บันทึกการเดินทางด้วยรอยเท้าของตัวเอง (11) : ผมเหลือเวลาที่ต้องใช้ชีวิตอย่างจริงจังแค่ 15 ปี


ทุกครั้งที่ต้องเดินทางไปที่ไหนสักแห่งที่ห่างไกลจากบ้านเกิดและคนรัก ผมจำต้องใช้ความเข้มแข็งอย่างมหาศาลเพื่อขับเคี่ยวกับความเหงาที่เกาะกุมในหัวใจของผม

กลับจากเวียดนามได้เพียงไม่กี่วัน  ผมก็เตรียมตัวออกเดินทางมายังมหาวิทยาลัยนเรศวร (พิษณุโลก)  เพื่อเป็นวิทยากรร่วมเสวนา 3 วันติดต่อกัน นั่นคือ 23-25 พฤศจิกายน 2552

 

ก็อย่างที่บอก ครึ่งปีให้หลังมานี้  ผมเดินทางแทบว่าเล่น  คล้ายกับมีบ้านอยู่บนเส้นทางที่คลาคล่ำไปด้วยรถราและผู้คนอันหลากหน้า จนบางทีก็แยกไม่ออกบอกไม่ถูกเหมือนกันว่า การเดินทางในแต่ละครั้งอบอุ่น หรือเหว่ว้า กันแน่

 

แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนช่างคิดช่างฝัน  ผมจึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกครั้งที่ต้องเดินทางไปที่ไหนสักแห่งที่ห่างไกลจากบ้านเกิดและคนรัก  -ผมจำต้องใช้ความเข้มแข็งอย่างมหาศาลเพื่อขับเคี่ยวกับความเหงาที่เกาะกุมในหัวใจของผม จนบางครั้งก็ราวกับว่า ความเข้มแข็งของหัวใจกำลังรบพุ่งอยู่กับเจ้าความเหงานั่นเอง

 

 

ภาพทุ่งนาในเขตอำเภอวังทอง-พิษณุโลกที่กำลังทำนานอกฤดู..(อีกครั้ง)

 

การเดินทางในแต่ละครั้ง  ผมเต็มไปด้วยเรื่องราวให้ขบคิด ...ไม่สิ,มันไม่น่าจะเรียกว่าคิดหรอก  เพราะที่จริงนั้น มันออกจะเป็นความเพ้อฝันและฟุ้งฝันเสียมากกว่า ...

 

ผมมักฝันถึงเรื่องราวของอนาคต  ฝันถึงเรื่องราวของวันพรุ่งนี้ โดยลืมไปว่าวันนี้ผมกำลังอยู่ที่ไหนและอย่างไรกับจังหวะก้าวของตัวเอง  แต่ที่ชัดเจนเหลือเกินแล้วนั่นก็คือ  การเฝ้าฝันว่าสักวันหนึ่ง “ผมจะกลับบ้าน”

 

การกลับบ้านในความหมายของผมนั้น  ผมหมายถึงการกลับไปใช้ชีวิตด้วยการลงหลักปักฐานที่บ้านเกิดของตัวเองแบบเต็มร้อย  ปลูกบ้านสวนเล็กๆ สักหลัง  ปลูกต้นไม้เยอะๆ บริเวณบ้านมีที่ว่างให้ชีวิตได้เดินเล่นในทุกๆ ฤดูกาลอย่างไม่อึดอัด  ถึงหน้าฝนก็ปลูกข้าว ถึงหน้าหนาวก็เก็บเกี่ยว
ถึงหน้าแล้งก็พลิกแปลงดินไปสู่การเพาะปลูกอื่นๆ เฉกเช่นกับที่ผมเคยสัมผัสมาในวัยเยาว์ของชีวิต

 

อีกท้องทุ่งเขตในวังทองที่บอกว่าการเก็บเกี่ยวเพิ่งจากลาไป

 

วันก่อนผมคุยกับเพื่อนร่วมเสวนาว่า “ผมน่าจะมีเวลาให้ใช้ชีวิตเต็มที่ก็ไม่เกิน 15 ปี”  หลังจากนั้น ถ้าไม่สิ้นลมหายใจไปก่อน ผมก็จะเตรียมตัวเพื่อบอกลากับโลกและชีวิตอย่างมีสติให้มากที่สุดเท่าที่จะพึงกระทำได้

 

ดังนั้น  15 ปีที่เหลืออยู่นี้  ผมจึงถามตัวเองว่า  ผมสามารถปลูกต้นไม้ได้สักกี่ต้น ผมสามารถสอนหนังสือเด็กๆ ในหมู่บ้านได้สักกี่รุ่น  ผมสามารถเป็นชาวนาได้สักกี่ฤดู  และนั่นก็หมายรวมถึงการที่ผมสามารถที่จะเห็นความเติบโตของลูกๆ ได้สักกี่มากน้อย

 

ไม่รู้สิ, ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ระยะหลังนี้ ผมถึงคิดถึงการกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดถี่ครั้งจนแทบไม่น่าเชื่อ  จนบางทีผมก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่า-บัดนี้ผมอิ่มตัวกับโลกแห่งการงานของปัจจุบันเสียแล้วก็เป็นได้...

 

 

ผมเพิ่งรับราชการได้ไม่ถึง 15 ปี...อายุอานามยังไม่ไม่วิ่งเข้าลู่เลขสี่  แต่ก็กล้าพอที่จะบอกว่า 
ผมเอาอนาคตมาใช้อย่างมากมายแล้วล่ะ  จนบางทีก็รู้สึกว่าทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตราวกับคนอายุที่แล่นเล่นอยู่ในลู่เลขสี่เลขห้าไปแล้ว

 

ยิ่งวันนี้  ผมเดินทางเข้าสู่เมืองพิษณุโลกด้วยตัวคนเดียว  ความฝันมากมายก็เกิดอาการฟุ้งฝันขึ้นมาอีกระลอก  ยิ่งขับรถผ่านท้องทุ่งนาแถวๆ อำเภอวังทอง  ผมยิ่งหวนคิดคำนึงถึง “บ้านเกิด”
ของตัวเองอย่างหน่วงหนัก

 

ทุ่งนาแถวนี้  ผมพบเจอมาหลายครั้งหลายฤดู  และแต่ละครั้ง ผมก็ชื่นชอบที่จะเพ่งดูเสมอๆ 
รวมถึงชี้นิ้วให้เพื่อนผู้ร่วมเดินทางได้ซึมซับภาพแห่งชีวิตนั้นด้วย  ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่า  พวกเขาทั้งหลายหลงรักในความงามที่ผมชี้ให้ดูนั้นหรือไม่  แต่ทุกครั้งที่ว่านั้น  ผมก็ไม่เคยปลงใจให้รถหยุดวิ่ง เพื่อลงไปบันทึกภาพเหล่านั้นสักครั้งเดียว

 

ครั้งนี้...ผมไม่ยอมให้ความลังเลใดๆ มาฉุดพรากผมไปจากท้องทุ่งเหล่านั้นอีกรอบ 
ผมหยุดรถตามเส้นทางเป็นระยะๆ  คว้ากล้องแสนรักดุ่มเดินลงไปตามท้องทุ่งนั้นอย่างตื่นเต้น...พร้อมๆ กับการลั่นชัตเตอร์ราวกับกำลังบันทึกภาพคนรักของตัวเองยังไงยังงั้น..

