• ผมเป็นลูกที่ถูกลงโทษมากที่สุดในหมู่พี่น้อง
โดนแม่เฆี่ยนบ่อยที่สุด
แต่คนในครอบครัวบอกว่าแม่รักผมมากที่สุด
• ตอนเด็กๆ ถูกเฆี่ยน
ถูกมัดมือโยงกับขื่อจนยืนแทบไม่ถึงและมือเมื่อยไปหมด
พร้อมกับโดนเฆี่ยนและด่าว่า
ว่าเป็นเด็กดื้อไม่หลาบจำ
สอนเท่าไรก็ไม่จำ
สาเหตุส่วนใหญ่คือดื้อ ผู้ใหญ่ชอบให้ทำอย่าง
กลับไปทำอีกอย่าง
มิฉะนั้นก็เถียงผู้ใหญ่
หรือทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ห้าม
• ตอนไปโรงเรียนชั้นมัธยม ตอนอยู่ ม. ๒
โดนตีแทบทุกวัน จำได้ว่าวันหนึ่งครูเชต
(ซึ่งเราเรียกครูน่วม ชื่อเดิมของท่าน) เรียกผมว่า “นายวิจารณ์
วันนี้ครูยังไม่ได้ตีเธอเลย มา
มาให้ครูตีมือหนึ่งที”
หมายความว่าวันนั้นครูไม่เห็นผมซน ไม่มีโอกาสตี
จึงขอตีฟรีๆ หนึ่งที
ครูเชตนี้เป็นครูดนตรี ตอนผมไปแต่งงานที่ชุมพร
ท่านยังเอาวงแตรวง มาเล่น “กล่อมหอ” ให้
• ถูกแม่เฆี่ยนและดุดูรุนแรงมาก
บางครั้งผมสงสัยและจินตนาการว่าเราอาจไม่ใช่ลูกของแม่
เขาอาจไปเก็บเอามาเลี้ยง
จินตนาการของเด็กไปได้ไกลเสมอ
เมื่อสองปีก่อนน้องชายมาบอกว่าเห็นหน้าผมในทีวี
สะดุ้งว่าคิดว่าเห็นแม่
ผมเป็นลูกที่หน้าเหมือนแม่มากที่สุด
คนแถวบ้านผมเขาบอกว่าลูกชายที่หน้าเหมือนแม่เป็นคนมีบุญ
• ครั้งหนึ่งผมไม่สวมรองเท้าไปโรงเรียน
โดนไล่กลับบ้าน
เพราะครูจะคอยกำชับอยู่เสมอว่าต้องแต่งตัวเรียบร้อย
แต่งเครื่องแบบ และสวมรองเท้า
ส่วนถุงเท้านั้นสวมเฉพาะเมื่อแต่งเครื่องแบบลูกเสือเท่านั้น
เพื่อนๆ
ที่บ้านอยู่ไกลและต้องเดินลุยโคลนมาโรงเรียนไม่สะดวกที่จะสวมรองเท้า
จึงหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ วันนั้นแจ๊กพ็อต
ครูตรวจแถวตอนเช้าและไล่คนไม่สวมรองเท้ากลับบ้าน เพื่อนๆ
ที่บ้านอยู่ทางเดียวกับผมแต่ไกลกว่า
เขาเดินไปโรงเรียนและเดินกลับกันอยู่แล้ว
ผมจึงเดินกลับกับเขาด้วย
เป็นครั้งแรกที่ผมเดินระยะทาง ๖ กิโลเมตร
ตามปกติผมนั่งรถไป – กลับ จากโรงเรียน ตอนนั้นเรียน ม.
๑ อายุ ๑๐ ขวบ
• เมื่อเป็นหมอแล้ว กลับไปเยี่ยมบ้าน
เพื่อนบ้านพูดกันว่า “ตาอ๊อต เป็นหมอแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าจะเรียนได้สูงขนาดนี้ สมัยเด็กๆ
โดนแม่เฆี่ยนทุกวัน” คือสมัยเด็กๆ
ผมมีชื่อว่าเป็นเด็กดื้อ และซุกซน
วิจารณ์ พานิช
๑๙ พค. ๔๙
อำเภอปากพะยูน จ. พัทลุง