ปีใหม่โรงเรียนนกฮูก 2553


ปีใหม่โรงเรียนนกฮูก 2553

       วันนี้เป็นวันที่ 30 ธันวาคม 2552 เป็นวันที่โรงเรียนนกฮูกทั้งใหญ่และเล็กต้องมาจัดกิจกรรมร่วมกันอีกหนหนึ่ง นั่นก็คือกิจกรรมงานปีใหม่นั่นเอง

       นับย้อนหลังไปราว 2 สัปดาห์ น้องจ้าเล่าให้ผมฟังว่า เขาได้เต้นรำเพลงปีใหม่ “สวัสดีปีใหม่แล้ว....” ผมเองฟังไปก็รู้สึกเฉยๆ เพราะคิดว่าเป็นกิจกรรมการเรียนตามปกติของเขา ซึ่งลูกสาวจะต้องมารายงานให้ฟังทุกวันที่ไปรับกลับบ้าน “พ่อรู้มั้ยว่าวันนี้จ้าทำอะไร” เอาล่ะสิ ถามมาแบบนี้จะให้พ่อตอบยังไงดีล่ะ “ไม่รู้สิลูก วันนี้วันพุธ ลูกเรียนกับพี่ฝนใช่ไหม” (ในวงเล็บทำให้รู้ว่า พี่ฝนหรือครูฝนเป็นครูสอนวิชาศิลปะที่เด็กๆคลั่งไคล้เป็นที่สุด) “ทำนก” ผมตอบไปงั้นๆ “ผิด” เธอสวนทันควัน “ทำกบ” “ผิด” เธอสวนพร้อมทำหน้าที่รู้สึกว่าตัวเองเหนือพ่ออยู่ 100% “เอ..เอาไงดี ยังไงพ่อก็ไม่รู้อยู่ดีนั่นแหละลูก ลูกช่วยใบ้ให้พ่อหน่อยได้ไหม” คุณจ้าทำท่าคิดอยู่พักหนึ่งก็บอกผมว่า “วันศุกร์นี้วันอะไรล่ะพ่อ” (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันพุธที่ 23 ธันวาคม) “วันคริสมาสต์” พ่อมันก็รีบตอบไป “พ่อทายได้รึยัง” จ้ายังคงไม่ลดราวาศอก พ่อเลยตอบไปว่า “ต้นคริสมาสต์” “ถูกต้อง” ว่าแล้วพ่อมันก็ตื้นตันจนแทบน้ำตาร่วง คงรู้นะครับว่าพ่อมันตื้นตันด้วยเรื่องอะไร หนำซ้ำเมื่อกลับบ้าน เธอก็ถามคำถามเดียวกันกับป้าเขียด พี่เลี้ยงส่วนตัว เธอใบ้ไปว่า “ซานตาคลอส” แค่นั้น ป้าเขียดก็ตอบคำถามเธอได้ เก่งจริงๆ

       วันจันทร์และอังคารที่ผ่านมา น้องจ้าไม่ได้ไปโรงเรียน เพราะติดเชื้อไวรัสในช่องปาก เธอเป็น Herpangina ซึ่งเป็นการติดเชื้อที่ทำให้เกิดแผลในปากมากมาย เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุตัวนี้มีชื่อว่า Coxsackie virus เป็นตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคมือเท้าปาก ผมจึงให้หยุดเรียน เพราะกลัวว่าเธอจะเอาเชื้อไปเผื่อเพื่อนๆพี่น้องนกฮูก เลยได้รับรู้ว่า น้องจ้าพลาดการซ้อมเต้นรำไปอีก 2 วัน และก็ได้รู้อีกว่า เธอจะต้องเต้นรำจริงๆในวันที่ 30 ธันวาคมนี้ ในงานวันปีใหม่ของโรงเรียน โถ..ก็พ่อไม่รู้จริงๆนี่นา ว่าลูกต้องเต้นโชว์

       งานของครอบครัวมี 2 อย่างที่ต้องทำก่อนงานปีใหม่ อย่างแรกก็คือการหาของขวัญไปจับฉลากกัน โดยมีโจทย์อยู่ที่ว่า ของขวัญต้องมีมูลค่าไม่เกิน 100 บาท ซึ่งผมเองมีข้อแม้กับลูกๆว่า ของขวัญในปีนี้ ต้องไม่เกิดภาระกับสิ่งแวดล้อม (กวนดีไหมครับ) นั่นคือ การห่อของขวัญปีนี้ต้องห่อด้วยใบตองและใช้เชือกกล้วยแทนริบบิ้น ซึ่งทั้งสองสาวบอกว่า “OK ค่ะพ่อ” คราวนี้ก็มาถึงเรื่องหาของขวัญ ผมก็คิดว่า เราไม่ควรซื้อของที่คนอื่นไม่ได้ใช้ประโยชน์ แล้วเราจะเอาอะไรดีล่ะ มาสรุปตรงกันก็คือ ซื้อต้นไม้กันดีกว่า เพราะไม่เป็นภาระกับสิ่งแวดล้อมแน่ๆ ไม่ใช่พลาสติก ไม่ใช่ของเล่น มันปลูกได้ รดน้ำได้ และเติบโตได้ ว่าแล้ว คุณแม่สุดที่รักของทั้งสองสาวก็ไปหาซื้อต้นกุหลาบหินและกระบองเพชร มาอย่างละต้น เป็นอันว่า ไม่จำเป็นต้องห่อของขวัญเพิ่มเติมอีกเลย ถูกใจพ่อและลูกเป็นอย่างยิ่ง

       มาจนถึงเช้าวันนี้ ผมขออนุญาตเจ๊จิน (อาจารย์จิตเกษม) เพื่อลางานในช่วงเช้าไปร่วมงานปีใหม่ของโรงเรียนนกฮูก เพราะอยากดูลูกสาวเต้นรำใจแทบขาด

       ความเรียบง่ายดูเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดาของโรงเรียนนี้ เด็กๆเป็นผู้บริหารจัดงานเอง คุณครูเป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกเท่านั้น ภาพแรกที่เห็นก็คือ เขาจัดงานกันในสนามหน้าเสาธง มีรั้วของเวทีเป็นฟิวเจอร์บอร์ด วางง่ายๆแต่ดูดี พี่แป้งบอกว่า เด็กๆจัดกันเมื่อวานนี้นี่เอง มีการวางเก้าอี้เอาไว้ให้ผู้ปกครองนั่ง เด็กๆเขานั่งกันบนพื้น

       เริ่มด้วยการเข้าแถวเคารพธงชาติ จากนั้นคุณพรีมนำสวดมนต์เสียงใสไพเราะจับใจ แล้วก็เริ่มด้วยการอวยพรปีใหม่ด้วยการเต้นรำของน้องอนุบาล น้องจ้าก็เลยไปยืนหน้าแถวในทันที เธอยืนคู่น้องมิว เด็กเตรียมอนุบาล ว่าแล้วก็เต้นๆๆๆ เล่นเอาพ่อรัวกล้องไม่ยั้งเลยเชียวครับ

 

       ตามด้วยการเล่นไวโอลินของบรรดาเหล่าเซียนทั้งหลาย เม่น มาร์ค เข็ม ขิง บุ๊ค เตย และน้องชนม์ ซึ่งผมยกให้เป็น amazing ของวันนี้ เพราะว่าเธออายุเพียง 4 ขวบเท่านั้นเองนะครับ

                                                    เม่น

                                  เม่น มาร์ค


                                     เข็ม ต้นข้าว


                                    บุ๊ค เตย


                                    มาร์ค


                                    รวมพลพรรคเซียน


                                      น้องชนม์

 

       จากนั้นก็ต่อด้วยการมอบรางวัลแห่งปี ซึ่งเกิดจากการโหวตบ้าง ทำกิจกรรมพิเศษบ้าง ผมพอจะสรุปดังนี้นะครับ

       Popular vote ฝ่ายหญิงคือเข็มและหนุน ฝ่ายชายคือแฮมและขาล

                                      แฮม

                                     ขาล

                                    เข็ม

                                       หนุน

       มนุษย์สังคม รางวัลนี้มีความพิเศษ เพราะว่าเขาเริ่มจากการทำ sociogram โดยการเขียนชื่อนักเรียนทุกคนลงในกระดาษ จากนั้นก็ให้เด็กมาโยงชื่อตัวเองไปหาเพื่อนคนที่อยากทำงานด้วย ซึ่งคนที่ได้คะแนนสูงมีอยู่ 4 คน คือ ปอนด์ นนท์ ขาล และน้องขิม

                              ปอนด์

                                 น้องขิม

                                               นนท์

       Mister brain tank คือคนที่มีความรู้มาเล่าให้เพื่อนๆฟังหน้าชั้นตลอดเวลา นั่นก็คือ แฮม คนต่อมาคือแทน คนนี้เป็นอัจฉริยะเรื่องปลา เด็ก ป. 1 ที่คลั่งไคล้ปลาอย่างรุนแรง เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักมีนวิทยา ผมเชื่อว่าอย่างนั้นนะครับ และทุกครั้งที่เขาไปเที่ยวมา ก็จะหยิบเอาต้นไม้บ้าง ปลาบ้าง มาบรรยายสรรพคุณหน้าเสาธงทุกครั้งไป ซูฮกจริงๆ

                                              แทน

 

       Mister clean ได้แก่ ฮานีฟ ป. 4 คนนี้จะเป็นบุรุษนักทำความสะอาดครับ สกปรกที่ไหน เธอเก็บเกลี้ยง จนเพื่อนๆและคุณครูต้องมอบรางวัลเพื่อเป็นการขอบคุณ

                                  ฮานีฟ

 

       เมื่อมอบรางวัลกันเสร็จเรียบร้อยก็เป็นการแสดงของพี่ๆชั้นต่างๆ และการเล่นเกม เล่นกันสนุกจนตัวโยน ลืมกติกาบ้าง มั่วบ้าง ก็น่าจะเป็นธรรมชาติของเด็กๆ ซึ่งก็ไม่มีใครร้องเรียนเหมือนเวลาที่พวกผู้ใหญ่เล่นเกมกัน

       ผมต้องกลับก่อนในช่วงเที่ยง ปล่อยให้สองสาวกินข้างเที่ยงที่โรงเรียน แล้วฝากเพื่อนพาเธอกลับบ้าน สวัสดีปีใหม่ครับ

หมายเลขบันทึก: 324212เขียนเมื่อ 31 ธันวาคม 2009 00:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (35)

เด็กๆเก่งนะคะ โรงเรียนนี้ไม่ธรรมดา

สวัสดีปีใหม่ค่ะ :-)

มาชมความน่ารักของเด็กๆค่ะ

เห็นแล้วชื่นใจจังนะคะ

แม่นีโอก็ไป งานปีใหม่ ที่โรงเรียนลูกเช่นกันค่ะ

ตั้งใจเขียน blog ไว้เพื่อเป็นความทรงจำถึงช่วงเวลาแห่งความสุจในการเลี้ยงลูกค่ะ

สวัสดีปีใหม่ 2553 จ๊ะ

เข้ามายิ้มๆ กับภาพกิจกรรมที่น่ารักและประทับใจมากๆ

น้องจ้าเต้นได้สวยมากเลยนะค่ะ ดูมืออ่อนช้อย นัยน์ตาแป๊ว

น้องแป้งก็เล่นกิจกรรมกีฬากระโดดได้สูง เหมือนกับหนังจีนเล่นกำลังภายในเลยคะ ฮิ..ฮิ..ยิ้มหวานน่ารักมากๆ คะ

เมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ป้าก็ได้สวดมนต์ข้ามปีท่ามกลางแสงจันทร์ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงแล้วด้วยนะค่ะ

ครับพี่อุบล

โรงเรียนนี้ไม่ธรรมดา

ครับพี่อุบล

โรงเรียนนี้ไม่ธรรมดา

  • สวัสดีปีใหม่ค่ะ อาจารย์
  • เด็กๆๆน่ารักๆๆๆค่ะ
  • มีความสุขมากๆนะคะ

จากภาพที่ได้ดู อย่างใกล้ชิด ด้วยฝีมือหมอแป๊ะ

ได้อารมณ์และบรรยากาศของวันปีใหม่ เกิดในจิตใจตลอดเวลา

ที่แวะเข้ามาดู

ขอบคุณค่ะ

นูรุล(ห้ามเรียกเพนกวิน อิอิ)

สวัสดีค่ะอ.ธนพันธ์ ยังจำกันได้ใช่ไหมคะ

หนูแอบเข้ามาอ่านเป็นครั้งแรก

โรงเรียนนี้จัดกิจกรรมสร้างสรรค์ดีนะคะ

มีแจกรางวัลน่ารักๆ ที่เสริมแรงทางบวกให้เด็กทำความดี

แอบฮาวิธีห่อของขวัญของอาจารย์ ใบตองกับเชือกกล้วยเลยหรอคะ

เก๋มากกกกกกกกกกกกกก ฮ่าๆๆๆ แต่ไม่ได้ห่อจริงๆ ใช่ไหมคะ

สาเหตุที่มีโอกาสได้เข้ามาชม blog ก็คือ

วันนี้ได้อ่านวารสารคณะแพทย์ค่ะ ของปี 52

ที่อาจารย์เขียนเกี่ยวกับ ผ่าศพเด็ก น่ะ

ตอนแรกนิก็อ่านเนื้อหาไป ไม่ได้สนใจชื่อคอลัมน์+ชื่อคนเขียน

อ่านสนุกจนต้องหยิบมาอ่านพลางรอหน้าห้องตรวจ

อ่านยังไม่ทันจบ ถูกเรียกเข้าไปตรวจเสียก่อน(หยิบติดมือเข้าไปในห้องตรวจด้วยนะคะ)

ตรวจเสร็จ ไม่ไปรับยงรับยาแล้ว ขออ่านให้จบก่อน

ตอนท้ายมีบอกลายแทงให้ไปอ่านต่อใน blog

หนูก็อ้าววววววววววววว thanapan!!!

เงยหน้าไปดูชื่อคอลัมน์+ชื่อคนเขียนแล้วฮาก๊ากเลย

ไม่ใช่คนอื่นคนไกลนี่เอง :)

.... ไม่รู้จะจบว่าไง 555 "จบ" โอเค ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว

สวัสดีปีใหม่นะคะ

สวัสดีครับนูรุล

ยินดีที่ได้พบอีกครั้งนะครับ

ขอบคุณที่อ่าน ถ้าจะให้ดีก็ลองวิเคราะห์ดูนะครับ ว่าผมกำลังสื่อสารอะไรให้กับคนอ่าน ในบทบาทหนึ่งก็คือการเป็นหมอ ที่ต้องรับผิดชอบศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กและสตรี และอีกบทบาทหนึ่งก็คือสมาชิกของคณะแพทย์ ของโรงพยาบาล และอีกหลายสมาชิก ที่เราต้องร่วมกันช่วยเหลือและจรรโลงซึ่งกันและกัน

สวัสดีครับ

บทความนั้นมีหลายประเด็นนะคะ

มีเรื่องเด็กที่(ท่าทางจะ)ถูกทำร้าย(แต่เหมือนจะไม่ได้กล่าวถึงสาเหตุการเสียชีวิต??)

อ่านแล้วก็ทั้งสงสารเด็ก ทั้ง..โกรธแค้น(ละมั้ง)คนที่ทำกับเด็กได้ลงคอ

ซึ้งกับคำลงท้ายที่ขอให้เด็กได้ไปเกิดกับคนที่ดีกว่านี้ค่ะ :)

เรื่องการจัดการกลิ่น...ที่เขียนออกแนวเหน็บแนมนิดนึง(รึเปล่านะ)

หรือว่าผู้พูดเหน็บแนมเองแล้วอาจารย์ก็ quote มาเลย

หนูเคยดูฉากผ่าชันสูตรศพค่ะ(ในหนัง silence of the lamb)

ศพจมน้ำ สภาพใช้ได้เลย ดูหนังแล้วเหมือนกลิ่นจะลอยมาจริงๆ เลย

แม้ว่าจริงๆ หนูไม่เคยได้กลิ่นหรอกค่ะ แต่คิดว่ามันคงเหมือนเวลาสัตว์ตาย?

นับถือพี่หมอๆ ทีทำงานด้านนี้เลยนะคะ

มันเป็นงานเรียกร้องความยุติธรรมเลยอ่ะ แต่เนื้องานไม่น่าพิศมัยเอาซะเลย

ยิ่งตอนอาจารย์บรรยายถึง "พยาน" นับหมื่น >_< ขนลุก หนูไม่ชอบหนอนค่ะ

คงไม่กล้าแม้แต่จะมองศพเลย แต่พี่หมอต้องทำยิ่งกว่ามองหลายเท่านัก นับถือจริงๆ ค่ะ

ปล.ขอให้ปีนี้มีระบบการจัดการกลิ่นที่ดีขึ้นนะคะ :)

สวัสดีค่ะคุณหมอ.....สวัสดีปี่ใหม่

ไม่ได้เข้ามาคุยกับคุณหมอเลย....ยุ่งสุดสุด

กลับใต้ครั้งนี้ไม่ได้เที่ยวไหนเลยค่ะ ไปแค่ทุ่งท่าลาดกับ...สวนอะไรไม่ทราบ หน้าเมืองหรืออะไรนี่ละค่ะ

เจอคุณป้าของแฟนเค้ารู้จักคุณหมอด้วย

วันนี้มาสมัครงาน(ใหม่)ทางอินเตอร์เนทอ่ะค่ะ

ที่หายไปเพราะงานเลิก3-4 ทุ่มทุกวันเลย

มีวันนี้แหล่ะเลิก18.30น. เลยบอกแฟนว่าขอเวลาเล่นเนต1 ช.ม จะสมัครงานใหม่

คุณหมอว่าจอยไปสมัครเป็นครูดีมั้ยคะ มีความสุขกับอาชีพ(เพราะเรารักเด็ก)แต่เงินน้อย

ครูใหญ่ร.รลูกแกก็ชวนแต่ไม่อยากเป็นครูร.รลูกเพราะน้องจิแกอ้อนมาก ติดแม่มาก ไม่ยอมให้ใครกอดแม่เลยอ่ะค่ะ คือว่าไปอยู่กับน้องจิในห้องด้วย3 วัน มันไม่ยอมให้ใครกอดแม่มันเลย แล้วเด็กก็เหมือนโหยหาความอบอุ่นหรือไงไม่ทราบชอบให้กอดเรียกเราว่าแม่ทุกคำเลย บางคนเดืนมาบอกว่าคุณแม่คะ หนูคิดถึงคุณแม่ของหนู(ร้องไห้น้ำตาคลอ)

สรุป....ว่าจอยต้องออกไปจากที่ทำงานนี้ให้ได้เลยค่ะ

คิดถึงนะคะ

คุณจอย

ผมเคยอ่านหนังสือเรื่องหนึ่ง เขามีทฤษฎีหนึ่ง ที่บอกว่า คนเรารู้จักกันไม่เกิน 4 (หรือ 7) ช่วงคนครับ

แบบว่า ผมรู้จัก ก และ ก รู้จัก ข ส่วน ข ก็รู้จัก ค และท้ายที่สุด ค รู้จัก ผม อะไรเทือกนี้ครับ

ส่วนเรื่องงานนั้น ผมก็ไม่รู้จะแสดงความคิดเห็นอะไรครับ เรียกว่า คิดให้ดี ไต่ตรองให้ถ้วน ตัดสินใจเด็ดขาด จะได้ไม่เสียใจที่ตัดสินใจไป

สวัสดีค่ะคุณหมอ...ขา

จริงหรอคะที่ว่าคนเรารู้จักกันไม่เกิน 4 หรือ 7 ช่วงคน

วันนนี้ก็เหมือนเดิมพึ่งเลิกงาน

ส่วนสิ่งที่คุณหมอพิมพ์มาก็ให้ได้ดิดเหมือนเคยค่ะ(ขอบคุณ ขอบคุณ)

ตอนนี้คุณครูใหญ่ร.รลูกแนะนำให้ไปอบรม....อะไรสักอย่าง กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีวุฒิบัตรและมีพาไปดูงานตามร.รอนุบาลด้วยค่ะ แต่ค่าใช้จ่ายเยอะอยู่เหมือนกัน 25000 บ. เรียนเสาร์อาทิตย์ 2 เดือน

ตอนแรกคิดว่าจะไปเรียนใบประกอบวิชาชีพครูหรือต่อปริญญาโท แต่คุณครูเค้าแนะนำให้ลองไปอบรมนี้เพื่อถามตัวเองง่ะค่ะ

ปล. ปีใหม่ก็ถือว่าเที่ยวสนุกค่ะ แต่จริงๆก็เหมือนไม่ได้เที่ยว แต่ไปกับเพื่อนด้วย ก็ได้อารมณ์ดีค่ะ