 

ตอนนี้แถวบ้านผมกำลังลงนาเก็บเกี่ยวผลผลิตกันอย่างยกใหญ่  หากแต่ท้องทุ่งแถววังทองกลับเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว  พร้อมๆ กับการเริ่มที่จะหว่านกล้าสู่การปักดำนอกฤดูอีกรอบ

 

 

ในความเป็นจริง  เราสามารถกำหนดฤดูกาลได้ด้วยหรือ ?
เราปักดำปลูกข้าว ได้มากกว่าหนึ่งฤดู...
แล้วฤดูกาลความฝันของคนเราล่ะ  เราต้องทำเช่นใดกันบ้าง-
นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังถามย้ำกับตัวเองอย่างจริงจังและถามซ้ำอย่างหนักหน่วง

 

ผมบอกกับตัวเองว่า จากนี้ไป...ผมจำต้องให้คำตอบกับตัวเองในเร็ววันนี้
เพราะผมเหลือเวลาที่ต้องใช้อย่างจริงจังแค่ 15 ปีเท่านั้น
...

 

ปตท.
ถนนเลี่ยงเมืองพิษณุโลก
๒๒ พ.ย. ๕๒

หมายเลขบันทึก: 315335เขียนเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2009 19:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)
  • มาอ่านบันทึกนี้ด้วยความเข้าใจค่ะ
  • ชีวิตที่เรียบง่ายอยู่กับธรรมชาติอันบริสุทธิ์...
    น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของชีวิต
    ขอเพียงเจ้าของชีวิตกล้าก้าวล่วงจากโลกธรรม ๘ ให้พ้น...ก็เท่านั้นเอง...
  • ขอบพระคุณค่ะ

สวัสดีค่ะพี่พนัส

  • การเดินทางที่ยาวไกล..ทำให้หัวใจหวั่นไหว
  • ความเงียบเหงา..มารุมเร้า..
  • อากาศที่หนาว แต่ใจกลับหนาวกว่า...
  • แต่คนไกลตัวนั้นคงรับรู้ได้....
  • ถึงความรักและห่วงใยที่ไม่เคยห่างไกลจากกันเลยค่ะ
  • ผมรู้สึกว่า...ผมรับ"อารมณ์"ของบันทึกนี้ได้ค่อนข้างมากนะครับ...
  • คงเพราะผมนับถอยหลังแล้วครับ... 10 ปี ก็อิสระ...
  • ไม่ใช่ผมไม่ชอบงานที่ "เป็น-อยู่-คือ" นะครับ...
  • ชอบ และ "ที่สุด" ด้วย...
  • จึงตัดสินใจ "นับถอยหลัง" ครับ
  • เพื่อจะได้เป็น "ครู ในอุดมคติ" ของตนเองอย่างอิสระ แท้จริง...
  • ผมเบื่อ "SAR" , "KPI" , "Impact facter" , "Working load" ฯลฯ
  • ที่ล้วนแล้วแต่ "เพื่อการประเมิน" ไม่ได้เพื่อ "วิญญาณครู" เอาซะเลย
  • ผมกำลังเตรียม "โรงเรียนของตนเอง" ครับ
  • เป็นโรงเรียนที่บ้านนอก ประมาณ 12 ไร่
  • ที่นั่น ผมจะสอนเกษตรกรเรื่อง กล้วยไม้ พืชยังชีพ ระบบปลูกพืช ฯลฯ
  • ที่ผมสอนนักสอนหนา "ในระบบ"...
  • แต่ไม่ค่อยถึงมือ "เจ้าของประเทศ ที่แท้จริง" เลยครับ...
  • ผมจะสอน "เด็กเล็ก" , ติววิชาวิทย์-คณิตฯ "สามเณร" ฯลฯ
  • แล้วเป็น "นักเรียนชีวิต" แบบ "ศึกษาตลอดชีพ"....
  • เลยเจอกัน...วันนั้น นะครับ....
  • ชยพร แอคะรัจน์

เหนื่อยนัก พักก่อน ผ่อนกายี

ให้แรงดี ค่อยคิด จิตสดใส

รู้เพียร รู้พัก หนักคลายได้

กำลังใจ รักษา สูงไว้เอย

สวัสดีค่ะ อาจารย์ มาเยี่ยมชมความงามของภาษาความคิดและภาพธรรมชาติค่ะ

ขอบคุณค่ะ

คิดถึงและเป็นกำลังใจเสมอคะ

ชัดเจน แจ่มแจ๋ว ...

ต่างคนก็ต่างมีเหตุผล ที่จะอยู่หรือจะไป

เมื่อถึงเวลาทุกคนก็มีที่มาและที่ไปเสมอ

อ่านบันทึกนี้แล้วให้หวนคิดถึงระบบราชการสมัยใหม่...

ส่งเสริมคนดีและพัฒนาประเทศเหมือนที่ว่าไว้หรือไม่

ใครจะเป็นคนสรุปประเมิน...(อีกล่ะ..)มี KPI รึเปล่า..อิ อิ

เอาภาพท้องฟ้า ทุ่งนาบ้านเรามาฝาก

อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด

อะไรจะเป็นก็ให้มันเป็น.....ชีวิตก็เป็นเช่นนี้...

ขอบคุณค่ะ...^_^

อ่านแล้วโดนค่ะ โดน การเดินทางทุกๆคราครั้ง ก็มีความรู้สึกคล้ายๆ อย่างนี้ค่ะ

จึงอาจจะพูดได้ว่า สามารถรับอารมณ์ในบันทึกนี้ได้เช่นกันค่ะ ... ;)

หากแต่ชีวิตคือการเดินทาง เป็นกำลังใจให้ความฝันของหนุ่มโรฯ กลางทุ่งนะคะ

ไม่ว่าจะเหลือเวลาเท่าไหร่ ขอให้เพลิดเพลินและรื่นรมย์ทุกโมงยามแห่งเส้นทาง

ที่ที่เรามีความสุขที่สุด คือ ที่ที่เราเกิด

และแล้วเราก็จะกลับไปมีความสุขที่บ้านเกิด

พวกเรามาร่วมกันนับถอยหลังกันนะคะ เวลาพวกเราได้เหลือน้อยลงแล้ว

คงเหลือไว้แต่คุณงามความดี ที่พอจะเป็นศรีให้กับ"แผ่นดิน"

บันทึกดี รู้สึกดี อิ่มเอมและเปรมปรีด์

ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ

อ่านแล้วทำให้เข้าใจความรู้สึกผู้เขียนได้ดี

ท้ายที่สุดแล้วชีวิตก็ต้องวิ่งหาธรรมชาติ

ธรรมะ กับบทสุดท้ายของชีวิต............

ที่หลีกเลี่ยงได้ไม่.......ขอเราอย่าดำเนินชีวิต

ด้วยความประมาท ขอให้คุณมีความสุขกับฝันนั้น

และทำมันให้เป็นจริงสมปราถนานะคะ

สวัสดีค่ะ...

เห็นภาพแล้วก็คุ้น ๆ อ้าว...ก็ถิ่นที่เราเคยผ่านนี่นา...

ใช้แล้วค่ะ...ปัจจุบันคือการโลดแล่นอยู่บนเส้นทางที่เราเลือกเดินมาค่ะ...

แต่...สุดท้ายทุกคนก็กลับถิ่นฐานบ้านเราค่ะ...

สำหรับพี่เตรียมกลับถิ่นฐานเก่าแล้วค่ะ (อีก 13 ปี)

บั้นปลายของชีวิต...มีที่นา...ปลูกสักทองประมาณ เกือบ 1,000 ต้น ปัจจุบันอายุประมาณเกือบ 20 ปี แล้วค่ะ (ปลูกตั้งแต่เจ้าตัวโตอายุประมาณ 3 ขวบครึ่ง)  จนบัดนี้เกือบ 22 ปีแล้วค่ะ......มีความสุขดีออก...

จะทำอะไรให้รีบทำนะค่ะ...ทำเสียแต่เนิ่น ๆ อย่าทำตอนที่เกษียณเลย...

มันชุกระหุกค่ะ...วางแผนได้เลยค่ะ...จะทำอะไรให้เตรียมการณ์ไว้เลยค่ะ...

วัน เวลา ผ่านไปเร็วมาก ๆ ค่ะ...

เข้าไปในบันทึกการเดินทางร่วมกับท่านค่ะ รู้สึกได้ว่าใช่เลย คงเป็นเพราะว่าเราเกิดมากับภาพท้องทุ่ง ท้องนาหรือเปล่า เพราะที่บ้าน โคตรเหง้าทางคุณตาก็เป็นชาวนา100เปอร์เซ็นต์ ขอให้มีความสุขกับวันนี้และวันต่อๆไปค่ะ

อ่านแล้วเข้าใจนะคะ เพ้อฝันหรือ..ไม่น่าใช่

ใช้คำว่า เป็นคน ช่างคิด และละเอียดอ่อนกับเกือบทุกสิ่งที่ใกล้ ไกล ตัว

 

ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่บางคราวครั้ง ครุ่นคิด และไม่ลงมือทำ

อย่างไรก็ตาม เกือบหนึ่งปีนี้ ดิฉันเปลี่ยนแปลงชีวิตไปมาก

ทำตามใจที่ตัวเองเคยฝันไว้

 

อยากเป็นครู

 

เมื่อสองสามวัน หลังจบการสอนหนังสือ

ได้รับการพุดคุยจากลูกศิษย์แบบกันเอง เช่น

อาจารย์ กลัวโรค หรือ กลัว/ตื่นเต้น กับคนไข้แบบไหนมากที่สุด..

อาจารย์อยากเป็นหมอจริง ๆ หรือ...

 

 

รู้สึกว่า เรามีความสุข ค่ะ

เป็นบันทึกที่สะท้อนความคิดของผู้เป็นเจ้าของบันทึก

หากแต่ยังกระทบมาถึงผู้อ่านที่ในหัวอกก็หวนไห้ไม่ต่างกัน

.................................

เราสามารถกำหนดฤดูกาลได้ด้วยหรือ ?

แล้วฤดูกาลความฝันของคนเราล่ะ  เราต้องทำเช่นใดกันบ้าง....

..................................

เป็นคำถามที่แป๋มเองก็กำลังหาคำตอบเช่นกันค่ะ พี่พนัส..

สวัสดีครับ ธรรมทิพย์

  • ตอนนี้มันเหมือนคนเฬ่าคนแก่ที่ตั้งหน้าตั้งตาหันหน้าไปวัดไปวา
  • ผมก็เหมือนคนแก่ ที่ตั้งหน้าตั้งตา ฮำฮีฮำฮอน จะกลับบ้านให้ได้...
  • ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ..คุณน้อง-พิชชา

ผมเชื่ออยู่อย่างว่า "สักวันหนึ่ง-สายลมแห่งรัก จะพาเรากลับบ้าน" ...

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ อ.ชยพร แอคะรัจน์

  • ตอนนี้เป็นถึงไหนแล้วครับ "โรงเรียนในฝัน" และการเป็นนักเรียนชีวิตในระบบการศึกษาตลอดชีพ
  • ผมเองก็พยายามทำใจใคร่รู้กับ "SAR" , "KPI" , กพร...
  • สนุก ท้าทายไปอีกแบบ
  • แต่ที่ไม่ชอบก็คือ การไม่ปรารถนาให้ทำสิ่งเหล่านั้นเป็นแค่การจัดเก็บเอกสารเท่านั้น
  • ซึ่งนั่นคือสิ่งที่สื่อสารกับทีมงานเสมอมา...
  • ...
  • ขอบคุณครับ
  • และให้กำลังใจสำหรับการเดินตามความฝันนะครับ

สวัสดีครับ พี่ใบบุญ

สบายดีนะครับ..สองสามวัน อากาศเหมือนจะร้อน เหมือนฝนจะตก แต่ทุกอย่างก็พลิกไปพลิกมา...

มีพลังชีวิตเยอะๆ นะครับ-ผมเป็นกำลังใจให้

สวัสดีครับ ♥paula .`๏'- ที่ปรึกษาตัวน้อย.`๏'-

ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจนะครับ

ธรรมชาติ งดงามไปตามฤดูกาลเสมอ...

...ผมเชื่อเช่นนั้น นะครับ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท