เวียดนามกลางพายุฝน ตอน ๕ : ดาลัท … เมืองที่ไม่ควรไปคนเดียว


ดาลัท เมืองสวยงามของเวียดนามใต้ตอนบน
 
                ฉันเดินทางไปดาลัทด้วยรถโดยสารปรับอากาศ  ความที่ไม่รู้สภาพถนนหนทาง ทำให้คิดว่าระยะทาง 400 กว่ากิโลเมตร น่าจะใช้เวลาแค่ 3-4 ชั่วโมงก็ถึง  เพื่อนเวียดนามก็ว่าไม่ไกล
                น่าจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง  แล้วยังโฆษณาว่าทิวทัศน์ ภูมิประเทศสองข้างทางสวยงามมาก  ไม่สมควรพลาดชม
                แต่กว่าจะรู้ว่าพลาดไปถนัดใจ ก็เมื่อนั่งรถมาตั้งนาน ออกจากโฮจิมินห์ตั้งแต่ 9 โมง จะเที่ยงอยู่แล้วยังไปไม่ถึงไหน  ดาลัทที่ว่ายังเหลืออีกตั้ง 200 กว่ากิโล  สาเหตุเพราะถนนกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง  บางจุดวิ่งได้แค่ทางเดียว  ต้องจอดรอให้รถสวนมาก่อน เป็นครึ่งค่อนชั่วโมง

 

                                 รอรถสวนทาง
 
                นั่งดูวีดีโอตลกเวียดนามจนจำหน้าดาราตลกได้เกือบทุกคน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึง  แม้ทิวทัศน์ข้างทางจะสวยงาม แต่ความเชื่องช้าและเหนื่อยอ่อนที่ต้องอยู่ในรถนาน ๆ  ความสวยก็เท่านั้นเอง  นาขั้นบันไดก็เหมือนกันตลอดทาง ไร่ผัก สวนดอกไม้ หมอกบนภูเขา ธารน้ำ ป่าไม้สดขจี กลายเป็นภาพที่มีมากจนเกินไป จากสวยมากจนกลายเป็นธรรมดา กระทั่งหนังตาสองข้างปิดลง

 

                       

 

                หลับไปตื่นหนึ่งก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึง  ครอบครัวชาวฝรั่งเศส พ่อแม่ ลูกชาย ลูกสาว อย่างละหนึ่งเริ่มคุยภาษาฝรั่งเศสกับผู้โดยสารชาวเวียดนามวัยกลางคน เรื่องเส้นทางไปนาตรัง และดานัง ที่สามารถเดินทางต่อไปจากดาลัทได้  แต่ไม่ยักคุยกันว่าอีกนานไหมกว่าจะถึงดาลัท เสียเวลาแอบฟังจริงๆ
 
                เพื่อนโทรเข้ามาถามว่าถึงดาลัทหรือยัง  คุยกันยังไม่ทันรู้เรื่องแบตเตอรี่หมดเสียอีก ใจก็หวังว่าจะถึงดาลัทก่อนมืด จะได้หาที่พักไม่ลำบากนัก
                กำลังกังวลใจอยู่ดี ๆ  จู่ ๆ  รถก็ทะลุจากป่าไม้ออกมายังเวิ้งหุบเขา ที่มีบ้านเรือนสวยงามแปลกตา ตั้งอยู่เป็นทิวเหนือชายเขา และทะเลสาบเวิ้งว้าง เหมือนหลุดเข้ามาในเทพนิยายไม่มีผิด  เพราะสถาปัตยกรรมบ้านเรือนแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากบ้านเรือนของชาวเวียดนามทั่วไป
 
                ฉันถึงกับตาสว่าง รู้ได้ทันทีว่าได้เดินทางมาถึงดาลัท เมืองสวยบนภูเขาสูงเรียบร้อยแล้ว  เพื่อนสั่งไว้ว่าให้นั่งรถไปจนสุดสายจะมีโรงแรมให้เลือกมากมาย  ท่ารถทัวร์ก็อยู่ในตลาดเมืองดาลัทนั่นเอง ...