แต่ต่อไปคงไม่ขับรถลงใต้แล้ว โคตรเหนื่อย(ไม่ได้ขับเอง)ยังเหนื่อย.....สวัสดีวันแห่งความรักน๊าค๊า

คุณหมอลองเปิดไปที่เวพ www.planforkids.com ซิคะ มีข้อมูลของโครงการอบรมที่จอยสนใจจะไปอยู่อ่ะค่ะ

ชื่อโครงการพัฒนาผุ้บริหารและผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาระดับปฐมวัย (Mini Master of Education in Early Childhood Faculty

of Education unversity) การพัฒนาวิชาชีพทางการศึกษาปฐมวัย กระบวนทัศน์ที่ท้าทายในทศวรรษใหม่ อ่ะค่ะ

คุณจอยครับ

ตกลงว่า ผมอ่านมาจากที่นี่ครับ http://gotoknow.org/blog/science/82678

สวัสดีค่ะ.....คุณหมอ

เค้าไปมาแล้วนะตะเอง

ไปอ่านแล้วก็แปลกดีเน๊าะ

แต่ยังไม่เคยเจอใครแบบคุณหมอนะคะเนี่ย 555

วันนี้แอบมาเล่นเนตตอนพักกลางวันค่ะ

สวัสดีครับคุณจอย

อย่าเคยเจอคนแบบผมเลยครับ หลายคนที่รู้จักกันมักจะบอกว่า "ปวดหัว"

555 แต่จอยก็ไม่รู้ว่าจาปวดรึเปล่าอ่ะ

คุงหมอคะ ตกลงน้องคนนั้นไปทำแท้งมาแล้ว(เศร้า)

เค้าไม่บอกแฟนไม่บอกใครแอบไปทำ ทั้งๆที่แฟนเค้าอยากแต่ง แต่ทำให้จอยนึกถึงที่คุณหมอเค้าบอกว่า การมีลูกมันเป็นสิทธิของคนเป็นแม่จริงๆเน๊าะ เฮ้อ...ถามเหตุผลว่าเพราะอะไรถึงเปลี่ยนใจ เค้าบอกว่า วันหนึ่งแม่เค้าพูดกับเค้าว่า คบกับแฟนน่ะแม่ไม่ว่าหรอกนะ ให้ดูกันให้ดีๆ และให้คบกันในสายตาผู้ใหญ่ อย่าชิงสุกก่อนห่าม(ทำนองนี้) แม่เค้าไม่รู้ว่าเค้าท้องอยู่แล้ว เค้าเลยไปทำแท้งเพราะไม่อยากให้แม่เสียใจ จอยทำใจไม่ได้กับเหตุผลของเค้าอ่ะค่ะ .......แต่ก็ได้แต่คิดว่า ความพร้อมของแม่แต่ละคนช่างไม่เหมือนกันจริงๆเลย

ครับคุณจอย

ความพร้อมของคนมันช่างไม่เท่าเทียมกันเลยจริงๆ

เหตุผลที่เรามองว่าเล็กน้อย สำหรับคนอื่นมันช่างใหญ่เสียจนแก้ไขไม่ได้

เลือดเนื้อเชื้อไข ไม่ได้สำคัญไปกว่าหน้าตาทางสังคม

เด็กๆเอาแต่เรียนหนังสือ กลับบ้านก็มืดค่ำ ไม่มีเวลาพัฒนาจิตวิญญาณ ประเทศไทยท่าจะมืดมนครับ

สวัสดีค่ะคุณหมอ

ขอถามคุณหมอหน่อยค่ะว่า....จอยรู้สึกว่าตั้งแต่ตัวเองท้องจนลูกเริ่มโตแล้วเนี่ยทำไมตัวเองตัวร้อนจัง ตัวร้อนกว่าแฟน และเวลาอาบน้ำก็จะรู้สึกว่าน้ำร้อนไปด้วย(คลายร้อนได้นิดหน่อย)พออาบเสร็จตัวก็ร้อนเหมือนเดิม เป็นเพราะกินน้ำน้อยไปรึเปล่าคะ แต่กินมากกว่าแฟนนะคะ ไม่กินเผ็ดค่ะ กินน้ำวันนึงประมาณ 6 แก้ว แฟนน่าจะกินน้อยกว่าอีกแต่เค้าตัวเย็น

....ช่วงนี้ (ตั้งแต่ปีใหม่) ไม่ได้สอนอะไรลูกเลยค่ะ จะพยายามสอนเค้าสัก10-20นาทีก่อนนอนนะคะ(หมายถึงสอนทุกอย่างนะคะ สอนนับเลข สอนมารยาท สอนการใช้ฃีวิต)

อืมมมมม.....คงจะจริงค่ะ 555

ว่าแต่กินน้ำไม่ช่วยอะไรเหรอคะ คุณหมอไม่เห็นพูดถึงหลักการอะไรเลยอ่ะค่ะ

วันนี้ไปอ่านเรื่องข่าวเรื่องทำแท้งมา น่าเห็นใจเค้าจังเลยนะคะ

ตั้งแต่น้องจิย้ายมาเข้าร.ร.อนุบาลบ้านวังทอง

แกไม่ร้องไห้ ----บอกไม่ไปเนอร์สเซอร์รี่อีกแล้วค่ะ---

แกบอกคุณครูใจดี และไม่ต่อต้านเลยในตอนเฃ้า

ไม่รู้ที่เนอร์สเซอรี่ทำไรลูกถึงต่อต้านไม่รูนะคะ แต่ไม่อยากคิดเลยค่ะ

ลูกปิดเทอมนี้จอยว่าจะไปเกาะเสม็ด คุณหมอเคยไปยังคะ

ตอนนี้หนีมาเล่นเนตค่ะ(พักกลางวัน)

มาสมัครงานทางเนตน่ะค่ะ

เห็นทีอยู่ไม่ไหวแล้วค่ะ

ตอนนี้น้องจ้ากับน้องแป้งเล่นไวโอลินได้เยอะมั้ยคะ เห็นน้องๆหลายคนเก่งจังเลย

เอาหลักการเลยนะครับ

การกินน้ำดีครับ แต่กินวันละ 6-8 แก้วก็น่าจะเพียงพอในแต่ละวันอยู่แล้ว ส่วนจะแก้ไขอาการตัวอุ่นนั้นไม่แน่ใจครับ

เรื่องลูกไม่ร้องนั้น ส่วนหนึ่งก็คือ เขาโตขึ้นนะครับ

ลูกสาวคนโตไม่เล่นไวโอลินตั้งแต่น้องเกิด หันมาเล่นเปียโนแทน

ส่วนคนเล็กร่ำๆอยากจะเรียนไวโอลินบ้างแล้วครับ

เกาะเสม็ดไปมาแล้วครับ ไปกับเรือสำราญบานตะไทครับ

โอ้โห...ไฮโซค่ะ(เรือสำราญ)

อ๋อค่ะ...ส่วนหนึ่งเพราะเค้าโตขึ้นใช่มั้ยคะ

ขอบคุณค่ะ

คุณหมอคะ อยากปรึกษาคุณหมอว่า

เพื่อนเป็นเซลขายยา เค้าบอกว่าอิสระและรายได้ดี

คุณหมอว่าดีมั้ยคะ แต่เค้าบอกว่าเหมาะกับคนโสดมากกว่าเพราะต้องเอนเตอร์เทนลูกค้าค่ะ

ชอบที่มันอิสระนี่ละคะ

สวัสดีค่ะคุณหมอ

เมื่อคืนจอยงี่เง่ามากเลยค่ะ

คือว่า กลับบ้าน 4 ทุ่ม เหนื่อยมากเลย เลิกงานมาไม่มีรถกลับ ต้องนั่งแท๊กซี่ 200 บ.ไม่ได้กดตังค์ ต้องเดินข้ามสะพานลอยไปกดตังค์ ต้องไปต่อรถตู้อีก กลับมาถึงน้องจิไม่ยอมพูดด้วย ไม่มากอด ไม่สนใจ เลยร้องไห้เลยค่ะ พอลูกยิ่งเห็นเราร้องไห้ แกก็ยิ่งไม่เข้ามาคุย เราก็งี่เง่างอนลูกบอกว่า ถ้าไม่มาเราก็จะขึ้นไปรอข้างบน แต่ยังไงๆลูกก็ไม่ยอมขึ้นข้างบน พอพ่อแกบังคับให้ขึ้นมาแกก็ร้องไห้.....ตอนนี้คิดได้ว่าทำไมเรางี่เง่าขนาดหนักนะเนี่ย...สรุปคืออยากเรียกร้องความสนใจจากคนที่บ้าน เพราะเจ็บใจตัวเองที่เลือกงานแบบนี้

เมื่อเช้า....น้องจิมากอดบอกว่า จะไปทำงานกับหม่าม้า....จอยก็ต้องจำใจบอกว่า ได้คับผม เดี๋ยวตอนเย็นมารับหม่าม้าด้วยน๊า

แกก็คงงง(ปนกับอารมณ์น้อยใจ) บอกอยากมากับเราแต่เราบอกเดี๋ยวเย็นๆให้มารับ คือว่าเมื่อวานกับวันนี้ร.ร.ปิดค่ะให้น้องชายแฟนดูให้ค่ะ

ปล.อยากระบายค่ะ

ฮ่า ฮ่า.....คุณจอย

ชีวิตก็แบบนี้แหละครับ

ไม่ทำงานก็ไม่ยุ่ง กลับบ้านไม่ดึก ดูเหมือนสบาย แต่ไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ อาจจะมีแต่รายได้จากสามี โดยเราต้องทำงานบ้านล้วนๆ และเมื่อลูกไปโรงเรียนเราก็จะเหงาจนแก่ ฮ่า ฮ่า

มีงานทำ ก็เลยยุ่ง ยุ่งเพราะมีงานทำ มีเงินใช้ (แต่อาจจะหมดไปเพราะค่าครองชีพ ค่าเดินทาง) แต่ขาดเวลาให้ครอบครัว

คำถามก็คือ

ทำไมต้องกรุงเทพ

แง...ถามอีกละ

คุณหมอ

ก็คิดอยากไปจากกรุงเทพเหมือนกัน

แต่....ผ่อนบ้านอยู่ที่นี่แล้วอ่ะค่ะ

เป็นภาระใช่น้อย ถ้าต้องผ่อนโดยไม่ได้อยู่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายังไง555ยังไม่คิดอ่ะค่ะ

แต่ว่าเมื่อวันเสาร์ที่ 6/3/53 ที่ผ่านมาไปงานโต๊ะจีน ร.ร.ลูกมา คุณครูใหญ่ร.ร.ลูกเค้าก็ถามว่ายังอยากเป็นครูอนุบาลอยู่มั้ย เปลี่ยนใจรึยัง เค้าชวนให้ทำงานที่ร.ร.ด้วยกันค่ะ จอยก็บอกว่ายัง แต่ขอเวลาสักพัก

คุณหมอรู้มั้ยถ้าจอยทำงานที่ร.ร.เดียวกับลูกจะประหยัดได้เดือนละ 5000 บ.

แต่รายได้ลดลงประมาณ8000 (คิดจากรายได้ครูประมาณ9000บ.นะคะ) ส่วนต่างที่ขาดไป 3000 ไม่มากเลยเมื่อเทียบกับเวลาช่วงเย็น(ถึงแม้ว่ามันจะซื้ออะไรได้หลายอย่าง)แต่จอยว่ามันไม่คุ้มเลยที่ไม่ได้สอนอะไรๆกับลูก แต่คงรอเงินบำเหน็ด กลางปีของแบงค์ก่อนค่ะ

คุดถึงเสมอ อิอิ

ไม่รู้คร๊าบบบบบ.....

ไม่มีไอเดียในเรื่องแบบนี้เลยจริงๆ

ก็คงต้องลอง

ดูค่ะ

ช่างมันเถอะค่ะ

เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ถึงมันจะสำคัญ(ให้พ่อเป็นคนหาแล้วกัน555)

ได้ยินว่าโรงเรียนวนิษา ของคุณวนิษา เรซ (อยู่ใกล้บ้านเนี่ยละค่ะ)ให้ลูกคุณครูเรียนไม่เสียค่าใช้จ่ายด้วย ถ้าได้สอนร.รนี้คงเซฟค่าใช้จ่ายได้ปีนึงเกือบแสน น้องที่ทำงานเคยเป็นครูอยู่ที่นั่นค่ะ

อย่างนี้ผมก็คิดว่า คุณจอยมีคำตอบที่ดีที่สุดอยู่แล้วครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท