โบสถ์ที่วัดมีสีสันสดใส เป็นสถาปัตยกรรมที่แปลกตา ภาพวาดประดับโบสถ์ดูสดใสดี แม้ว่าลักษณะสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมจะแตกต่างกันกับวัดที่เมืองไทย แต่ทว่าต่างแสดงออกถึงความศรัทธาที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย...
ไกด์ให้เวลาเดินตลาดเช้าเพียง 30 นาที
จึงได้เริ่มเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงพระบาง ระหว่างทางก่อนจะขึ้นเขา
แวะถ่ายรูปที่ผาตั้งวังเวียง ซึ่งเป็นผาที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนา
บรรยากาศดีมากๆ ตอนที่พวกเราไปถ่ายรูป
มีนักเรียนชาวลาวพากันเดินไปโรงเรียน บ้างก็ขี่รถจักรยาน
เป็นภาพที่ดูน่ารักดี
ด้านหลังข้าพเจ้าผาที่ตั้งตระหง่านอยู่
ก็คือผาตั้งนั่นเอง
นักเรียนชาวลาวเดินไปโรงเรียน
บ้างก็ขี่จักรยาน...ถ้าสังเกตให้ดีจะมีเดินเป็นคู่ด้วย
น่าอิจฉา
คนเฒ่าคนแก่เดินถือตะกร้าอย่างเร่งรีบเพื่อไปวัด
ขนาดว่ารีบยังมีเวลาหันมายิ้มให้กับกล้องอีกแน่ะ...มองไปฝั่งตรงข้ามก็เห็นแม่พาลูกๆ
ข้ามถนน ส่งลูกไปโรงเรียน ดูแล้วเป็นภาพที่น่ารักชะมัด
เลยอดกดชัตเตอร์เก็บมาฝากกันไม่ได้...
ที่หมู่บ้านผาตั้ง
หลังจากที่เดินทอดน่องข้ามสะพานชมบรรยากาศและถ่ายรูปแล้ว
พวกเราก็พากันเดินขึ้นบันไดไปชมวัดของหมู่บ้าน
(ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าวัดอะไร)
จุดประสงค์หลักคือไปเข้าห้องน้ำก่อนที่จะออกเดินทางต่อ...แต่พอเดินไปถึงที่วัด
บรรยากาศของวัดทำให้ข้าพเจ้าอดใจที่จะเดินดูรอบๆ ไม่ได้
(ปล่อยให้คนอื่นๆ เข้าห้องน้ำไปก่อน)โบสถ์ที่วัดมีสีสันสดใส
เป็นสถาปัตยกรรมที่แปลกตา ภาพวาดประดับโบสถ์ดูสดใสดี
แม้ว่าลักษณะสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมจะแตกต่างกันกับวัดที่เมืองไทย
แต่ทว่าต่างแสดงออกถึงความศรัทธาที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
ดูแล้วอิ่มใจดี...(ตามประสาคนชอบของสวยๆ งามๆ อิอิ)
ก่อนจะขึ้นภูเขาข้าพเจ้าต้องกินยาแก้เมารถไว้ก่อน
เพราะไกด์บอกว่าระยะทางจากวังเวียงไปหลวงพระบางนี้โหดมาก
มีมากมายหลายร้อยโค้งและเป็นภูเขา
ยิ่งกว่าที่แม่ฮ่องสอนอีก...ขนาดตอนไปแม่ฮ่องสอนข้าพเจ้ายังเมารถ...มาเที่ยวครั้งนี้ต้องรีบกินยากันไว้ดีกว่า
และก็เป็นอย่างทีไกด์ว่าจริงๆ ด้วย ระยะทางแม้ไม่ไกล
แต่ว่าต้องผ่านภูเขาหลายลูก
ทำให้ใช้เวลานานกว่าจะเดินทางถึงหลวงพระบาง
ระหว่างที่นั่งรถชมวิว
ชมความโค้งของถนนบนภูเขาน้องหมีบรรยายให้ฟังว่า...
ชาวลาวจะแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
ลาวลุ่ม...คืออยู่ในที่ราบ ทำอาชีพทำนา ค้าขาย
ลาวสูง และลาวเทิง อยู่บนภูเขาสูง (สูงจากระดับน้ำทะเล 500-1000
เมตร) ทำอาชีพทำไร่ ทำสวนเป็นหลัก
ระหว่างทางจะสังเกตได้ว่า ไม่ค่อยเห็นเสาโทรทัศน์
มีแต่จานดาวเทียม ไกด์เล่าให้ฟังว่าโทรทัศน์ที่ลาวมีสามช่อง
และไม่มีละครหลังข่าว สัญญาณโทรทัศน์ไม่ค่อยชัดเจน
ถ้าบ้านไหนต้องการดูโทรทัศน์ก็ต้องเก็บเงินซื้อจานดาวเทียม
ซึ่งจะชัดเจนกว่ากันมาก ( ชาวลาวนี่ก็ร่ำรวยไม่เบานะ)
นอกจากนี้ก็ระหว่างทางก็จะสังเกตว่าแต่ละบ้านมักจะปลูกต้นตะขบเอาไว้...ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันแฮะ
ออกจากผาตั้งถึงภูคูณ (บางคนเขียนว่าพูคูณ) ด้วยระยะทางประมาณ 84
กม. พวกเราแวะไปพักผ่อน ชมวิว ณ จุดสูงสุดบนยอดเขาก่อนเข้าเมืองภูคูณ
สามารถมองเห็นทิวเขาได้มากมายสุดสายตา...บางเขามีทุ่งดอกบัวตองบานเป็นหย่อมๆ
แม้จะบานไม่เต็มขุนเขาเหมือนที่แม่ฮ่องสอนเมืองไทย
แต่ก็ได้ช่วยแต้มสีสันให้กับขุนเขาสีเขียวทะมึนให้ดูสดใสขึ้น
น้องหมีเล่าว่าถ้าเป็นช่วงเดือนมกราคมดอกกากะเลา
หรือดอกอินทนิลจะบานเต็มหุบเขา
ทำให้ภูเขาแถบนี้เป็นสีม่วงสวยงามมาก...เอ ชักอยากจะเห็นแล้วสิ
สงสัยเดือนมกราคมคงต้องกลับไปอีกรอบจะได้รู้ว่าที่พูดน่ะ
จริงหรือว่าโม้ อิอิ
ขุนเขาแห่งเมืองภูคูณ
นั่งรถนับโค้งจนรู้สึกเวียนหัว ในที่สุด
คณะทัวร์เราก็พากันมาถึงยังเมืองหลวงพระบาง
จุดหมายปลายทางของการมาทัวร์ในครั้งนี้ ที่แรกที่พวกเราจะไปคือ
น้ำตกตาดกวงซี (บางคนเรียกน้ำตกตาดกวางสี)
เป็นสถานที่พักผ่อนที่ขึ้นชื่อของหลวงพระบาง
แทบทุกวันจะมีนักท่องเที่ยวมาเป็นจำนวนมากเพื่อชื่นชมความงาม
และพักผ่อนกับธรรมชาติอันงดงาม น้ำตกตาดกวงซีนี้มีน้ำเป็นสีฟ้าใส
คล้ายๆ กับที่น้ำตกเอราวัณ
กาญจนบุรี...แต่น้ำตกเอราวัณต้องเดินขึ้นไปชมหลายชั้นกว่า
พอมาถึงพบว่ามีฝรั่งมากมายใส่ชุดทูพีซเล่นน้ำตกเต็มไปหมด
เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้เฒ่าในคณะ 555
น้ำตกตาดกวงซี สีฟ้าใส
มีเชือกให้โหนตัวลงน้ำด้วย...น่าเล่นมากๆ
บริเวณน้ำตกตาดกวงซีเป็นโครงการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวแบบประชาชนมีส่วนร่วม
ในสมัยก่อนมีประเทศฝรั่งเศสมาช่วยพัฒนาบริเวณ มีการจัด rescue area
สำหรับอนุรักษ์พันธุ์หมี คือจัดบริเวณให้หมีอยู่ โดยมีเนื้อที่ประมาณ
2 ไร่
ล้อมรั้วมีไฟฟ้ากั้นแยกจากบริเวณท่องเที่ยวที่ให้ประชาชนเข้าชมไม่ให้เจ้าหมีออกมาทำร้ายคน
ข้าพเจ้าเดินไปพร้อมกับความคิดเรื่องการอนุรักษ์ การจำกัดบริเวณหมี
เป็นการอนุรักษ์อย่างนั้นเหรอ? แต่ก่อนที่คนจะเข้ามา
หมีเหล่านั้นก็อยู่อย่างอิสระ ไม่โดนจำกัดพื้นที่
แต่พอมนุษย์เข้ามา...แล้วจำกัดบริเวณให้หมีอยู่
โดยตั้งชื่อให้โก้เก๋ว่า rescue area !
แต่คิดไปคิดมาก็อาจจะเป็นการอนุรักษ์จริงๆ ก็ได้
ไม่เช่นนั้นอาจจะเจอเจ้าหมีพวกนั้นตามตลาดเช้าที่พวกเราเดินผ่าน
เมื่อเที่ยวเสร็จก็ได้เวลากลับเข้าที่พัก...ตะวันลับฟ้าพอดี
บรรยากาศยามเย็นของเมืองหลวงพระบางค่อนข้างสงบเงียบ
ไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าเมืองอื่นๆ
รับประทานอาหารเย็นเสร็จก็ถึงเวลาที่เหล่าคุณป้าขาช้อปรอคอย
นั่นก็คือการไปเดินตลาดมืดเพื่อละลายทรัพย์หาซื้อของฝากให้ก่อนกลับเมืองไทย
ที่ตลาดมืดมีของพื้นเมืองขายมากมาย
ข้าพเจ้าเดินหาซื้อผ้าซิ่นแม่ยิงลาว ด้วยตั้งใจว่า
พรุ่งนี้ตักบาตรข้าวเหนียวจะลองแต่งตัวเหมือนแม่ยิงลาวสักหน่อย
น่าจะได้บรรยากาศดี อิอิ
ที่ตลาดมืด นอกจากผ้าซิ่น ผ้าทอพื้นเมืองแล้ว
ยังมีพวกเครื่องเงินขาย มีทั้งของจริงและเงินผสม
เครื่องเงินที่หลวงพระบางจะราคาแพงว่าที่เวียงจันทน์
เนื่องจากแหล่งผลิตเครื่องเงินจะอยู่ทางเวียงจันทน์
ส่วนผ้าทอต้องซื้อที่หลวงพระบางเนื่องจากมีราคาถูกกว่า
เพราะที่หลวงพระบางเมืองมรดกโลกแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตผ้าทอ
ผ้าซิ่นงามๆ
เดินสักพักได้ผ้าซิ่นสีดำสมใจแล้ว ก็เริ่มรู้สึกกระหายน้ำ
(เดินดูสินค้าจนเหนื่อย) จึงได้ซื้อน้ำผลไม้ปั่น
น้ำผลไม้ปั่นที่ตลาดมืดร้านนี้ ใส่น้ำกะทิแทนนม
ทำให้ได้กลิ่นหอมของกะทิ มีรสชาติแปลกๆ อร่อยไปอีกแบบ
และสงสัยจะเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินช้อป
ทำให้ข้าพเจ้าดื่มหมดแก้วอย่างรวดเร็ว
To Be Continue>>> ในวันพรุ่งนี้ค่ะ