การล้างพิษด้วยน้ำมะนาว : AAR วันที่ 1


อันนี้ท่าจะจริง ก็เพราะว่าเมื่อก่อนหลังทานข้าวเสร็จจะแน่นท้อง อึดอัด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร แต่เมื่อวัน พอดีแล้ว "สบาย" รู้สึกโล่งแบบบ "สบาย ๆ" สบายท้องอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน...

ส่วนเรื่องการปรับสูตรไป ปรับสูตรมานั้น ( BAR ก่อนล้างพิษด้วย "น้ำมะนาว...") ก็ทดลองโน่น ทดลองนี่ เมื่อวันนี้ผ่านไปวันแรก ก็มีทั้งปัญหาและ "ไม่มีปัญหา..."

สำหรับผลการทดลองวันแรกนั้น เรื่องน้ำมะนาวนี่ "เจ๋ง" มาก
เพราะหลังจากดื่มน้ำมะนาวไปขวดแรก โดยมีส่วนผสม มะนาว ๓ ลูก น้ำสะอาด 300 มิลลิลิตร น้ำผึ้งประมาณ 30 มิลลิลิตร แล้วก็พริกข่านิดหน่อย (ปลายช้อนชา) ปรากฎว่า "สบายมาก" 

 สงสัยตามสูตรที่เขาว่าไว้จะจริง ก็คือ น้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด พอเข้าไปในร่างกายแล้วจะกลายเป็น "ด่าง"


อาหารส่วนใหญ่ที่เราทานกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นข้าว ไข่ หรือคนทั่วไปที่เขาทานเนื้อสัตว์กันนั้นเมื่ออยู่ในท้องจะมีสภาวะเป็น "กรด" เมื่อดื่มน้ำมะนาวเข้าไปก็จะปรับสภาวะภายในท้องให้เป็น "กลาง"


อันนี้ท่าจะจริง ก็เพราะว่าเมื่อก่อนหลังทานข้าวเสร็จจะแน่นท้อง อึดอัด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร แต่เมื่อวัน พอดีแล้ว "สบาย" รู้สึกโล่งแบบบ "สบาย ๆ" สบายท้องอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน...

ดื่มขวดแรกประมาณ 8.30 น. ขวดที่สองประมาณ 10.30 น.

ปัญหาก็มีหลังจากถ่ายท้องครั้งที่หนึ่ง (เวลาประมาณ 12.20 น.)
นอกจากกลิ่นอาหารเก่าที่มีกลิ่นรุนแรงผิดปกติแล้ว ก็ยังมีการหวิว ๆหลังจากที่ต้องออกมาทำงานกลางแดด

หลังจากถ่ายท้องแล้วจึงเริ่มดื่มขวดที่ 3 เวลาประมาณ 13.00 น. จากนั้นจึงออกมาทำงานต่อ
ปัญหามันเกิดก็เพราะว่าตอนออกมาทำงานนี้เริ่มหวิว ๆ เพราะเนื่องจากเมื่อวานแดดแรงมาก เราต้องทำงานกลางแดด ถึงแม้นว่าจะมีร่มคันเล็ก ๆ บังให้อยู่แต่สภาพแวดล้อมที่ต้องเดินไป เดินมาก็ต้องตากแดดอยู่ดี
โดยเฉพาะเมื่อต้องถ่ายท้องรอบที่สองนั้นสงสัยว่า "โลกจะหมุน" เพราะเราเริ่มเดินตุ้มปั้ด ตุ้มเป๋ เดินโซซัด โซเซ จนขาขวิดกัน

ตอนบ่ายสามจึงต้องกลับไปพักที่ห้อง พักได้หนึ่งชั่วโมงแล้วจึงมาดื่มขวดที่ 4 เวลาประมาณ 16.00 น. หลังจากนั้นก็เดินออกไปบอกช่างว่า วันนี้ไม่ไหว ฝากเก็บของด้วย แล้วก็กลับมาพัก "ยาว" เลย...

สูตรน้ำมะนาวนั้น สองขวดแรกเราใช้มะนาวสามลูก แต่ทว่า มะนาวสามลูกนี้ใหญ่ผิดปกติ ใหญ่เกินจนร่างกายบอกได้ว่า "มากเกิน"
สองขวดหลังจึงลดเหลือสองลูกจนเรารู้สึกว่า "พอดี" (สำหรับมะนาวลูกใหญ่นะ)
ส่วนปัญหาอีกเรื่องหนึ่งก็คือเจ้า "พริกข่า"

 


พริกข่าที่เรานำมานี้ รู้สึกว่าจะเก่าไปหน่อย ทานแล้วรู้สึกผะอืด ผะอม คลื่นไส้
วันนี้ก็เลยฝากช่างหา "พริกป่น" มาให้แทน


ส่วนเรื่องน้ำสะอาดนั้น ถ้าผสมเข้าไปกับน้ำมะนาวแล้วก็น้ำผึ้งถึง 300 มิลลิลิตร ดื่มแล้วก็คลื่นไส้เหมือนกัน
สู้ผสมน้อย ๆ ให้พอเข้าคนละลายกับน้ำผึ้งได้จะดื่มง่ายกว่า หลังจากน้ำค่อยดื่มสะอาดตามเข้าไปให้ครบตามจำนวนแทน อันนี้จะรู้สึกคลื่นไส้น้อยกว่า

เมื่อวานหลังสังเกตุตัวเองตลอดทั้งวันก็พบว่า วันแรกนี้ 4 ครั้งก็ "พอดี" สำหรับร่างกายตัวเองแล้ว
สำหรับการปรับตัวในวันแรก ถ้าให้ดีก็น่าจะเป็นสักครึ่งหนึ่ง คือ 3 ครั้งจาก 6 ครั้ง
วันแรกน่าจะเป็นการ "อุ่นเครื่อง" ปรับตัวสำหรับการทำอะไรที่ร่างกายเราไม่เคยทำ
เมื่อวานจึงหยุดการดื่มน้ำมะนาวที่เวลา 16.00 น. หลังจากนั้นก็ทาน "น้ำตาลอ้อย" เข้าไปนิดหน่อย เพราะร่างกายรู้สึกโหย ๆ
หลังจากนั้นก็ต้องพักกันยาวเลย พักแต่หัววัน

เช้านี้ก็มาเริ่มกันใหม่ ตอนนี้กำลังชงยา "ส้มแขก" ดื่มเพื่อให้ระบายท้อง
ส่วนตอน 8.00 น. ก็จะเริ่มดื่มน้ำมะนาวแก้วแรก ก็จะใช้น้ำมะนาวสองลูก ผสมกับน้ำผึ้งแล้วก็จะใส่ "เกลือ" เล็กน้อย (อันนี้เพิ่มเอง) ส่วนพริกนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นพริกป่น (ถ้าช่างหามาให้ได้)
สำหรับวันนี้ได้ผลเป็นประการใด ก็จะวิเคราะห์ วิจัยมาให้ทราบเป็นระยะ ระยะ 

หมายเลขบันทึก: 304920เขียนเมื่อ 11 ตุลาคม 2009 07:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ได้โจทย์คิดเพิ่มเติมว่า...

เท่าที่มีการถอดบทเรียน มีแต่ข้อห้าม ข้อพึงระวังให้มีการสำรวมกาย วาจา ใจ และลดการใช้พลังงาน แต่ถ้าหากผู้ใช้แรงกายอยากจะทำนั่นก็หมายความว่าต้องหยุดงานสิบสี่วัน...

แต่ถ้าเราไม่หยุดล่ะ...เรายังดำรงวิถีต่อ แต่เราใช้สภาวะจิตคลุมกายนี่แหละ จิตเป็นนายนี่ล่ะ...นำพาวิถีชีวิต มันจะเป้นเช่นไรหนอ?

ทำให้นึกถึงตนเองสมัยที่ทดลองกับตนเอง ยังอาจหาญอวดดีไปวิ่ง วิ่งได้กิโลที่สี่นี่แหละหน้ามืดเลย แต่ก็ลองวิ่งต่อไป วิ่งต่อทั้งๆ ที่ภาพเบื้องหน้ามืดไปหมด แต่ดวงจิตนี้ยังเข้มแข็ง...นำพาร่างกายวิ่งต่อไป อืม...มันก็พอได้อยู่นา...

แต่ในกรณีของท่านนี่น่าสนใจ น่าท้าทาย...

จะขอลองติดตามดู แต่ท่านอาจจะต้องยุ่งยากหน่อยนึงล่ะ เพราะความดันเลือดนี้น่าจะเป็นตัวแปรตัวหนึ่งที่ท่านต้องคำนึงถึงด้วยล่ะ..

ติดตามมาอ่าน ผลการวิจัยเจ้าค่ะ

แต่มะนาวในรูปนี้ ลูกใหญ่จริง ๆเจ้าค่ะ

ขอบพระคุณที่แบ่งปันเรื่องราว ดีๆ เจ้าค่ะ

เมื่อสักครูฝนตกก็เลยต้องเก็บเครื่องไม้เครื่องมือเปลี่ยนอาชีพจาก "กรรมกร" มาเป็นนักถอดความรู้สักครู่ (ตอนนี้ฝนเริ่มซาและ แต่ยังมีลมอยู่)

เมื่อเช้าออกไปทำงานก็โซเซเล็กน้อย เพราะว่าแดดจัดตั้งแต่เช้า

ตั้งแต่เช้าเริ่มก็ดื่มน้ำมะนาวไปสามครั้งแล้วคือเวลาประมาณ 8.00 น. 10.30 น. และ 13.00 น.

วันนี้ก็มีปรับสูตรนิดหน่อย ก็คือ ใช้มะนาวสองลูก เราสองคั้นดูแล้วได้น้ำมะนาวประมาณ สองช้อนโต๊ะครึ่ง (ประมาณ 37.5) มิลลิลิตร ถ้าเทียบตามสูตรเขาให้แบ่งมะนาว 200 มิลลิลิตรออกเป็น 6 ครั้งก็น่าจะได้น้ำมะนาวใกล้เคียงกัน ที่เราได้จะมากกว่านิดหน่อย (ถ้าบีบจนเกลี้ยงแบบสุด ๆ น่าจะได้ถึง 3 ช้อนโต๊ะ ยืนยันว่ามะนาวเฮียหมูลูกใหญ่จริง ๆ)

แล้วเราก็ปรับเปลี่ยนจาก "พริกข่า" มาเป็น "พริกป่น" แทน ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่พะอืดพะอมเหมือนเมื่อวาน (สงสัยในพริกข่าจะมีส่วนผสมอะไรต่ออะไรเยอะไปหน่อย)

วันนี้เราเปลี่ยนจากการผสมน้ำประมาณ 300 มิลลิตร (ต่อครั้ง) รวมกับน้ำผึ้งและมะนาว มาเป็น ใส่น้ำลงไปนิดหน่อยพอให้น้ำผึ้งละลายได้ สภาพการสะอิ สะเอียนน้อยลงกว่าเมื่อวานเยอะ

ประมาณว่าดีกว่ากันมาก ก็คล้าย ๆ กับเอาน้ำผึ้งผสมมะนาว แล้วก็มีพริกป่นด้วย "เผ็ด ๆ ดี..."

วันนี้ตอนเช้าออกไปตัดหิน ยกหิน ทำท่าจะยกไม่ค่อยไหว เพราะปกติหินก็หนักอยู่แล้ว

พอเดิน ๆ อยู่ก็รู้สึกว่า "ไม่แน่น" มันโคลงเคลง ๆ ชอบกล แต่ก็พอทำงานได้ มาหนักอยู่ก็เจ้าแดดเนี่ยแหละ "ร้อน" น่าดู...

ก็ไม่ได้ถึงกับทำงานไม่ไหว แต่งานที่ทำสงสัยมันจะไม่ใช่ "งานผู้ดี"

เพราะส่วนใหญ่สูตรนี้ "ผู้ดี" เขาทำกัน

ในสูตรเขาบอกว่าให้ออกกำลังกาย "วิ่งสายพาน" ได้

แต่เขาคงไม่ได้คิดเผื่อว่า "กรรมกร" ที่ทำงานกลางแจ้งจะทำได้หรือเปล่า...

ถ้าเป็นการทำงานตอนนี้อากาศเย็น ๆ สบาย ๆ หลังฝนตก ก็ไม่มีปัญหา เหมือนที่ Ka-poom ไปวิ่ง คงไม่ได้วิ่งกลางแดดมั๊ง...?

เหมือนกับตอนไป "ธุดงค์" เหนื่อยมาก เหนื่อยกว่านี้เยอะ แต่แทบไม่โดนแดดเลย เดินจนเหงื่อท่วม ของก็หนัก (ประมาณ 20 กิโลกรัมที่ต้องแบกไว้บนบ่าแล้วเดินขึ้นเขา) แต่ก็ไปได้ เพราะถ้าไปไม่ได้ก็ "หลงป่า" แค่ก้มหน้าเดินหน่อยเดียว อ้าว ข้างหน้าหายไปไหนกันหมด

ในป่าเขาใหญ่นี้ต้นไม้ "ทึบ" จริง ๆ

ถ้าช่วงไหนเดินแล้วเจอแดดเป็นอันต้องยืนผึ่งแดดกันเล็กน้อย (ช่วงที่มีช่องโหว่จากต้นไม้แล้วแดดรอดลงมาได้)

แต่ก็มีนิดเดียว สักพักหนึ่งก็ทึบอีกแล้ว (สมชื่อป่าดงดิบ...)

ดังนั้นเพื่อต่อสู้กับแดดเราก็เลยผสม "เกลือ" รวมเข้าไปกับน้ำผึ้งและมะนาวนิดหน่อย (เริ่มอร่อย 555)

พอจัดการน้ำมะนาวเสร็จ แล้วค่อยดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำอุ่นตามลงไปให้ได้จำนวน (อื้ม สบายกว่าการผสมแล้วเขย่ารวมกันเยอะ...)

เมื่อสักครู่เพิ่มทาน "ยาขม" เข้าไป 3 เม็ด เพราะรู้สึกว่าเจ้า "ส้มแขก" ที่ดื่มไปเมื่อเช้าจะออกฤทธิ์ไม่ทันการ คือ ไม่รู้สึกสะทกสะท้านอยากจะไปเข้าห้องน้ำเลย (เห็นคนที่วัดเขาทำ เข้าห้องน้ำกันวันหนึ่งสามสี่หน...)

ส่วนประกอบของ "ยาขม" ซึ่งเป็นยาระบายอ่อน ๆ ประกอบด้วย มีอึ่งงิ้ม, ขมิ้นชัน, บอระเพ็ด, ไคร้เครือ, ลูกกระดอม และตัวยาอื่น ๆ นิดหน่อย...

ตอนนี้ฝนหยุดตก แดดเริ่มออก สงสัยจะต้องเปลี่ยนบทบาท "สมมติ" ลงไปทำงานกรรมกรก่อนอีกครั้งหนึ่ง...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท