วันนี้ได้โอกาสมาช่วยแม่กับพ่อเกี่ยวข้าว หลังจากที่หนูแทบไม่ได้เกี่ยวข้าวมาสิบกว่าปี พอเดินลงนาแม่ก็มาช่วยจัดแจงผ้าโพก ตอนใส่ก็รู้สึกรำคาญอยู่ค่ะ แต่ก็ต้องเชื่อฟังไว้ก่อน พอใส่นาน ๆ ไปก็ชิน
สวมรองเท้าบูธ แม่บอกว่า “กันตอฟางตำเท้าและน้ำยังแฉะอยู่” ข้าวแปลงที่เรากำลังเกี่ยวเป็นข้าวที่งามมากจนล้ม โชคดีที่ยังล้มเป็นทางเดียวกัน
แม่เห็นท่าทีหนูเงอะ ๆ งะ ๆ หัวเราะแล้วหันมาสอนอย่างเอ็นดูว่า
"ต้องเอาเท้ายกลำข้าวขึ้นมาก่อน แล้วค่อยเอามือรวบแล้ว เกี่ยวต้นข้าวให้ขาด หันเคียวให้เอียง ๆ"
พ่อหยุดมาดูท่าเกี่ยวข้าวของหนู ท่านขำ ๆ แล้วก็แซวว่า
“คนเรานี่ไม่ทำนาน ๆ ก็ลืมเหมือนกันเนาะ” แล้วก็เหมือนท่านนึกได้ว่า
“เออมันแทบไม่เคยช่วยเกี่ยวข้าวเลยนี่หว่า ตอนเด็ก ๆ ก็มีแต่ช่วยช่วยถอนกล้า กับดำนา”
แล้วหนูก็นึกย้อน อืมเหมือนจะเคยเกี่ยวข้าวตอนอยู่ประถม แต่พอโตมาไม่ได้ช่วย สรุปหนูไม่ได้เกี่ยวข้าวมาเกือบ 16 ปี
โห นึกย้อนตัวเลขแล้วก็ตกใจ แต่พอทำไปสักพักก็พอเริ่มเข้าร่องเข้ารอย แล้วก็มีเสียงว่า “ดีเหมือนกันเจริญสติกับการเกี่ยวข้าว”
ดูเหมือนว่า แต่ละท่านก็ไม่ได้หวังให้หนูเกี่ยวข้าวได้เยอะ ๆ หรอกค่ะ แค่มาท่านก็ดีใจ ประมาณว่าไปเป็นสีสัน แถมป้า ๆ อยู่นาข้าง ๆ หันมาแซวว่า "คุณหมอเกี่ยวข้าวเป็นด้วยเหรอ" หนูได้แต่หัวเราะเหอะ ๆ
มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็ก หันไปดูที่นาผืนข้าง ๆ ดูเหมือนว่าแต่ละคนชุบโคลน เห็นเด็ก ๆ แล้วก็โอ้ เหนือคำบรรยาย
แต่พอประมาณห้าโมงเย็น พ่อเตือนว่า “ถ้าจะไปนอนวัดภู ให้กลับได้แล้ว” รู้สึกดีใจที่พ่อเป็นห่วงว่าลูกจะไม่ได้ทำตามความตั้งใจ หนูจึงขับรถกลับบ้านด้วยใจที่มีความสุข ยิ้มแก้มแทบปริ
กราบขอบพระคุณครูที่แนะนำให้กลับบ้าน และคอยเตือนสติหนูเสมอ ๆ เพราะตอนแรกมีแต่คิดว่าต้องไปวัด ไปวัด จนใจขุ่นมัว พอครูโทรมาเตือนสติ ค่อย ๆ ปล่อยให้มันเป็นไป มีอะไรทำก็ทำ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ใจค่อยเบาลงเพ่งโทษน้อยลง
ไม่มีความเห็น