ก่อนจะไปไหว้พระสีวลี เรามารู้จักบุพกรรมของท่านก่อนนะคะ เพื่อนอยากรู้ไหมค่ะว่า ทำไม “พระสีวลี” จึงได้ เอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีลาภมาก อ.ญาณภัทร ยอดแก้ว มหาเปรียญ ๙ ค้นมาให้ค่ะ ลองอ่านดูนะคะ ย้อนอดีตไปหลายกัปเลยค่ะ น่าสนใจและเป็นประโยชน์มากจริงๆค่ะ
ลำดับนั้น ท่านพระสีวลีเถระ ได้บรรลุพระอรหัต ได้รับเอตทัคคะแล้ว ระลึกถึงบุรพกรรมของตนแล้ว เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนได้เคยประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้.
สีวลิเถราปทานที่ ๓ (๕๔๓) ว่าด้วยบุพจริยาของพระสีวลิเถระ
[๑๓๓ ] ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่า “ปทุมุตตระ” ผู้มีจักษุในธรรมทั้งปวงเป็นผู้นำ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ศีลของพระองค์ ใคร ๆ ก็คำนวณไม่ได้ สมาธิของพระองค์เปรียบ ด้วยแก้ววิเชียร ฌานอันประเสริฐของพระองค์ ใคร ๆ ก็นับไม่ได้ และวิมุตติของพระองค์ก็หา อะไรเปรียบมิได้ พระนายกเจ้าทรงแสดงธรรมในสมาคม มนุษย์ เทวดา นาคและพรหม ซึ่งเกลื่อนกล่นไปด้วยสมณะและพราหมณ์พระพุทธองค์ก็แกล้วกล้าในบริษัท ทรงตั้งสาวกของพระองค์ ผู้มีลาภมากมีบุญ ทรงซึ่งฤทธิ์อันรุ่งเรือง ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
ครั้งนั้น เรา (พระสีวลี) เป็นกษัตริย์ในพระนครหังสวดี ได้ยินพระพิชิตมารตรัสถึงคุณเป็นอันมากของพระสาวก ดังนั้น จึงได้นิมนต์พระชินสีห์พร้อม ทั้งพระสาวก ให้เสวยและฉันถึง ๗ วัน ครั้นถวายมหาทานแล้วก็ได้ปรารถนาฐานันดรนั้น พระธีรเจ้าผู้ประเสริฐกว่าบุรุษ ทอดพระเนตรเห็นเราหมอบอยู่แทบพระบาทในคราวนั้นจึงได้ตรัสพระดำรัสด้วยพระสุรเสียงอันดัง
ลำดับนั้น มหาชน ทวยเทพ คนธรรพ์ พรหมผู้มีฤทธิ์มากและสมณพราหมณ์ ผู้ใคร่จะฟังพระพุทธพจน์ ต่างประณตน้อมถวายนมัสการทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษผู้เป็นอาชาไนยข้าพระองค์ทั้งหลายขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นอุดมบุรุษ ข้าพระองค์ทั้งหลาย
ขอนอบน้อมแด่พระองค์ พระมหากษัตริย์ได้ถวายทานกว่า ๗ วัน ข้าพระองค์ทั้งหลายประสงค์จะฟังผลของมหาทานนั้น ข้าแต่พระมหามุนีขอได้ทรงโปรดพยากรณ์เถิด
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงคอยสดับภาษิตของเรา ทักษิณาที่ตั้งไว้ในพระพุทธเจ้าผู้มีคุณหาประมาณมิได้พร้อมทั้งพระสงฆ์ ใครเล่าจะเป็นผู้ถือเอามากล่าวเพราะทักษิณานั้น มีผลหาประมาณมิได้ อีกประการหนึ่งกษัตริย์ผู้มีโภคะมานี้ ทรงปรารถนาฐานันดรอันอุดมว่า ถึงเราก็พึงเป็นผู้ได้ลาภมาก เหมือนภิกษุชื่อ สุทัสสนะ ฉะนั้นเถิด มหาบพิตรจักได้ฐานันดรนี้ในอนาคต
ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ไปพระศาสดามีพระนามว่า “โคดม” ซึ่งสมภพในวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก กษัตริย์องค์นี้จักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดา นามชื่อว่า “สีวลี”
เพราะกรรมที่ทำไว้ดีแล้ว และเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เรา (กษัตริย์ในพระนครหังสวดีหรืออดีตของพระสีวลี) ละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้พระโลกนายกพระนามว่า “วิปัสสี” ผู้มีพระเนตรงดงาม ทรงเห็นแจ้งธรรมทั้งปวง ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น เรา (พระสีวลี) เป็นคนโปรดปรานของสกุลหนึ่งในพระนครพันธุมวดี และเป็นคนที่หมั่นขยันขวนขวายในกิจการงาน ครั้งนั้น พระราชาพระองค์หนึ่งตรัสสั่งให้นายช่างสร้างพระอารามซึ่งปรากฏว่าใหญ่โต ถวายสมเด็จพระวิปัสสี ผู้แสวงหาประโยชน์ใหญ่ เมื่อการสร้างพระอารามสำเร็จแล้ว ชนทั้งหลายได้ถวายมหาทานซึ่งเข้าใจว่า ของเคี้ยวชนทั้งหลาย ค้นคว้าหานมส้มใหม่และน้ำผึ้งไม่ได้ เวลานั้น เราถือนมส้มใหญ่และน้ำผึ้งไปเรือนของนายงาน ชนทั้งหลายที่แสวงหานมส้มใหญ่และน้ำผึ้งพบเราเข้า ของสองสิ่งเขาได้ให้ราคาตั้งพันกหาปณะก็ยังไม่ได้ไป
ครั้งนั้น เราคิดว่าของสองสิ่งนี้เราไม่มี กะใจที่จะขายมัน ชนเหล่านี้ทั้งหมดสักการะพระตถาคต ฉันใด แม้เราก็จะทำสักการะในพระผู้นำโลกกับพระสงฆ์ ฉันนั้นก็เหมือนกัน ครั้งนั้น เราได้นำเอาไปแล้ว ผสมนมส้มกับน้ำผึ้งป่าด้วยกัน แล้วถวายแด่พระโลกนาถพร้อมทั้งพระสงฆ์เพราะกรรมที่ทำไว้ดีแล้วและเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ต่อมา เรา (พระสีวลี) ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้มียศใหญ่ในพระนครพาราณสี ในครั้งนั้น เราเคืองศัตรูจึงสั่งใหญ่ทหารทำการล้อมประตูเมืองศัตรูไว้
ประตูที่ถูกล้อมของพระราชาผู้มีเดชรักษาไว้ได้เพียงวันเดียว เพราะผลของกรรมนั้น เราจึงต้องตกนรกอันร้ายกาจที่สุด
และในภพสุดท้ายในบัดนี้ เรา (พระสีวลี) เกิดในโกลิยบุรี พระชนนีของเราพระนามว่า สุปปวาสา พระชนกของเรา พระนามว่า มหาลิลิจฉวี เราเกิดในราชวงศ์เพราะบุญกรรม เพราะการล้อมประตูเมืองให้ผล เราจึงต้องประสบทุกข์อยู่ในพระครรภ์ของพระมารดาถึง ๗ ปี
เราต้องหลงทวารอยู่อีก ๗ วัน เพียบพร้อมไปด้วยมหันตทุกข์ พระมารดาของเราต้องประสบทุกข์ด้วยเช่นนี้ ก็เพราะให้ฉันทะในการล้อมประตูเมือง
เราอันพระพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์ จึงออกจากพระครรภ์พระมารดาโดยสวัสดีเราได้ออก บวชเป็นบรรพชิต ในวันที่เราคลอดออกมานั่นเอง
ท่านพระสารีบุตรเถระ เป็นอุปัชฌาย์ของเรา พระโมคคัลลานเถระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มีปรีชามาก เมื่อปลงผมให้ได้อนุศาสน์ พร่ำสอนเราเราได้บรรลุอรหัต เมื่อกำลังปลงผมอยู่ ทวยเทพนาคและมนุษย์ ต่างก็น้อมนำปัจจัยเข้ามาถวายเรา เพราะเศษของกรรมที่เราเป็นผู้เบิกบานบูชาพระผู้นำชน พิเศษพระนามว่า “ปทุมุตตระ” และพระนามว่า “วิปัสสี” ด้วยปัจจัยทั้งหลายโดยพิเศษเราจึงได้ลาภอันอุดมไพบูลย์ทุกแห่งหน คือ ในป่า ในบ้าน ในน้ำ บนบกในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้นำโลก ชั้นเลิศ พร้อมด้วยภิกษุสามหมื่นรูป เสด็จไปเยี่ยมท่านพระเรวตะ
พระพุทธเจ้าผู้มีพระปรีชาใหญ่ มีความเพียรมาก เป็นนายกของโลก พร้อมด้วยพระสงฆ์ เป็นผู้อันเราบำรุงด้วยปัจจัยที่เทวดานำเข้ามาถวายเราได้เสด็จไปเยี่ยมท่านเรวตะแล้ว ภายหลังเสด็จกลับมายังพระเชตวันมหาวิหารแล้ว จึงทรงแต่งตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
พระศาสดาผู้ทรงประพฤติประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง ได้ตรัสสรรเสริญเราในท่ามกลางบริษัทว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในบรรดาสาวกของเรา ภิกษุสีวลีเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายที่มีลาภมา เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระสีวลีเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้
ด้วยประการ จบสีวลิเถราปทาน
เชิญอ่านรายละเอียดต่อได้ที่นี่นะคะ
อรรถกถาสีวลิเถรปทาน: ผลแห่งการถวายทานของพระสีวลี
http://gotoknow.org/blog/veeranon/316083
อรรถกถาสีวลิเถรปทาน: บุรพกรรมของพระสีวลี
http://gotoknow.org/blog/veeranon/316088
อรรถกถาสีวลิเถรปทาน: เอตทัคคะของพระสีวลี
http://gotoknow.org/blog/veeranon/316090
บุญรักษา ธรรมคุ้มครองค่ะ
ไม่มีความเห็น