำถามเพิ่มด้วยว่าทำไมเพิ่งมาเอาผิดกับท่าน

ทั้งที่เคยขอให้ท่านช่วยเหลือในแบบเดียวกัน

กับทั้งพระมีชื่อเสียงที่เพิ่งได้ยินกันว่ามามีส่วนร่วม

ก็เคยนิมนต์หลวงพ่อปราโมทย์ไปเทศน์ในสถานที่ของท่านมาก่อนด้วย

หลายกรณีนะครับ คำถามมีความสำคัญกว่าคำตอบ

เพราะจนตายเราอาจไม่รู้คำตอบที่แท้จริง

แต่ถ้าตั้งคำถามถูก เราอาจได้ข้อสังเกตที่ทำให้ตาสว่างเดี๋ยวนี้เลย

ถ้าผิดจริง ทำไมจึงเป็นคุณมากกว่าโทษ?

สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำไม่ใช่ขายญาณวิเศษ

ไม่ใช่การขายความถูกต้องแม่นยำแบบหมอดู

แต่เป็นการสอนเจริญสติ ตามแนววิธีที่ท่านถนัด

ถ้าหากเห็นว่าผิด ไม่ดี ไม่ถูก

แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้ท่านสอนอยู่หลายปี?

คำตอบในใจของผม ซึ่งไม่ใช่คำตอบอันเป็นที่สุด

อาจมีความผิดพลาดได้ประสามนุษย์ธรรมดาเดินดิน

คือ ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องของมุมมองว่าถูกเซ็ตไว้อย่างไร

เมื่อเซ็ตไว้ให้เล็งเห็นประโยชน์ ทุกคนก็พร้อมใจเห็นว่าเป็นเรื่องดีงาม

แต่วันหนึ่งเมื่อถูกชี้นำจากบุคคลที่น่าเชื่อถือบางท่าน

ให้เล็งเข้าไปเห็นโทษจากการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์

เช่น สอนแล้วลูกศิษย์อ่อนแอ สอนแล้วไม่มีทางได้มรรคผล

สอนแบบนี้ไม่ใช่เยี่ยงอย่างแบบพุทธอันควร

สอนแบบนี้เป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรง

สอนแบบนี้เป็นไปไม่ได้ ต้องใช้วิธีหลอกลวงให้หลงเชื่อ ฯลฯ

หลายคนก็เอียงเอนไปเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจไป

โลกตั้งอยู่อย่างนี้

ใครเห็นอย่างไร เอาไปพูดกันอย่างไร

ขึ้นอยู่กับถูกครอบด้วยมุมมองแบบไหนจริงๆ

แล้วก็ต้องถามกลับอีกด้วยว่า

เพราะเหตุใดคนส่วนใหญ่จึงไม่เกิดความรู้สึกร่วม

ว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนผิด สอนไม่ดี

เพราะถ้าเกินกว่าครึ่งหนึ่งเห็นว่าไม่ดี

ย่อมต้องเรียกว่าเป็น "โลกวัชชะ"

หรือพฤติกรรมของพระที่ชาวโลกติเตียน

ที่คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ ไม่มีความรู้สึกร่วมไปด้วยกับข้อกล่าวหา

ก็เพราะหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้เน้นโฆษณาว่าอาตมามีดีนะ

อาตมารู้ใจคนนะ มาหาอาตมานะ อาตมาพยากรณ์มรรคผลได้นะ

จะมีก็แต่เห็นหรือได้ยินท่านพูดตรงไปตรงมา

เกี่ยวกับคนที่กำลังได้รับการสอน

ว่าเพ่ง ไม่เพ่ง เผลอ ไม่เผลอ รู้ดีแล้ว ยังรู้ไม่ค่อยดี

ซึ่งเจ้าตัวย่อมทราบแก่ใจว่าตรงหรือไม่ตรง

เวลาผู้คนบอกต่อกันถึงความสามารถของหลวงพ่อปราโมทย์

จึงบอกว่า นี่! หลวงพ่อรูปนี้สอนดีนะ

เป็นทุกข์อยู่แล้วหายทุกข์ได้ ท่านสอนให้ดูใจตัวเองง่ายๆ

ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย คนเมืองที่ทำมาหากินก็พอเอาดีทางนี้ไหว

แค่เข้าใจก็ทำได้ด้วยตนเอง พึ่งตนเองได้

ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องไปให้หลวงพ่อ "ตรวจการบ้าน"

ฆราวาสซึ่งเป็นคนเมืองนั้น ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพระมากหรอกครับ

แค่อยากเจออะไรเย็นๆ

แค่อยากหายร้อนจากความทุกข์ทางใจที่เป็นอยู่

แต่นี่ได้เกินคาด

ท่านพาไปเจอสูตรสำเร็จดับทุกข์สิ้นเชิงของพระพุทธเจ้าได้ด้วย

โดยไม่ต้องเสียสตางค์แม้แต่บาทเดียว

เกินกว่า ๙๐% ของลูกศิษย์ใหม่ไม่รู้เรื่องอริยบุคคลและมรรคผลด้วยซ้ำ

การประโคมกล่าวโทษท่านเรื่องอวดอุตตริมนุสสธรรม

จึงสร้างแนวร่วมไม่สำเร็จ

และผู้กล่าวโทษเองก็อาจต้องตอบคำถามไปอีกนาน

ว่าท่านอวดอุตตริฯตรงไหน ฟังซีดีกี่แผ่นก็ไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลย

สรุปคือถ้ากลุ่มโจมตีท่านจะเอาโทษผิดปาราชิก

ข้อหาอวดอุตตริมนุสสธรรม

ก็จำเป็นต้องหาหลักฐานที่ชัดเจนมามัดตัว

จะให้ดีคือรวมเอาคนเรือนหมื่นเรือนแสนที่ท่านสอน

มาช่วยกันประจานว่าสิ่งที่ท่านชี้ให้ดู

เรื่องจิต เรื่องความอึดอัด เรื่องความปลอดโปร่ง

มันไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องหลอกลวงล้วนๆ

นอกจากนั้น ควรจะต้องทำลายหลักฐานสำคัญ

คือดวงจิตที่สว่างไสวของชาวพุทธจำนวนนับไม่ถ้วนให้หมด

ไม่ใช่เทข้อมูลฝ่ายโจมตีหมดหน้าตักด้วยคำกล่าวซ้ำๆ

ว่าท่านอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรง

ดังที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่

ถาม – บางฝ่ายเรียกร้องให้ชาวบ้านสงบปากสงบคำ

แล้วปล่อยให้พระเคลียร์กันเองจะดีกว่าไหม?

ตอบ – ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์

ข้อวินัยจำนวนมากเกิดขึ้นโดยฆราวาส

คือชาวบ้านชาวเมืองที่เห็นภิกษุทำอะไรขัดตา

ไม่ควรแก่สมณสารูป ก็พากันเข้าไปร้องเรียนกับพระพุทธเจ้า

ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยของข้อเรียกร้อง ประสบความสำเร็จ