 

                เมื่อรถจอดเทียบท่า ก็มีคนมาชวนไปดูโรงแรมในตลาด ใกล้กับวงเวียนหอนาฬิกา  แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ชอบใจ ได้โรงแรมที่อยู่ตรงข้ามบริษัทรถทัวร์ แค่ข้ามถนนไป 4 เมตร  ถ้าขี้เกียจกว่านี้ก็พักที่โรงแรมของบริษัทรถทัวร์ก็ได้ ราคาระดับเดียวกัน อยู่ชั้นบน  ชั้นล่างเป็นสำนักงานจองตั๋ว และรับจัดทัวร์ไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ  แต่ดูว่าออกจาพลุกพล่านไปนิด ... ฉันคิดถึงความสะดวกเวลากลับ จะได้ไม่ต้องลากกระเป๋าไกล เลยพักใกล้ ๆ  ท่ารถดังว่า
                ดาลัทเป็นเมืองเล็ก ๆ  ที่แวดล้อมด้วยภูเขาและทะเลสาบ อยู่ในระดับความสูง 1,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล อากาศหนาวเย็นตลอดปี เป็นเมืองสบาย ๆ  น่าอยู่  บ้านเรือนเป็นแบบสมัยใหม่ กว่า 80% ของบ้านดัดแปลงเป็นเกสต์เฮ้าส์ และกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว

 

 

 

                สมัยก่อน ดาลัทจะได้รับการขนานนามว่าเป็นปารีสน้อย ๆ Dr. Alexandre  Yersin  เป็นชาวยุโรปคนแรกที่ค้นพบสถานที่แห่งนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1893  มีการก่อตั้งเมืองนี้ในปี ค.ศ. 1912  และเติบโตอย่างรวดเร็ว  โดยเฉพาะในช่วงอาณานิคมที่ชาวยุโรปนิยมมาปลูกบ้านพักตากอากาศอยู่ที่นี่  ดาลัทมีประชากรชาวยุโรปมากถึง 20%  ในช่วงที่ฝรั่งเศสปกครอง  ในปัจจุบันดาลัทมีประชากร 130,000 คน
                ดาลัทเป็นเมืองที่ศิลปินชาวเวียดนามชื่นชมว่าสวยงามน่าอยู่ และยังเป็นเมืองที่คู่แต่งงานนิยมมาฮันนีมูนกันมากที่สุดด้วย

 

             

 

                ฉันชอบดาลัท ในวันที่ฟ้าฉ่ำฝน เย็นชื่นหัวใจ บรรยากาศแสนสบายพาให้ฝันไปว่า ถ้ารวย ๆ  จะมาซื้อที่สักแปลงตรงชายเขาโน่น  ปลูกบ้านเล็ก ๆ  นั่งมองทะเลสาบซวนฮวง (Xuan  Huong  Lake) ทุกวัน 
                แม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ดาลัทกลับมีระดับค่าครองชีพถูกกว่าโฮจิมินห์ซิตี้มาก  ค่าที่พักถูกกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง อีกทั้งสะอาด บรรยากาศดี หรืออาจเป็นเพราะว่าอากาศที่นี่เย็นสบาย เลยไม่จำเป็น ต้องพึ่งแอร์คอนดิชั่นมากนัก
                อาหารหลักของฉันยังคงเป็นเฝอร้อน ๆ  กับข้าวโพดต้ม หอมหวานสด ๆ  จากไร่  อีกทั้งผลไม้นานาชนิด รสชาติดีกว่าที่ไหน ๆ  ราคาก็แสนถูก 
                ที่นี่มีร้านอาหารมังสวิรัติ สะอาดสะอ้านไว้บริการด้วย ตอนเช้าจะขายกาแฟและอาหารง่าย ๆ  ช่วงกลางวันถึงเย็นจึงเป็นอาหารตามสั่ง รสชาติดี และปริมาณเยอะมาก ๆ  ...  เจ้าของร้านเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ เคยมาประชุมเกี่ยวกับศาสนามหายานที่เมืองไทยหลายครั้ง
                มีอะไรให้ดูในดาลัท เป็นคำถามจากอีเมลของเพื่อนจากเมืองไทย  เมื่อฉันส่งข่าวไปว่าอยู่ดาลัทเรียบร้อยแล้ว
                ฉันเริ่มเที่ยวชมเมืองก่อนเป็นอันดับแรก  ด้วยการเดินหาร้านอาหารอร่อย ดูตลาดกลางเมืองยามค่ำคืน  เมืองค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก  จากนั้นไปซื้อทัวร์สำหรับท่องเที่ยวรอบเมืองในวันรุ่งขึ้น โปรแกรมทัวร์มีเหมือนๆ  กันทุกบริษัท เลยเลือกซื้อของบริษัทรถทัวร์ที่อยู่หน้าที่พักนั่นเอง  ราคาถูก และดูเป็นมืออาชีพกว่าบริษัทอื่น ๆ 
                โปรแกรมทัวร์ของเขาใช้ได้ทีเดียว  เริ่มจากพาไปดูพระราชวังฤดูร้อน หรือ Summer Palace  ของจักรพรรดิเบาได๋  กษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียดนาม 

 

 พระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์เบาได๋

 

                จากนั้นไปที่จุดชมวิวเมือง  ซึ่งมีกระเช้าลอยฟ้าไว้บริการด้วย  โดยต้องจ่ายค่ากระเช้าเอง ไม่รวมอยู่ในโปรแกรม  กระเช้าลอยฟ้าหรือ Cable Car จะลอยผ่านป่าสนที่เขียวขจี สลับกับนาขั้นบันได สวยงาม แปลกตา
                คู่รักหลายคู่มีความสุขกับการชมวิวบนกระเช้าลอยฟ้านี้  ฉันได้แต่มองตาร้อนผ่าว
 
                รถตู้จะไปรอรับที่สถานีปลายทาง  ซึ่งมีวัดตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศสวยงามของทะเลสาบสวรรค์  (Paradise Lake) คนเวียดนามจำนวนมากนิยมมากราบไหว้พระประธานในโบสถ์ของวัดนี้ จากนั้นก็ชมความงามของทะเบสาบสีเขียวมรกต ที่สงบงามเป็นของแถม
 

                จากนั้นก็ไปน้ำตกดาทันลาที่อยู่ใกล้ ๆ  คนมากเสียจนเหมือนงานมหกรรมอะไรสักอย่าง  หากใครขี้เกียจเดินลงไปก็มีรถโกคาร์ทให้เช่าด้วย  ดูน่าหวาดเสียวดี  แต่ฉันใจไม่กล้าพอ
                ฉันเดินลงไปถึงน้ำตก แล้วหมดอารมณ์จะชื่นชม  เพราะคนมากขนาดแน่นขนัด  กลัวจะถูกกระแทกตกน้ำตาย เลยควักมันเผาร้อน ๆ  ออกมานั่งแทะอยู่บนม้านั่งที่เขาวางไว้เป็นระยะ ๆ  ให้ผู้สูงอายุพักขณะเดิน
                ธรรมชาติร่มรื่นดี  ถ้าไม่มีคนมากเกินไป  ที่นี่จะสวยงามมากทีเดียว  ฉันเดินกลับก่อนใคร ๆ  ระหว่างทางสวนกับคนเวียดนามจำนวนมาก ทุกคนส่งเสียงทักทาย ถามไถ่ อะไรก็ไม่รู้ ประมาณว่าอีกไกลไหม สวยไหม ทำนองนี้  ฉันได้แต่เดาไปตามเรื่อง แล้วตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ

 

 

                ทุกคนที่ทักทำท่าประหลาดใจ ที่ฉันไม่ใช่คนเวียดนาม แต่เป็นคนไทย  ปกติคนไทยไม่ค่อยมาเดินซุ่มซ่ามอยู่คนเดียวแบบนี้  ทุกคนลงความเห็นว่าฉันเหมือนคนเวียดนามมาก
                พวกเขาอาจจะพยายามเข้าข้างตัวเอง หรือแก้เก้อก็ได้ ที่เข้าใจผิด  คนเอเชียก็หน้าตาคล้าย ๆ  กันทั้งนั้น  เวลาไปไหนฉันก็หน้าคล้ายคนที่นั่นเสมอ ๆ
 
                สาว ๆ  เวียดนามก็แปลกคนจริง ๆ  ใส่รองเท้าส้นสูงปรี๊ดเดินไปดูน้ำตก  แถมเดินกันอย่างคล่องแคล่วไม่กลัวเท้าพัง  ความสวยนี้ไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ
                ฉันกะจะมานั่งรอคนอื่น ๆ  ในรถตู้  แต่ที่ไหนได้ รถตู้กลายสภาพเป็นบ่อนการพนันเคลื่อนที่ไปเสียแล้ว  ทั้งไกด์และคนขับรถไม่รู้ไปรวบรวมสมัครพรรคพวกมาจากไหน ตั้งวงเล่นไพ่กันคร่ำเคร่ง
                ฉันเลยต้องเดินเตร็ดเตร่ดูข้าวของ ซื้อน้ำ ซื้อขนมกินอยู่แถวนั้น รอเวลาเดินทางต่อไปที่อื่น ๆ
 
                หลังรับประทานอาหารกลางวัน  ซึ่งต้องจ่ายเองไม่รวมอยู่ในค่าทัวร์แล้ว  ไกด์พาเดินทางต่อไปที่หุบเขาแห่งความรัก (Valley of Love) ไกด์แสบหันมาแซวฉันที่เดินทางคนเดียวว่า สงสัยจะเข้าไปใน Valley of Love ไม่ได้ เพราะที่นี่เขาให้เข้าเฉพาะคนที่มาเป็นคู่
                หุบเขาแห่งความรักสวยงามด้วยสวนดอกไม้เมืองหนาว และด้านหน้ายังมีร้านขายดอกไม้สวย ๆ  มากมายให้ชื่นชม และเลือกซื้อให้กับคนรัก หรือใครจะซื้อไปปลูกก็ได้

 

          

         

 

                เรานั่งรถจี๊ปลงไปเบื้องล่าง  รถพาวนรอบทะเลสาบดาเทียน (Da Thien)   ซึ่งเป็นทะเลสาบที่เกิดจากการสร้างเขื่อนเมื่อสามสิบปีที่แล้ว    ทะเลสาบสงบงามอยู่ท่ามกลางหุบเขาสีเขียวสด
 
                ไกด์พาเราขึ้นมาด้านบนจุดชมวิวที่มีร้านน้ำหอม และร้านขายของที่ระลึก  ปรากฏว่าเป็นร้านขายของที่มีหุ้นส่วนเป็นคนไทย  นอกจากน้ำหอมแล้วก็มีสินค้าจากเมืองไทยขายอยู่หลายอย่าง เลยไม่ได้ซื้ออะไร

 

 ทุกอย่างที่นี่เป็นคู่ ยกเว้นเด็กบนหลังควายและฉัน

 

                หลังจากถ่ายรูปกันจนหนำใจในหุบเขาแห่งความรักแล้ว  ไกด์พาเดินทางต่อไปที่โรงงานปักผ้าไหม เป็นงานศิลปะชั้นสูงที่ปักผ้าเป็นรูปสวยงาม  เหมือนงานศิลปะ ราคาแพงระยับ ที่นี่เขาห้ามถ่ายรูปจึงได้แต่เดินชื่นชม  โปรแกรมสุดท้ายของวัน คือ ไปโบสถ์แคทอลิคที่เก่าแก่ของเมือง กว่าจะกลับถึงที่พักก็ได้เวลาหิวอาหารเย็นพอดี
                เป็นอันจบรายการทัวร์ในเมือง ถ้ามีเวลามากพอขอแนะนำให้ซื้อทัวร์ชนบทต่ออีกสักวัน  จะได้ดื่มด่ำกับความงามของดาลัทได้อย่างหมดจด
 
                 สำหรับทัวร์ชนบทก็จะเริ่มตั้งแต่พาไปดูหมู่บ้านปลูกดอกไม้ ไร่กาแฟบนภูเขา โรงงานจิ้งหรีด น้ำตกช้าง โรงงานทอผ้าไหม ไปดูวิถีชีวิตชาวบ้านในการประกอบอาชีพ เช่น บ้านต้มเหล้า บ้านเพาะเห็ด บ้านทำไม้กวาด บรรยากาศเหมือนชนบทภาคเหนือบ้านเราไม่มีผิด  แม้ไม่มีอะไรแปลกใหม่สำหรับฉัน แต่สิ่งที่ได้คือสมองโล่ง หายใจเต็มปอด และมีความสุขกับอากาศดีๆ ท่ามกลางต้นไม้เขียวขจีของดาลัท

 

สวนดอกไม้ในชนบท

 

  

                                 ลูกจิ้งหรีดในโรงเลี้ยง  กับจิ้งหรีดดองเหล้า ยาชูกำลัง

 

          

                       ดอกเห็ด                                                                              ดอกกาแฟที่หอมเย็นๆ

         บ้านเป็ดกลางน้ำ                                                    อาหารกลางวันที่ร้านอาหารป่า

 

     

                           ไกด์กับลูกสาว                                                        พระหัวเราะที่วัดนอกเมือง

 

  โรงงานผ้าไหม

 

                ก่อนลาจาก ไกด์อวยพรให้ฉันหาแฟนให้ได้แล้วพามาเที่ยวดาลัทด้วยกัน เขาบอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ไม่ควรมาคนเดียว เพราะมาแล้วจะรู้สึกอิจฉาคนที่พาแฟนมาด้วย..
 
หมายเลขบันทึก: 323699เขียนเมื่อ 28 ธันวาคม 2009 19:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
  • สวัสดีค่ะ
  • แวะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ มีสุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพใจเข้มแข็ง ให้มีแต่ความสุขตลอดปี และตลอดไปนะค่ะ
  • ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณค่ะคุณบุษรา

ขอให้มีความสุขเช่นกันค่ะ

เถอะมิ่งมิตร-ทบทวนปีเก่า,ปีใหม่
กี่ผื่นแผลชวนใจให้ได้คิด
กี่รอยเท้าชวนใจไปลิขิต
กี่เรื่องราวชวนพิศให้ฝังจำ 

เราต่างเติบกล้า-จากวันเก่า
เศร้าทุกข์-สุขล้ำ
ท่ามวิถีสีขาวดำ
โลกตอกย้ำความเป็นไปในมรรคา 

เราต่างเติบกล้า-จากวันใหม่
เถิดเตรียมใจไปใฝ่หา
วันใหม่ชีวิตใหม่กำลังมา
เถิดศรัทธา,ก้าวกล้า...อย่าหวาดกลัว

เถิดศรัทธา..อย่าหยุดยั้งพลังใจ !

สวัสดีปีใหม่...ครับ

(เขินครับ...แต่กลอนไม่เก่งนะครับ)

 

  • น่าไปเที่ยวมากๆๆเลยนะครับ
  • แต่ไม่ชอบที่น้ำตก
  • คนมากเหลือเกิน
  • เอาภาพเด็กๆๆมาสวัสดีปีใหม่ครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท