เพิ่งอ่านบทความของนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ในมติชนจบ ขอละความตั้งใจที่ “จะไม่วอกแวกทำอย่างอื่นถ้างานวิจัยไม่เสร็จ” ไว้ชั่วขณะ เพราะบทความกระตุ้นสมองมาก อ่านง่ายเพราะไม่ใช้ภาษาเทพ ตรงประเด็น ไม่ใช้สำนวนโวหารมาก
อยากให้ชาว G2K ที่สนใจเรื่องการศึกษาของชาติได้อ่าน
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01291052§ionid=0130&day=2009-10-29
เพราะเป็นบันทึกในบล็อกส่วนตัว จึงขอยกบางข้อความที่สนใจมาไว้ แล้วใส่ความเห็นของตัวเองประกอบ (จึงเป็นบันทึกที่เขียนง่าย และเร็ว)
คุณหมอประเสริฐ : ถึงเวลาปิดภาคเรียน นักเรียนที่เป็นลูกชนชั้นกลางจะต้องไปเรียนพิเศษทุกคน ยกเว้นนักเรียนจากโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่ไม่ต้องไป
ฉัน : ไม่จริง เด็กมหิดล เด็กเตรียม ก็ต้องไปเรียนพิเศษ (ลูกเล่า)
แม้ว่าโรงเรียน 2 โรงนี้มีเอกสิทธิเหนือโรงเรียนอื่นที่ไปคัดเอาหัวกระทิมาจากทั่วประเทศ เด็กเก่งใครๆ ก็อยากสอน สอนง่าย บางทีครูไม่ต้องสอนมาก เขาเรียนเอง ที่เขาไปเรียนพิเศษเพราะต้องการเทคนิคที่ไม่มีในชั้นเรียนปกติ (นี่ก็แอบฟังมาจากเด็กเก่งเหมือนกัน)
คุณหมอประเสริฐ : ว่ากันว่าคณาจารย์ของสองโรงเรียนที่เอ่ยชื่อข้างต้นสอนเก่ง และสอนรู้เรื่องเท่าๆ กับสถาบันกวดวิชา
ฉัน : ไม่ทุกคนค่ะ เห็นเพื่อนลูกก็แอบนินทาว่าอาจารย์บางคนสอนไม่ได้เรื่องก็มี สมมุติว่าจริง เป็นความผิดพลาดของใครล่ะที่เอาครูเก่งๆ ไปสอนเด็กเก่ง น่าจะลองเอาครูสอนเก่งไปสอนเด็กไม่เก่งดูว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
คุณหมอประเสริฐ : สื่อมวลชนไม่ควรสนใจเด็กเรียนเก่งมากจนเกินไป ควรช่วยกันหันมาให้ความสนใจเด็กอีกร้อยละเก้าสิบเก้า รวมทั้งพ่อแม่ที่กำลังเป็นทุกข์จากการศึกษาของแผ่นดินมากกว่า
ฉัน : เด็กเก่งที่ประสบความสำเร็จเป็นตัวอย่าง เป็นแรงจูงใจให้เด็กอีกส่วนหนึ่ง เด็กที่ไม่เก่งก็ต้องเอาใจใส่ ค้นหา “ความเก่ง” ด้านอื่นๆ ให้เจอ
“พ่อแม่ที่กำลังเป็นทุกข์” เดี๋ยวก็ผ่านไปค่ะ (น่าสงสารจริงๆ เดี๋ยวนี้พ่อแม่เป็นทุกข์กันตั้งแต่อยู่อนุบาลจะเอนทร้านเข้า ป1 แล้วค่ะ...ไชโย ฉันพ้นทุกข์มาแล้ว)
คุณหมอประเสริฐ : ค่าเล่าเรียนประมาณ 10,000-20,000 บาทต่อ 2-5 คอร์ส ค่าหอพักเดือนละ 10,000-40,000 บาทต่อ 2 เดือน (เด็กต่างจังหวัดที่ต้องไปเรียนที่อื่น)
ฉัน : ลูกคนจนก็หมดสิทธิตั้งแต่คิดแล้ว
คุณหมอประเสริฐ : นักเรียนชนชั้นกลางของประเทศไทยใช้ชีวิต ทั้งเรียน กินข้าว เดินเที่ยว ช็อปปิ้ง ดูหนัง กลายเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยที่ใครๆ ก็อยากไปใช้ชีวิตเรียนพิเศษแถวนี้ (ย่านศูนย์การค้าที่โรงเรียนพิเศษไปตั้งดักรอเด็กๆ-ฉันขยายความให้) สักครั้ง
ฉัน : จริง บางเด็กก็ไปให้ได้ชื่อว่า “ร่วมสมัย” จริงๆ แล้วเรียนมั่งไม่เรียนมั่ง (นี่ก็ฟังจากลูก) ช่างไม่สงสารพ่อแม่ที่อดมื้อกินมื้ออยู่ที่บ้าน
คุณหมอประเสริฐ : คุณครูแต่ละสถาบันได้รับคำชื่นชมจากนักเรียนว่ามีจิตวิญญาณความเป็นครู ตั้งใจสอน ตั้งใจตอบคำถาม มีเมตตา และบางท่านมีปรัชญาส่วนตัวว่าจะไม่ทิ้งเด็กคนไหนไว้ข้างหลัง
ฉัน : ไม่รู้คุณหมอพูดจริงใจ หรือ ประชด แต่ ฉันไม่ชื่นชมหรอกนะ พอๆ กับที่กังขาหมอโรงพยาบาลเอกชนที่แสนดีทั้งหลายว่าถ้ามาอยู่โรงพยาบาลรัฐจะแสนดีได้แบบนั้นหรือเปล่า
คุณหมอประเสริฐ : ภาพเด็กๆ เข้าแถวรอขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดูน่าชื่นใจ แต่ถ้าสังเกตใบหน้าของแต่ละคนจะพบว่าไม่สดชื่นตามกิริยาที่แสดงออก ส่วนใหญ่กังวล เป็นทุกข์ ไม่รู้อนาคต
ฉัน : เห็นภาพ และ เศร้าค่ะ
คุณหมอประเสริฐ : หากไปยืนดูใบหน้าของผู้ปกครองที่ขับรถมารอรับตอนค่ำจะพบว่าหม่นหมองยิ่งกว่า
ฉัน : เห็นภาพ และ เศร้ายิ่งกว่า
คุณหมอประเสริฐ : เยาวชนมาเรียนเพียงเพราะจะหาที่นั่ง หาอนาคตที่น่าจะสดใส แต่โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่มีระบบที่ช่วยให้นักเรียนรู้ว่าตนเองชอบอะไรอย่างแท้จริง การศึกษาจึงว่างเปล่าทั้งเนื้อหา ทั้งใบหน้า และอนาคต
เรื่องใหญ่ที่สุดคือ เป็นการศึกษาที่ไม่มีการเรียนรู้
ฉัน : “การศึกษาที่ไม่มีการเรียนรู้” ในฐานะที่สนใจ ใส่ใจ เรื่องการเรียนรู้ ฉันไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่คุณหมอเขียน
คุณหมอยังเขียนถึงการรับตรง ที่คณะต่างๆ แย่งชิงเด็กเก่งด้วยการรีบรับตรงก่อนที่อื่นๆ แล้วเด็กที่ยังเรียนไม่จบหลักสูตร ไม่มีเงินไปเรียนพิเศษเล่า พวกเขาก็เหมือนถูกตัดสิทธิการแข่งขั้นตั้งแต่แรก
ไม่เพียงแต่โรงเรียนเตรียมฯ โรงเรียนมหิดล ที่เปิดศึกแย่งชิงตัวเด็กเก่งมาจากทั่วประเทศ มหาลัยดังๆ คณะดังๆ ก็เริ่มเอาอย่างกันแล้ว
คิดอะไรไม่ออกแล้ว ขอจบบันทึกด้วยข้อความของคุณหมอประเสริฐดีกว่า
คุณหมอประเสริฐ : การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือแบ่งชนชั้นที่ร้ายแรง กลายเป็นทุกข์ของแผ่นดิน.....
การศึกษาของชาติไม่เป็นเพียงทุกข์ของแผ่นดิน แต่สร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างรุนแรงรุ่นแล้วรุ่นเล่า และทำลายสมองของนักเรียนคนแล้วคนเล่าด้วย
ศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2552
อ่านไปปวดหัวใจหนึบๆค่ะ
ไม่รู้นะ..คนเก่ง สอนเก่ง....เด็กเก่ง.......
มีสุขเมื่อเรียนจบ...............งานดี.......
ชีวิตดีมีสุข...?????จริงหรือ.........
เด็กด้อยโอกาส...........ทำไง
.............จะทำอย่างไร...........
อนาคตของชาติปล่อยไปวันหน้า น่าคิดหนัก
คนเก่งน้อย ถึงเวลาจะไปแข่งกับใครๆ แข่งแล้วได้อะไร
คนกลุ่มมากไม่รับรู้และ หรือรู้เลย
ถึงวันนั้นคนเก่งจะพากันปวดหมอง ปวดเฮด
แล้วจะพากันเครียด
ที่ต้องมีชีวิตอยู่กับคนด้อยโอกาสที่มีมากกว่า
ขอบคุณค่ะ
ชุมชนแห่งการเรียนรู้อยู่หนใด
ลูกหลานเราเรียนรู้แบบซีเรียสตลอดวันเพื่อ...
คนขาดโอกาสนั้นเขาขาดมาตั้งแต่ยังไม่เกิดเชียวนะ
ไร้โอกาส ไร้ที่อยู่ ไร้สัญชาติ ไร้การศึกษา ไร้คนเหลียวแล ตายแล้วกลายเป็นผีไร้ญาติอีกนะโยม
ไร้ทุกอย่างขาดทุกสิ่ง จนชินไปเอง
เจริญพร
สวัสดีครับ
ขอบคุณสำหรับบทความที่โดนใจแบบนี้นะครับ
การศึกษาที่ไม่มีการเรียนรู้ น่าเจ็บปวดเท่ากับ การศึกษาคือการไม่เรียนรู้
ขอบคุณครับ
"ถึงวันนั้นคนเก่งจะพากันปวดหมอง ปวดเฮด แล้วจะพากันเครียด ที่ต้องมีชีวิตอยู่กับคนด้อยโอกาสที่มีมากกว่า"
เด็กที่ "เก่งและดีด้วย" จะมีชีวิตร่วมกับเด็กอื่นๆ โดยที่เขาไม่คิดว่าตัวเอง "เก่งกว่า" หรือ คนอื่น "เก่งน้อยกว่า" เขาจะเอื้อเฟื้อและแบ่งปัน สุดท้ายเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ "เก่ง ดี และ มีสุข"
เด็กที่ "เก่งอย่างเดียว" จะแข่งขัน เครียด และ "ไม่เป็นสุข" ค่ะ
ด้วยความเชื่อนี้ดิฉันจึงคิดว่า เราจำเป็นต้องช่วยให้เด็กทุกคน "เก่ง ดี และ มีสุข" และ เก่งในความหมายของดิฉัน คือ การค้นพบศักยภาพของตัวเอง และ ได้รับโอกาสพัฒนาตนเองค่ะ
ขอบคุณนะคะที่เข้ามาแลกเปลี่ยน
ป.ล. ดิฉันกำลังยุ่งเหยิงเรื่องเก็บข้อมูลงานวิจัยเล็กๆ ชิ้นหนึ่งอยู่ค่ะ ทำให้ห่างๆ ไป
อยากรู้ว่าคนที่เป็นโรงมะเงมันจะเป็นอย่างงัยคร้า
และอยากรู้ว่าอาการที่เป็นมะเร็งรักษาอย่างงัยมันถึงจะหาย
เเละคนที่โดดรถชนรักษาอย่างงัยมันจะหายอย่ากรุ้จักเลยคร้าคุณหมอ
มาบอกว่าอากาศหนาวรักษาสุขภาพด้วย
อิอิ.....................5555555+
สวัสดีค่ะคุณเบดูอิน
ขอบคุณดอกไม้สวย และขอให้คุณรักษาสุขภาพเช่นกันค่ะ
เพิ่งว่างเข้ามาอ่าน คงไม่เคืองกันนะคะ
สวัสดีค่ะ คุณผู้ใช้นามว่า ไม่มีผู้ชายไม่มีน้ำตา ดิฉันไม่มีความรู้พอที่จะตอบคำถามของคุณ แต่ได้ไปค้นหามาตอบให้แล้วค่ะ เข้าไปอ่านนะคะ http://gotoknow.org/blog/nuinui/315306