พระพุทธเจ้าบัญญัติวินัยขึ้นมา

อาศัยการเรียกร้องของชาวบ้านนั่นเอง

ฉะนั้น คงไม่ใช่สิ่งที่เราควรกล่าวว่าปล่อยให้นี่เป็นเรื่องของพระ

เพราะเรื่องของพระคือความเป็นความตายของพุทธศาสนา

และพระพุทธเจ้าก็ฝากให้พุทธบริษัท ๔

เป็นผู้ดูแลความเป็นความตายของพุทธศาสนา

กล่าวคืออุบาสกอุบาสิกาตาดำๆนอกวัดต้องร่วมดูแลด้วย

อย่างน้อยก็คอยสอดส่องพระไม่ดี

ตลอดจนคอยให้การสนับสนุนพระดี ทั้งทางตรงและทางอ้อม

การ "ตั้งข้อสังเกต" ไม่ดีไม่งามเกี่ยวกับหลวงพ่อปราโมทย์

จึงอยู่ในวิสัยฆราวาสที่พบว่าท่านผิดจริง

จะได้พยายามตีฆ้องร้องป่าว เนื่องจากท่านเป็นพระดัง

มีอิทธิพลกระทบกับพระศาสนาอย่างใหญ่หลวง

หากไม่ช่วยกันตั้งข้อสังเกต อาจเหมือนปล่อยให้ทำอะไรก็ได้

กระทบศาสนาถึงไหนแล้วก็ไม่รู้

แต่การ "เอาผิด" หลวงพ่อปราโมทย์ให้ได้

เป็นเรื่องของสงฆ์ที่ต้องดำเนินการกันอย่างชัดเจน

หลวงพ่อปราโมทย์ประกาศอยู่ว่าถ้าเห็นท่านผิดพลาด

ก็ให้สงฆ์ตั้งอธิกรณ์ขึ้นมา

จะได้เป็นที่รู้ผลโดยกระบวนการยุติธรรมทางสงฆ์

แต่เรื่องที่มีมา เกิดจากการลงความเห็นของคนกลุ่มเดียว

แล้วพยายามใช้ขอบเขตอำนาจของตน

ในการกดดันให้ท่านถอดจีวรทิ้ง

อ้างว่าทำเพื่อความชอบธรรม

เพราะเห็นท่านเป็นอันตรายและรอขั้นตอนไม่ได้

นับว่าไม่ให้ความยุติธรรมใดๆแก่ท่านเลย

ถาม – อย่างไรก็เห็นค้าน

ไม่อาจมองว่าหลวงพ่อปราโมทย์สร้างชื่อให้ครูบาอาจารย์

เพราะท่านบอกว่าครูบาอาจารย์ให้คำรับรองท่าน

ตอบ – เรื่องที่ว่าครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์

ได้ให้คำนิยมไว้อย่างไร เป็นเรื่องรู้เฉพาะท่านกับครูบาอาจารย์

ตลอดจนคนที่อยู่พร้อมหน้ากันในขณะนั้นๆ

เรารู้เฉพาะที่ว่าคนยุคนี้สมัยนี้ รู้จักใครแล้วได้อะไรบ้าง

บท บ.ก. ฉบับก่อนผมไม่ได้อยากช่วยอวดอ้างว่าท่านสร้างชื่อให้อาจารย์

แต่เนื่องจากเป็นข้อหาใหญ่

คือการกล่าวว่าหลวงพ่อปราโมทย์วางแผนขึ้นมามีอำนาจ

ด้วยวิธีแอบอ้างชื่อเสียงของพระป่าต่างๆ

ผมจึงอาศัยมุมมองลูกศิษย์ของท่านหลายต่อหลายคนที่เห็นค้าน

เพราะเดิมทีพวกเขาไม่รู้จักหลวงปู่ดูลย์หรือหลวงปู่หลวงพ่อท่านใดมาก่อนเลย

คนส่วนใหญ่รู้จักแต่หลวงตามหาบัวผ่านข่าวบริจาคทองบ้าง ข่าวคุณทองก้อนบ้าง

(นี่พูดถึงชาวบ้านทั่วไปจริงๆนะครับ ไม่เกี่ยวกับชาววัดหรือชาวใกล้วัด)

แต่พอคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์เริ่มกระจายไป

ครูบาอาจารย์ต่างๆที่หลวงพ่อปราโมทย์อ้างถึง

ก็กลายเป็นที่รู้จัก มีคนไปกราบไหว้ขอรับฟังเทศนา

หรือแม้แต่หลวงตามหาบัวที่มีคนคิดปรามาสกัน

พอมาศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์แล้วท่านปราม

ชี้แจงและแยกแยะอะไรๆให้เข้าใจ

คนเหล่านั้นก็พากันไปกราบขอขมา ขออโหสิกรรมจากท่าน

เป็นที่ทราบในหมู่ศิษย์หลวงปู่ดูลย์ว่าท่านเก็บตัวมาก

ไม่ออกกว้าง เลือกสอนเฉพาะคน

การที่ท่านจะเป็นที่รู้จักและจดจำสำหรับคนรุ่นหลัง

ก็ต้องอาศัยหมู่ศิษย์ที่มีเครดิตประจำยุคสมัย

ขอให้คำนึงว่าหลวงปู่ดูลย์กลายเป็นที่เคารพศรัทธาทันที

เมื่อหลวงพ่อปราโมทย์แจกแจงพระคุณของท่านให้สานุศิษย์ทราบ

ในทางเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็จะไม่เป็นที่รู้จัก

หาก "กลุ่มสงฆ์" ในปัจจุบันไม่มีภาพดีๆออกมาเป็นพยานพุทธคุณ

ขอให้นึกถึงฝรั่งที่ไม่มีคณะสงฆ์ดีๆมาช่วยให้เลื่อมใส

เขาก็เอาพระพุทธรูปไปวางพื้น

บางทีเอาเศียรพระไปตั้งคู่กับอะไรที่ชาวพุทธสุดทน

สรุปคือเราต้องอาศัยชีวิตเป็นๆสืบกระแสศรัทธาแทนกัน

และผมก็อยากชี้ว่าการอ้างถึงครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์

เป็นการส่งเสริมครูบาอาจารย์ให้โดดเด่น เป็นที่จดจำ

ไม่ใช่อาศัยครูบาอาจารย์หากิน

กรณีศิษย์เก่าของหลวงปู่ดูลย์ที่รู้จักท่านดีนั้นผมขออนุโมทนา

แต่ถ้าเราสำรวจตัวอย่างประชากรเอามาทำสถิติกัน

จะพบว่าเดิมมีชาวพุทธน้อยกว่านี้มากที่รู้จัก เคารพ จดจำ

ตลอดจนนำคำสอนของหลวงปู่ดูลย์มาใช้กัน

เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่อายุไม่ถึง ๒๐ มากมาย

รู้จักหลวงปู่ดูลย์ แล้วก็จำรูปร่างหน้าตาท่านได้ด้วย

บอกว่าเป็นอาจารย์หลวงพ่อปราโมทย์

ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาและพ่อแม่

และมันไม่น่าเป็นไปได้ที่เด็กรุ่นใหม่

จะหันไปสนใจหลวงปู่ดูลย์และคำสอนของท่านด้วยตนเอง

ฝากไว้นิดหนึ่งด้วยครับว่า

เบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมด

ขอความกรุณาอย่าฟังจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง

อย่าด่วนปักใจเชื่อเพียงเพราะเห็นว่าเขารู้ลึกกว่าเรา

เพราะผมฟังหลายๆกระแสที่พูดกันลึกๆนั้น

เจ้าตัวก็รับการถ่ายทอดข้อมูลมาผิดๆอยู่

ถ้ามีอะไรสำคัญจริงๆก็จะอัพเดทให้ทราบนะครับ

แต่ฉบับหน้าคงเขียนเรื่องอื่นแล้ว

ที่ต้องรบกวนให้ฟังเรื่องราวมาสองฉบับ

ก็เพราะท่านๆที่อ่านธรรมะใกล้ตัวอยู่นี้

มีไม่น้อยที่เคารพรักและศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์ครับ

ไม่อยากให้รับข่าวลือจนสับสนว่ายังควรมีแก่ใจอ่านต่อดีไหม

ถ้าชีวิตคุณดีขึ้น

ถ้าคุณมาหาแก่นธรรมของพระพุทธเจ้าได้

จะมีอะไรดีกว่านี้เล่า?

ดังตฤณ

มกราคม ๕๓

ขออนุโมทนา กับข้อความดี ๆ และเห็นด้วยอย่างยิ่ง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท