ความสำคัญและประโยชน์ของการสวดมนต์


การสวดมนต์ เป็นการฝึกจิตที่ดี ที่สุดประการหนึ่ง

 

 

 

ความสำคัญของการสวดมนต์                                                                 

           อาชิชดิมลิ   กล่าวว่า     “ การสวดมนต์ได้รับความนิยมมากขึ้นในฐานะทางเลือกในการรักษาทางการแพทย์ สมัยก่อนการสวดมนต์ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงกิจกรรมของนักบวชเพื่อความสุขทางวิญญาณ ทว่าแพทย์ที่มีชื่อเสียงทั่วโลกได้มองเห็นถึงประโยชน์ในการช่วยขจัดความเครียด ทุกคนทราบกันดีอยู่ว่า ความเครียดนั้นเป็นโรคที่เกี่ยวพันกับการใช้ชี วิตซึ่งการสวดมนต์สามารถควบคุมระดับความเครียดและช่วยปลดปล่อยความเครียดได้การสวดมนต์ในภาษาธรรมดาหมายถึงการที่คุณได้เอ่ยนามของเทวดาหรือพระเป็นเจ้าที่คุณเคารพ หรือคำพูดใดๆก็ตามซ้ำไปมา ถ้าหากการสวดนั้นเป็นไปด้วยความระมัดระวังและถูกต้อง จะส่งผลต่อระบบเอนดอกทรินซึ่งควบคุมฮอร์โมนความสุข การสวดมนต์เป็นวิธีเก่าแก่ของนักบวชทั้งหญิงและชายของศาสนาต่างๆ วิชาโยคะในศาสนาฮินดูเน้นในเรื่องของประโยชน์ในการรักษา มีนักบวชอาวุโสมากมายในอินเดียและธิเบตที่มีอายุยืนยาวเพราะสวดมนต์อย่างสม่ำเสมอ

                                หลายคนคงได้เห็นผู้นำทางวิญญาณอย่างท่านดาไลลามะ ดร.ดีพัค โชพระ และศรีศรี ราวิชางเกอร์ และโยคีมาเฮช ซึ่งเป็นตัวอย่างของประโยชน์ในการสวดมนต์ โยคีอาวุโสได้อธิบายถึงจุดประสงค์ของการสวดมนต์ว่า หลังจากสวดไปได้ระยะเวลาหนึ่ง จิตใจจะเงียบสงบลงซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการทำสมาธินั่นเอง สถาบันวิจัยทางการแพทย์หลายแห่งทั่วโลกได้ทำวิจัยในเรื่องนี้และยอมรับถึงประโยชน์ของการสวดมนต์ถึงแม้ว่ายังมีผู้ที่ไม่ปักใจเชื่อในเรื่องนี้วิจารณ์ว่าเป็นเพียงผลทางด้านจิตใจเท่านั้นทว่าผู้ที่มีประสบการณ์จากการสวดมนต์ก็ยังยืนยันถึงผลที่ได้รับว่า การสวดมนต์ไม่ได้ช่วยเฉพาะปลดปล่อยความเครียดเ ท่านั้นแต่ยังช่วยพัฒนาการใช้ชีวิตให้เป็นปกต ิมากขึ้นซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงกับสุขภาพของมนุษย์ทุกครั้งที่เราสวดมนต์ซ้ำๆบทใดบทหนึ่งจะช่วยควบคุมจิตใจให้สงบลง ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกี่ยวพันกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ในศาสนาพุทธนั้นไม่ได้มีความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า แต่เราก็จะพบว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็คงสวดมนต์ สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในศาสนาใดๆ แค่การรู้ลมหายใจก็เพียงพอแล้วที่จะได้รับประโยชน์ 
                           1. ผู้ที่มีความดันเลือดสูงหรือมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจควรทำแต่พอดี 
                           2. ควรเรียนรู้เพิ่มเติมจากหนังสือ บทความหรือผู้รู้จริงเมื่อต้องการเรียนรู้มากขึ้น

           สำหรับเราชาวพุทธแบบเถรวาท มีความเชื่อว่าการสวดมนต์นั้นมีประโยชน์คือ

การฝึกใจ
                  การสวดมนต์ไหว้พระ  คือการฝึกใจนั่นเอง การฝึกใจหรือการ ฝึกจิตนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการดำเนินชีวิต ใครที่ไม่รู้จักการฝึกจิต เขาจะเป็นคนที่เอาชนะ ตนเองไม่ได้เลย

หลักการฝึกจิตที่ท่านควรทำทุก ๆ วัน มีดังนี้
                            1. การสวดมนต์ หรือนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
                            2. การทำใจให้นิ่ง หรือเป็นสมาธิ
                            3. การแผ่เมตตา แก่สรรพสัตว์ถ้วนหน้า แม้แต่แก่ศัตรูของท่าน
                            4. จงสร้างจิตของท่านให้มีอำนาจในทางที่ดี หรือทางที่เป็นกุศล


การสวดมนต์
                          การสวดมนต์ เป็นการฝึกจิตที่ดี ที่สุดประการหนึ่ง คนที่สวดมนต์นั้นต้องสวดด้วยความศรัทธาในศาสนาที่เขานับถือ และควรทำเป็นกิจวัตรประจำวัน จนเคยชินหรือเป็นกิจปกติ หลักเกณฑ์ในการ
สวดมนต์มีดังนี้
                              1.จงสวดมนต์เมื่อท่านอยู่ลำพังคนเดียว
                              2.จงสวดมนต์ในที่ ๆ เงียบสงบ 
                              3.จงพยายามขจัดอารมณ์ชั่วไปจากจิต 
                              4.จงผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ 
                              5. จงเพ่งสมาธิหรือมีสติในการสวดมนต์ทุกครั้ง


                        คนที่มีความสุขได้ จะต้องพยายามขจัดอารมณ์ชั่วร้ายใด ๆ ออกไปจากจิตด้วยการสวดมนต์ จงอย่าเก็บอารมณ์ชั่วร้ายให้ฝังเข้าจิตใจส่วนลึกจนหลับไป เพราะขณะที่ท่านหลับด้วยอารมณ์เลวใด ๆ ท่านจะมีสุขภาพที่เสื่อมโทรมและมีความทุกข์เพิ่มขึ้นทุกที แต่จงปล่อยให้เกิดกุศลจิตแทนอารมณ์ชั่วก่อน ที่จะหลับ แล้วการหลับของท่าน จะทำให้ท่านได้พักผ่อนจริง ๆ และมีพลังที่จะทำงานหรือเผชิญกับปัญหา อุปสรรคในวันต่อมา


การทำจิตให้เป็นสมาธิ
               หลังจากสวดมนต์จบแล้วควรใช้เวลาสัก 5-10 นาที เพื่อทำสมาธิหรือทำให้จิตนิ่งวิธีทำสมาธินั้น ได้แก่ การนึกถึงอารมณ์ที่ดี อันใดอันหนึ่ง แล้วคิดแต่อารมณ์นั้น เช่นการนึกถึงพระพุทธเจ้าโดยนึกภาวนาอยู่ในใจ ว่า พุทโธ หรือจะนึกถึงลมหายใจ เข้าออก โดยบริกรรมว่า "โธ" ในขณะที่ลมหายใจออก เป็นต้น ถ้าเกิดจิต ฟุ้งซ่านใด ๆ ให้ดึงกลับมาที่คำภาวนา จงทำ บ่อย ๆ จะเกิดความเคยชินไปเอง ข้อสำคัญที่สุดต้องทำใจให้ นิ่งให้สะอาดและสงบ ถ้าทำได้แล้วค่อยเพิ่มเวลานั่งสมาธิอีกเป็นครึ่งชั่วโมงได้

 
การแผ่เมตตา
                หลังจากสวดมนต์ ทำสมาธิแล้ว เราควรฝึกจิตให้มีความรักและความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์โดยการ แผ่เมตตา ดังนี้ 


                   สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมด 
                                      ทั้งสิ้น เราอุทิศบุญกุศลของเราให้หมดด้วยกัน 
                   อะเวรา    จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย 
                   อะโรคา   จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความเจ็บไข้ ลำบากกาย ลำบากใจเลย 
                   อัพยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาท เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย 
                   อะนีฆา     จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย 
                   สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นทุกข์ภัย
                                      ทั้งสิ้นเทอญ

 การสวดมนต์   เป็นกิจที่จำเป็นและสำคัญสำหรับชาวพุทธศาสนิกชน เป็นประเพณีนิยมที่ปฏิบัติ  สืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านาน เป็นหลักปฏิบัติเบื้องต้น อันจะนำไปสู่การเรียนรู้และปฏิบัติตาม หลักคำสอนในระดับที่สูงขึ้นไป  อย่างไรก็ดี  การสวดมนต์มีอานิสงส์และคุณประโยชน์มาก ซึ่งพอสรุปได้  ดังนี้

          1. เชื่อว่าได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะขณะสวดมนต์อยู่นั้น จิตรำลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอน และคุณความดีของพระสงฆ์สาวก

          2.  ขณะที่สวดมนต์อยู่นั้น จิตใจจะสงบ ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง

          3.  จิตเป็นสมาธิ เข้มแข็ง อดทน

          4.  ได้ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงถึงสัจธรรมในการดำเนินชีวิต

          5.  การสวดมนต์ภาวนา เป็นการสั่งสมบุญบารมี จิตใจสงบ นอนหลับสบายไม่ฝันร้าย

          6. การสวดมนต์ เป็นการบริหารร่างกายอย่างหนึ่ง เช่น การยกมือ การประนมมือ การก้มกราบ  การเปล่งออกเสียงทำให้ปอดขยาย ระบบทางเดินหายใจดี สร้างภูมิคุ้มกันภัยแก่ร่างกาย

            7.  การสวดมนต์เป็นหมู่คณะ ต้องมีความพร้อมเพรียงกัน เริ่มพิธีพร้อมกัน กราบพร้อมกัน สวดมนต์พร้อมกัน เลิกพร้อมกัน เป็นการสร้างระเบียบและความสามัคคีในหมู่คณะ

ประโยชน์ของการทำสมาธิ

ทางร่างกาย

            1.  อัตราการหายใจลดลง และร่างกายใช้ออกซิเจนพร้อมกับถ่ายคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง        เป็นผลดีต่อปอด

          2.  อัตราการเต้นของหัวใจน้อยลง เป็นผลดีต่อหัวใจ

          3.  ปริมาณแลคเตท (lactate)  ในเลือดซึ่งเกี่ยวกับความคิดวิตกกังวล จะลดลงเป็นลำดับ

          4.  เลือดจะมีความเป็นกรดสูงขึ้นเล็กน้อย แสดงถึงสุขภาพดี

          5.  คลื่นสมองของผู้นั่งสมาธิมีความราบเรียบ และทิ้งช่วงห่างมากกว่าผู้ที่นอนหลับ

          6.  ความต้านทานของผิวหนังสูงขึ้นทันทีที่เริ่มสมาธิ

ทางจิตใจ

          1.  ทำให้จิตใจได้ผ่อนคลายความตึงเครียด

          2.  ทำให้จิตใจผ่องใส เกิดความสงบเยือกเย็น

          3.  ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการศึกษาเล่าเรียน

          4. เป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตา กรุณา และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

          5.  เป็นผู้มีสติไม่หลงลืม

          6.  เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ คือ มีความรู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่

          7.  เป็นผู้มีศีล คือ ประพฤติสุจริต ไม่ประพฤติทุจริต

          8.  เป็นผู้มีสมาธิ คือ ความเป็นผู้มีจิตใจตั้งมั่น

          9.  เป็นผู้มีปัญญา คือ ความรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และโทษภัยต่างๆ

          10.เป็นกุศลนำไปสู่สุคติ

ประโยชน์ของการแผ่เมตตา  ๑๐  ข้อ

          1. หลับเป็นสุข

         2. ตื่นเป็นสุข

         3. ไม่ฝันร้าย

         4. เป็นที่รักแห่งมนุษย์ทั้งหลาย

         5. เป็นที่รักแห่งอมนุษย์ทั้งหลาย

         6. เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา

         7. ไฟ ยาพิษ อาวุธไม่กล้ำกลาย

         8. จิตตั้งมั่นได้โดยเร็ว

         9. สีหน้าย่อมผ่องใส

        10.มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

    จากความคิดเห็นดังกล่าว  จะเห็นได้ว่า การสวดมนต์ไหว้พระและทำสมาธิจะเป็นประโยชน์ จะช่วยให้นักเรียนได้รับอานิสงส์แห่งการสวดมนต์และทำสมาธิ  มีสุขภาพจิตที่ดีเป็นคนดีของสังคมมีภูมิคุ้มกันในการสร้างสังคมของประเทศชาติให้มีความสุขสืบไป

หมายเลขบันทึก: 322262เขียนเมื่อ 23 ธันวาคม 2009 00:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 23:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ดีจังเลยคะ คุณเป็นคนน่านับถือนะคะ

เป็นคนที่ใฝ่ในธรรมที่น่าทึ่งคนหนึ่ง เยี่ยมมาก

อนุโทนานะคะ

วันนี้สวดมนให้กรุงเทพ

Good สาธุๆๆๆๆๆๆ

ต้องอนุโมทนาบุญกับเจ้าของเว็ปนี้ เผอญผ่านเข้ามาอ่านเล่นๆ แต่ใจความอันหนึ่งที่เป็นจริงที่เกิดขึ้น กับตัวเราเอง เพราะเราเป็นโรคหัวใจที่เขาเรียกว่า Atrial Fibrillation เราไม่รู้ว่าเป็นมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ปลายปี 2559 เรารู้สึกว่าเหนื่อยอ่อน และบางครั้งเหมือน อากาศไม่ค่อยพอเพียงที่จะหายใจ สาเหตุของโรคก็คงเพราะความเครียดสะสม

เราก็ไปหาหมอได้ยามาเยอะแยะ ไปหาหลายหมอทั้งทางวิทยาศาสตร์และแผนปัจจุบัน

สิ่งที่เราทำที่น่าจะเกี่ยวข้องคืด

1.เรานอนหัวค่ำ..ตื่นมานั่งสมาธิตอน ตี 4...อย่างสบายๆ

2.เราทานอาหารดีขึ้น...มีผักมากขึ้น ลดเนื้อลง..โดยเฉพาะ Seafood

3.เราทานอาหารเสริม เมื่อสัก 15 วันนี้เอง

4.เราหนีไปอยู่ที่มันเครียดน้อยลง และได้โอกาสนอนหัวค่ำ 

5.เราก็ทานยาตามที่หมอให้ แต่ในที่สุดก็ลดยาลงๆ จนเหลือตัวเดียว

6.เราสวดมนตร์เป็นประจำ และตั้งใจสวด มีสติออกเสียง ให้เสียงอยู่ในระดับเดียวกันอย่างสบายๆ 

สัก 10 วันมาแล้ว เรารู้สึกว่าหัวใจเราเต้นเป็นปกติ วันนี้ไปหาหมอตรวจหัวใจปรากฎว่า หัวใจเต้นเป็นปกติแล้ว สิ่งหนึ่งที่ฉันคิว่าสำคัญ คือการได้สวดมนตร์ และการนั่งสมาธิ นี้เอง

ต้องอนุโมทนาบุญกับเจ้าของเว็ปนี้ เผอญผ่านเข้ามาอ่านเล่นๆ แต่ใจความอันหนึ่งที่เป็นจริงที่เกิดขึ้น กับตัวเราเอง เพราะเราเป็นโรคหัวใจที่เขาเรียกว่า Atrial Fibrillation เราไม่รู้ว่าเป็นมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ปลายปี 2559 เรารู้สึกว่าเหนื่อยอ่อน และบางครั้งเหมือน อากาศไม่ค่อยพอเพียงที่จะหายใจ สาเหตุของโรคก็คงเพราะความเครียดสะสม

เราก็ไปหาหมอได้ยามาเยอะแยะ ไปหาหลายหมอทั้งทางวิทยาศาสตร์และแผนปัจจุบัน

สิ่งที่เราทำที่น่าจะเกี่ยวข้องคืด

1.เรานอนหัวค่ำ..ตื่นมานั่งสมาธิตอน ตี 4...อย่างสบายๆ

2.เราทานอาหารดีขึ้น...มีผักมากขึ้น ลดเนื้อลง..โดยเฉพาะ Seafood

3.เราทานอาหารเสริม เมื่อสัก 15 วันนี้เอง

4.เราหนีไปอยู่ที่มันเครียดน้อยลง และได้โอกาสนอนหัวค่ำ 

5.เราก็ทานยาตามที่หมอให้ แต่ในที่สุดก็ลดยาลงๆ จนเหลือตัวเดียว

6.เราสวดมนตร์เป็นประจำ และตั้งใจสวด มีสติออกเสียง ให้เสียงอยู่ในระดับเดียวกันอย่างสบายๆ 

สัก 10 วันมาแล้ว เรารู้สึกว่าหัวใจเราเต้นเป็นปกติ วันนี้ไปหาหมอตรวจหัวใจปรากฎว่า หัวใจเต้นเป็นปกติแล้ว สิ่งหนึ่งที่ฉันคิว่าสำคัญ คือการได้สวดมนตร์ และการนั่งสมาธิ นี้เอง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท